Our score
9.0

[Review] Death Stranding 2: On the Beach เมื่อความตายคือของขวัญ และความโดดเดี่ยวคือพันธะสุดท้ายของมนุษย์

จุดเด่น

  1. เนื้อเรื่องลึก มีเอกลักษณ์ ดึงดูดด้วยแนวไซไฟ-ปรัชญา เน้นอารมณ์และธีมเรื่อง “การเชื่อมโยง” “การสูญเสีย” และ “การให้อภัย” สไตล์ Kojima แท้ ๆ
  2. โลกภายในเกมสุด Immersive ที่น่าจดจำ
  3. งานภาพ & เสียงยอดเยี่ยม ใช้ Decima Engine ได้เต็มศักยภาพ
  4. ตัวละครมีมิติ การแสดงระดับเทียบชั้นภาพยนต์

จุดสังเกต

  1. เกมเพลย์ยัง "ช้า" และเฉพาะกลุ่ม ยังคงเป็นเกมเดินทาง-จำลองการแบกของ ที่บางคนจะมองว่าน่าเบื่อ
  2. มีช่วงเนือย และ pacing ไม่สม่ำเสมอ บางช่วงของเกมเดินเรื่องช้าเกินไป หรือเน้นการเดินทางแบบซ้ำ ๆ
  3. การต่อสู้ได้รับการปรับปรุง แต่ยังไม่ถึงขั้น “สนุก” แบบเกมยิงหรือ Action
  • GAMEPLAY

    7.0

  • GRAPHICS

    9.0

  • STORY

    10.0

  • PERFORMANCE

    10.0

หลังจากที่ Hideo Kojima ได้หยิบเอาปรัชญาหรือก็คือศาสตร์ที่พูดถึงปัญหาพื้นฐานและความจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำรงอยู่, ความรู้, เหตุผล, คุณค่า, จิตใจ มาถ่ายถอดผ่าน Death Stranding ไปในปี 2019 เกมที่เกมที่ถ่ายทอดแนวคิดเรื่องการเชื่อมโยง ท่ามกลางความโดดเดี่ยว โลกระหว่างความเป็นและความตาย และจิตวิญญาณของความคงอยู่ในสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่า “มนุษย์”

ปี 2025 เขากลับมาอีกครั้งพร้อมภาคต่อสุดทะเยอทะยาน Death Stranding 2: On the Beach ที่ทั้งขยายขอบเขตของโลกเดิม และพาเราไปสำรวจสิ่งใหม่ในเชิงปรัชญาและอารมณ์ โดยเล่าผ่านตัวละคร Sam หลังจากที่เขาได้รวมอเมริกาให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และได้ออกไปใช้ชีวิตกับ Louise เด็กทารกที่เคยเป็น Bridge Baby หมายเลข 28 และเวลาก็ผ่านมายาวนานนับปี Sam และ Lou ได้อยู่อาศัยด้วยกันในชายแดนฝั่ง Mexico และตัดขาดจากการติดต่อกับทุกคน

แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เขาต้องกลับมาเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม พร้อมด้วยการเปิดเผยอดีตที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำของตัวละครเก่าและใหม่ และแน่นอนกับการจากไปของ Lou ที่ถูกสังหารโดยกลุ่มคนสวมหน้ากาก ทำให้เขาจะต้องออกตามล่าและตามหาความจริงถึงเบื้องหลังของเหตุการณ์ทั้งหมด รวมไปถึงอดีตของ Lou หรือ BB-28

Death Stranding 2 On the Beach เป็นเกมที่ไม่ใช่แค่การ “เดินทาง” แต่คือบทกวีแห่งความโดดเดี่ยว ความหวัง และพันธะระหว่างคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อน ครั้งนี้การเดินทางของ Sam จะไม่ใช่แค่การแบกของลุยภูเขา แต่มันคือการดิ่งลึกลงสู่จิตใจ การต่อสู้กับอดีต และการเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า “โชคชะตา” พร้อมด้วยบรรยากาศโลกหลังหายนะที่ยังคงสวยงามและน่าขนลุกเหมือนเดิม

ในรีวิวนี้ เราจะพาคุณไปสัมผัสกับฝันร้ายที่งดงาม ความจริงที่บิดเบี้ยว และเกมที่อาจไม่ได้อยากให้คุณ “เข้าใจ” แต่อยากให้คุณ “รู้สึก” ถึงมันครับ

Story | โลกยังไม่ตาย….. แต่มันก็ไม่เคยมีชีวิตจริง ๆ มานานแล้ว


หลายปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก Sam Porter Bridges ได้รวมสหรัฐอเมริกาให้กลายเป็นหนึ่าเดียวกันอีกครั้งผ่านโครงการ “UCA” (United Cities of America) และปลดปล่อยมนุษยชาติจากความโดดเดี่ยวที่เกิดจากภัยพิบัติ Death Stranding และยับยั้งการเกิด Last Stranding หรือก็คือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่อย่างสมสมบูรณ์แบบ กล่าวคือเหตุการณ์ Death Stranding นั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นสู่การล้างชำระมนุษยชาติทั้งหมด เพื่อคงไว้สำหรับโลกยุคใหม่ เช่นเดียวกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ผ่านมาแล้ว 5 ครั้ง และเหตุการณ์ Death Stranding ก็ถูกนับว่าเป็นการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 แต่มนุยษ์ก็สามารถปรับตัว และใช้ชีวิตอยู่กับมันได้ จนกลายมาเป็นเรื่องราวของ Death Stranding ในภาคแรกครับ

แน่นอนว่าสันติสุขนั้นอยู่ได้ไม่นาน… ใน Death Stranding 2: On the Beach นั้น Sam ซึ่งตอนนี้ได้เกษียณจากชีวิตเดิมไปแล้ว กลับถูกดึงเข้าสู่ภารกิจใหม่อีกครั้ง เมื่อผู้นำขององค์กรใหม่ชื่อว่า Drawbridge ขอให้เขาช่วยสำรวจ “ภัยคุกคามข้ามมิติ” ที่ดูเหมือนจะเริ่มต้นจาก “ชายหาด” (The Beach) อันเป็นรอยต่อของชีวิตและความตาย ซึ่งในเกมได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า The Beach คือสถานที่อยู่ระหว่าง “ความเป็น” และ “ความตาย” ดังนั้นเรื่องราวในภาคนี้ก็จะเน้นไปที่การตามหาความจริงที่ถูกฝังไว้ และเงาของอดีตที่ยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงการเสียชีวิตของ Lou เด็กทารกที่รอดจากการถูกนำเอาออกมาจาก BB-Pod ที่ร่วมเดินทางมากับ Sam ทั่วอเมริกา ทำให้เขาต้องหันหน้ามาแบกของส่งพัสดุกันอีกรอบล่ะ

ซึ่งเอาเข้าจริงว่า เกมนี้ยังคงรักษามาตรฐานเดิมไว้ได้อย่างดีมาก เนื้อเรื่อง การเล่าเรื่อง ทุกอย่างคือไร้ที่ติ ตลอดเวลาเราจะได้รู้จักกับตัวละครใหม่ และรู้จักกับตัวละครเดิม ๆ มากขึ้น ได้เรียนรู้เรื่องราว และเห็นการพัฒนาของตัวละครอยู่ตลอด พร้อมกับได้มีการเฉลยปมต่าง ๆ ที่ทิ้งเอาไว้ในภาคแรกอย่างครบถ้วน

ในภาคนี้มีนักแสดงใหม่ ๆ เข้ามาสมทบกันมากมายอย่างคุณ Shioli Kutsuna (Yukiko จาก Deadpool 2) ในบท Rainy คุณ Elle Fanning (Aurora จาก Maleficent) ในบท Tomorrow และ Luca Marinelli ในบท Neil Vana พร้อมกับคนอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงนักแสดงเก่า ๆ ก็มากันเกือบครบ ทั้ง Norman Reedus ในบท Sam ที่เราได้เล่นตลอดทั้งเกม และ Léa Seydoux ในบท Fragile ที่เธอเป็นตัวละครสำคัญมาก ๆ ในเกมภาคนี้ นอกจากนี้ก็ยังมี Tommie Earl Jenkins, Guillermo del Toro, Ma Dong-seok และ Usada Pekora vTuber จากสังกัด hololive ก็จะมีบทบาทในเกมนี้เช่นกัน


Gameplay | นี่ไม่ใช่เกมสำหรับคนที่อยากแค่ “สนุก”


Death Stranding 2: On the Beach ยังคง concept ของเกมภาคแรกไว้ ซึ่งมันก็ยังเป็นเกมเดินส่งของเหมือนเดิม แต่ในภาคนี้ ชีวิตการส่งพัสดุของเรามันจะไม่ยากลำบากมากในช่วงต้นเกมเลย อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงยานพหานะก็มีให้ใช้ตั้งแต่ต้นเกม มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เราค่อนข้างเยอะมาก และบวกกับประสบการณ์ของผู้เล่นตั้งแต่ภาคแรกมา จะทำให้การส่งของในภาคนี้ สบายขึ้นเยอะมาก

ในทางกลับกัน ภาคนี้ได้ใส่ฉาก Action เข้ามาค่อนข้างเยอะกว่าเดิม แน่นอนว่าเราสามารถเลือกที่จะลอบเล้น หรือบุกไปต่อสู้ตรง ๆ ได้ และสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด ก็คือ QOL ที่ปรับปรุงจากภาคที่แล้ว โดยอาวุธที่เราใช้นั้น มันจะต่อกรได้กับศัตรูทุกรูปแบบ และสามารถจัดการกับพวกคนได้ โดยที่จะไม่ทำให้ตาย และไม่เกิดการ Necrosis และเราก็ไม่ต้องแบกศพไปเผาแล้ว แถมยังใช้ต่อสู้กับพวก BT ได้ด้วย ก็คือแบกปืนกระบอกเดียว อยู่กับเราได้ยาว ๆ ซึ่งอันนี้เป็นอะไรที่ดีมากเลยล่ะ

นอกจากนี้เองตัวเกมดูเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจมากจาก Metal Gear Solid V: The Phantom Pain ค่อนข้างสูง (แน่นอนก็เกมตัวเอง) แนวทางการเล่นในภาคนี้จึงจะมีความ Action มากกว่าเดิม นอกจากนี้ก็ยังมีศัตรูใหม่ ที่นอกจาก คน,BT แล้วก็ยังมี “หุ่นยนต์” ให้เรามาสาดกระสุนใส่ด้วย บอกเลยว่าใครที่โหยหาฉากบู๊มันส์ ๆ ในภาคนี้ใส่มาให้คุณแทบจะทั้งเกมเลยล่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม นอกจาก QOL ที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นจากภาคแรกแล้ว ใน Death Stranding 2 มันก็ไม่ได้นำเสนอลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ ให้เลย คือทั้งเกมเราก็จะใช้วิธีการส่งของแบบเดิม ๆ ทั้งเกม และส่งผลให้ Gameplay มันซ้ำซากมาก ๆ ซึ่งปัญหานี้ก็มีมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว แต่ความสนุกของเกมนี้จะอยู่ที่การวางแผน การจัดการ และการตัดสินใจทำอะไรให้รอบคอบ แต่ด้วยการที่ในภาคนี้ Sam ได้มีประสบการณ์สูงขึ้นมาก นั่นหมายถึงตัวเราเองก็เช่นกันที่ผ่านอะไรต่ออะไรมาเยอะในภาคแรก และยิ่งกับ QOL ที่ปรับปรุงขึ้น ทำให้เรากลับรู้สึกว่ามัน “ไม่ท้าทาย” สักเท่าไร

ไม่ว่าจะเป็นการส่งของ ที่ผมรู้สึกว่าภาคนี้มันสะดวกสบายเกินไป ซึ่งมันก็อาจจะเป็นเรื่องดี เพราะมันจะไม่ทำให้เราหงุดหงิด หรือการต่อสู้กับ BT ที่ผมไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรเลย ต่างจากภาคแรกที่เราจะกลัวมันมาก ๆ เหมือนกับเล่นเกมสยองขวัญ แต่ในภาค 2 ผมกลายเป็นผู้เล่นสายออกล่า BT วิ่งเข้าใส่และประเคน Blood Granade ให้มันรัว ๆ เพราะภาคนี้เราพกระเบิดได้เยอะกว่าเดิมมาก ๆ หรือแม้กับฉาก Action ลอบเล้น ที่ผมก็เปิดโหมด Gears of Wars บุกไล่ยิงทั้งฐาน โดยไม่ต้องห่วงว่าเราจะต้องเอาศพไปเผาอีกต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าโดยรวมแล้วเราสนุกขึ้นมากก็จริง แต่ด้วยการที่ตัวเกมไม่ได้นำเสนออะไรใหม่ ๆ หรือมีลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ ให้เลย ก็ต้องบอกว่าผิดหวังอยู่เหมือนกัน

Death Stranding 2 On the Beach ยังคงระบบ connection กับผู้เล่นอื่นเอาไว้เหมือนเดิม มีสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ มาให้เลือกใช้ แต่เอาเข้าจริงทั้งเกมเราก็จะวน ๆ อยู่กับเครื่องปั่นไฟนี่แหล่ะ เพราะลำพังแค่การใช้รถบรรทุกส่งของ มันก็เพียงพอและสะดวกสบายมากแล้ว แถมภาคนี้ยังมีรถราง เอาไว้ย้าย Cargo ไปมาระหว่างฐาน โดยที่เราไม่ต้องบังคับเองมาให้ด้วยนะ จะสบายไปไหน

อย่างไรก็ตาม Death Stranding 2 On the Beach มันก็ยังไม่ใช่เกมสำหรับทุกคนอยู่ดี จริงอยู่ว่าด้วยการปรับปรุง QOL ที่มากขึ้น จนทำให้เราสบายมาก ๆ แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นเกมส่งของ ใครที่ไม่ชอบภาคแรกมา ต่อให้มาเล่นภาค 2 ผมก็ยืนยันได้เลยว่าคุณก็คงจะยังไม่ชอบเหมือนเดิม แต่ถ้าใครที่เล่นภาคแรกมา แล้วไม่ติดขัดอะไร ภาค 2 จะทำให้คุณเล่นเกมนี้แบบสบายใจมากขึ้นเยอะครับ


Performance | งานภาพและเสียง ความงามที่มาพร้อมกับสุดยอดการ Optimize


นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานขึ้นหิ้งแห่งปี 2025 ในเรื่องของกราฟิกและการ Optimize เกมขั้นสุดยอด ที่ผมขอกราบงาม ๆ ให้กับทีม Kojima Productions และ Guerrilla Game ที่ได้สร้างสรรค์โลกของ Death Stranding 2 ออกมาผ่าน Decima Engine สุดยอดเพรชเม็ดงามของวงการเกม และนี่ควรจะเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการเกม Console ได้แล้ว พร้อมกับประกาศให้โลกรู้ รวมถึงไปลากทีมงานเกมค่ายอื่น ๆ มาให้ดู ว่า “การ Optimize เกม เขาทำกันแบบนี้”

Death Stranding 2 On the Beach เป็นเกมที่มีกราฟิกสวยงามมาก ๆ บอกก่อนเลยว่าในการรีวิวครั้งนี้ ผมใช้เพียงแค่ PlayStation 5 เวอร์ชันธรรมดา และเล่นเกมในโหมด Performance ซึ่งตัวเกมสามารถรันภาพได้ที่ 4K เล่นที่ 60FPS โดยตลอดทั้งเกม ผมไม่ได้สัมผัสถึงอาการ Frame Drop อย่างเห็นได้ชัดเลย สามรถเล่นได้ที่ 60FPS Stable ส่วนในโหมด Quality นั้น จะรันเกมที่ 4K เช่นกัน แต่จะเล่นที่ 30FPS ที่มาพร้อมกับ Ray Tracing ซึ่งถ้าหากใครที่ชอบระบบแสงเงาประเภทนั้น ก็ไปเปิดกันได้ (แต่แนะนำให้เล่น Performance Mode ดีกว่า)

ทีมงานสามารถดึงเอาศักยภาพของ Decima Engine ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเรื่องนี้ควรจะเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเกม กับการ Optimize Game ที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ หากย้อนกลับไปในเกมภาคแรกบนเครื่อง PS4 ทีมงานก็เคยแสดงมาให้ดูแล้ว ว่าการ Optimize เกมมันเป็นยังไง และตอนนี้กับภาค 2 ทีมงานก็ดึงเอาความสามารถของ PlayStation 5 ออกมาได้ดีเช่นกัน

เพลงประกอบในภาคนี้ยังคงได้ Ludvig Forssell มารับผิดชอบเหมือนเดิม พร้อมกับเสริมทัพด้วย Woodkid ศิลปินชาวฝรั่งเศษเจ้าของผลงานกำกับ MV ให้กับศิลปินชื่อดังมากมายมาแล้วอย่าง Katy Perry, Taylor Swift, Drake และ Harry Styles ก็มาทำเพลงให้กับ Death Stranding 2 เช่นกัน


สรุป


ย้อนกลับไปในปี 2019 ณ วันที่ผมได้ปล่อยรีวิว Death Stranding ภาคแรกออกมา ผมได้บอกไว้ว่า Death Stranding เป็นเกมที่ไม่เหมาะกับทุกคนแน่นอน และในวันนี้ ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่า Death Stranding 2 ไม่ใช่เกมสำหรับทุกคนแน่ ๆ ด้วยระบบการเล่น การเล่าเรื่อง ทุกสิ่งทุกอย่างของเกมนี้ มันเป็นความ “ติสท์” ของ Hideo Kojima ซึ่งเอาจริง ๆ เฮียแกก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ถ้าใครที่ตามเล่นเกมของเฮียแกจริง ๆ ก็จะรู้ว่าสิ่งที่เขาพยายามจะทำ มันไม่ใช่แค่ Video Game แต่มันคือ Culture เลยล่ะ

แต่ถ้าหากใครที่ประทับใจกับเกมภาคแรก ผมต้องบอกเลยตรงนี้เลยว่า Death Stranding 2 On the Beach เป็นเกมที่คุณจะต้องไปหาเวลามาเล่น จงลางาน หรือวางแผนช่วงวันหยุดยาวให้ดี ๆ เพราะเกมนี้ใช้เวลาประมาณ 30 ชั่วโมงในการจบเนื้อเรื่องหลัก และมันจะต้องเป็นการเล่นแบบรวดเดียวจบ อย่าปล่อยค้างเด็ดขาด และผมรับประกันเลยว่า เกมนี้จะมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตให้คุณ ถ้าหากคุณได้เข้าสู่โลกของ “A Hideo Kojima Game” ครับ

เวลาที่ใช้เล่นจนจบเพื่อทำ Review เกมนี้อยู่ที่ 46 ชั่วโมงครับ