ออกตัวก่อนว่าผมติดตาม Maroon 5 มาตั้งแต่ช่วงต้น ๆ สมัยวง Kara’s Flowers และต่อเนื่องมาจนวงเปลี่ยนชื่อเป็น Maroon 5 ส่วนตัวแล้วอัลบั้ม ‘Songs About Jane’ ปี 2002 ยังคงเป็นผลงานของพวกเขาที่ผมชอบมากที่สุด เพราะมันให้สุ้มเสียงที่สะท้อนตัวตนความเป็นวงป๊อปร็อก ที่มีกลิ่นอายของดนตรีอาร์แอนด์บีโซลออกมาได้ดีที่สุด อีกทั้งตัวอัลบั้มยังมาพร้อมกับเมโลดี้ที่ติดหู เสียงนักร้องที่มีเอกลักษณ์ (แถมหล่ออีกด้วย) แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่ทำให้ Maroon 5 กลายมาเป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในปัจจุบัน

แต่ขอสารภาพว่า หลังจากได้ดูโชว์ที่ Maroon 5 กลับมาเปิดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่ 6 ในไทย ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อค่ำคืนของวันที่ 10 ธันวาคม 2022 ผมก็สัมผัสได้ถึงโชว์ที่ยังดูสนุกเหมือนเคย แต่ต้องยอมรับว่าด้านคุณภาพนั้นลดลง โดยเฉพาะคุณภาพเสียงร้องที่ตกลงไปอย่างน่าใจหายของ อดัม เลอวีน (Adam Levine) นักร้องนำของวง

นี่คือการชมคอนเสิร์ตใหญ่ Maroon 5 ครั้งที่ 5 ของผม แน่นอนส่วนตัวได้เห็นพัฒนาการเสียงร้องของเลอวีนมาตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ช่วงหลังเลอวีนโดนวิจารณ์จากสื่อไม่น้อยเรื่องเสียงร้องขณะแสดงสด ซึ่งโชว์ครั้งนี้เขามีปัญหาเรื่องการร้องหลุดโน้ตบ่อย ๆ รวมถึงคุณภาพของเสียงที่เปล่งออกมาดูจะมาแบบ 70% เท่านั้น โดยเฉพาะเพลงแรกของโชว์อย่าง “Moves Like Jagger” และเพลงจากอัลบั้มที่ 2 “Makes Me Wonder” ที่จะเห็นได้ชัดว่านักร้องวัย 43 ปีมีปัญหาเรื่องการร้องแตะหัวโน้ต

ปัญหาเรื่องเสียง เกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายข้อ ทั้งเรื่องการพักผ่อนน้อย จำนวนทัวร์ที่ถี่เกินไป รวมถึงอุณหภูมิที่ร้อนเกินไป (เจ้าตัวยังเอยปากบนเวทีด้วยว่า ‘ร้อนมาก ๆ แบบมาก ๆ ครับ’) นอกจากปัจจัยที่เกริ่นไปข้างต้นแล้ว อาจเพราะหลาย ๆ เพลงของเขาค่อนข้างมีเรนจ์ (range) หรือช่วงเสียงที่สูงกว่าเสียงของเขาตอนนี้ ซึ่งโชว์ที่ประเทศไทยครั้งก่อนเลอวีนก็ร้องด้วยเสียงที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบนี้

แต่ใช่ว่าโชว์นี้เขาจะทำได้ไม่ดีตลอด เสียงของเลอวีนมาเข้าที่และร้องได้ดีตอนเพลงที่เรนจ์กลาง ๆ หรือช่วงเพลงที่ไม่ต้องไปร้องตะโกนแข่งกับดนตรีมาก ๆ อย่างพวก “Don’t Wanna Know”, “Sunday Morning”, “Memories” หรือ “She Will Be Loved”

แม้จะมีช่วงที่เสียงดรอปอย่างเห็นได้ชัด แต่เลอวีนก็ยังทำหน้าที่อื่นของเขาได้ดีทีเดียว ตลอดทั้งโชว์เขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นสุดยอดเอนเตอร์เทนเนอร์ รอบนี้ผมรู้สึกว่าเขาทำหน้าที่ในการส่งต่อความสนุกให้กับคนดูได้ดีมาก ๆ ดูเข้าถึงมากกว่าครั้งก่อน ๆ และแน่นอนทุกโชว์ของ Maroon 5 ก็ต้องมีซีนที่เลอวีนหยิบกีตาร์ขึ้นมาโซโลด้วย ซึ่งฝีมือในการโซโลกีตาร์ของเขา ก็ยังทำออกมาได้แสบดากสะท้านทรวงเหมือนเดิม 

ภาพรวมของวง เล่นดีนะครับรอบนี้ มีการอะเรนจ์ (arrange) เรียบเรียงท่อนมาใหม่บ้าง ไม่เหมือนรอบก่อน ๆ ที่แทบจะเล่นตามแผ่นเป๊ะ ๆ ที่ผมชอบที่สุดในโชว์ครั้งนี้คือการเล่นของ ‘พีเจ มอร์ตัน’ (PJ Morton) มือคีย์บอร์ดของวง ที่นอกจากร้องประสานได้เนียนสุด ๆ แล้ววอยซิง (Voicing) เปียโนที่เขาเลือกใช้ก็ช่วยเพิ่มสีสันให้วงได้ดีมาก ๆ ส่วนเจมส์ วาเลนไทน์ (James Valentine) เจสซี คาร์ไมเคิล (Jesse Carmichael) แมตต์ ฟลินน์ (Matt Flynn) และ Sam Farrar (แซม ฟาร์ราร์) ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี

Maroon 5 โชคดีมาก ๆ ที่มีเพลงฮิตเยอะ ซึ่งกลายมาเป็นแกนหลักเรื่องความสนุกของโชว์ในครั้งนี้ นอกจากเพลงที่ยกตัวอย่างไปแล้ว งานนี้พวกเขาได้ขนเพลงฮิตชาร์ตมาเล่นอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น “This Love”, “Animals”, “What Lovers Do”, “Harder to Breathe”, “Girls Like You”, “Daylight”, “Memories”, “She Will Be Loved” และ “Sugar” แม้เชตลิสต์จะดูคล้ายกับโชว์ครั้งที่แล้ว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นเซตลิสต์เอาใจคนดูจริง ๆ

Maroon 5 เป็นวงระดับโลกที่มาเยือนบ้านเราบ่อยมาก ๆ แน่นอนด้วยชื่อชั้นกับเพลงฮิตของพวกเขา ก็ยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนได้เสมอ ด้านโชว์วันนี้ต้องยอมรับว่า Maroon 5 ยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านโชว์ช่วงสมัยอัลบั้ม 2-3 อย่าง ‘It Won’t Be Soon Before Long’ หรือ ‘Hands All Over’ ได้ ซึ่งผมคิดว่านั่นคือช่วงเวลาที่พวกเขาทำโชว์ออกมาได้ดีที่สุดแล้ว แต่ถ้านับเรื่องความสนุก การปลุกเร้าอารมณ์ผู้คน หรือการมอบประสบการณ์ให้แฟน ๆ ได้ดื่มด่ำร้องเพลงฮิตที่พวกเขาชอบสด ๆ บอกได้เลยว่าโชว์ครั้งนี้ถือว่าสอบผ่านมาก ๆ

เครดิตภาพ: Live Nation Tero

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส