จอห์นนี สติมสัน (Johnny Stimson) นักร้องชาวอเมริกันเจ้าของเพลงฮิต “Smile”, “Honeymoon” และ “Flower” เพิ่งจะเดินทางมาเปิดคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทีมงาน beartai BUZZ ได้มีโอกาสนั่งคุยกับผู้ชายคนนี้ในหลากหลายประเด็นทางดนตรี ทั้งจุดเปลี่ยนบนเส้นทางสายดนตรี อัลบั้มเปลี่ยนชีวิต และเบื้องหลังการแต่งเพลงของเขา

เคยมองย้อนกลับไปนึกถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตไหม คุณคิดว่ามันน่าจะเป็นเหตุการณ์ไหน

สติมสัน: ปี 2017 ตอนที่ผมทำเพลงอยู่กับเพื่อนที่นิวยอร์ก วันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วก็เห็นว่า ศิลปินอินโดนีเซียชื่อไรซ่า (Raisa) ที่ดังมาก ๆ ในประเทศของเขา ใช้เพลงของผมในวิดีโอแต่งงานของเธอ แล้วผมก็เริ่มได้รับข้อความจากชาวเอเชียเยอะแยะเลยว่าพวกเขาชอบเพลง “Honeymoon” ของผม นั่นเป็นจุดที่ผมรู้สึกว่าบางอย่างได้เปลี่ยนไป

เมื่อก่อนผมเป็นคนที่กลัวโซเชียลมีเดีย แต่พอผมได้เห็นข้อความน่ารัก ๆ จากทุกคน ผมก็คิดว่าถ้าพวกเขาชอบเพลงของผม อย่างน้อยผมก็น่าจะขอบคุณพวกเขาซักหน่อย ผมก็เลยเริ่มตอบข้อความกลับ หลังจากนั้น ผมก็เริ่มเห็นคนบอกว่าอยากให้ผมมาเอเชีย นั่นเลยกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายใหญ่ในชีวิตของผมที่จะมาร้องเพลงที่นี่ ผมเคยไปเล่นโชว์ในหลาย ๆ ที่นะ แต่ผมยังไม่เคยมาเล่นที่ประเทศไทยสักที ผมรู้สึกว่าการได้มาเล่นที่นี่เป็นโมเมนต์ที่สำคัญมากในชีวิตผม แต่ถ้าพูดถึงจุดเปลี่ยนเลยก็คงต้องเป็นปีนั้น

จุดเปลี่ยนในเรื่องการแต่งเพลงล่ะ

สติมสัน: ผมคิดว่ากระบวนการแต่งเพลงของผมเหมือนการเขียนไดอารี่เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ผมรู้สึกและเกิดขึ้นในชีวิต ผมเริ่มแต่งเพลงมานานมากแล้วตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น จนถึงตอนนี้ผมก็แต่งไว้เยอะมาก แต่ตอนคุณยังเด็ก ๆ ที่พยายามเรียนรู้ว่าจะแต่งเพลงยังไงดี คุณจะพยายามแต่งในแบบที่คนอื่นคิดว่าเจ๋งหรือแบบที่คนอยากได้ยิน ผมก็เหมือนกัน

จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้ที่ผมค้นพบว่าสิ่งสำคัญคือการหาความเป็นตัวเองและแต่งเพลงในแบบที่ออกมาจากใจ และตอนที่ผมแต่งเพลงที่มาจากใจผมจริง ๆ คนก็ชอบเพลงพวกนั้นมากกว่า ผมเลยค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนจากการแต่งเพลงให้คนชอบ มาแต่งเพลงที่มีความหมายกับตัวผมเอง แต่นี่ก็ยังเป็นสิ่งที่ผมยังพยายามเรียนรู้อยู่นะ

คุณคิดว่าสิ่งที่สำคัญในการแต่งเพลงคืออะไร เมโลดี้ เนื้อเพลง หรือฮาร์โมนี และคุณรู้สึกว่าเพลงของคุณจำเป็นต้องติดหูหรือติดตลาดไหม

สติมสัน: สำหรับผมนะ เมโลดี้มาเองเลย ผมสามารถนั่งแต่งเมโลดี้ได้เป็นล้านแบบ ผมชอบทฤษฎีดนตรี ฮาร์โมนี และคอร์ด คุณพ่อของผมเขาเป็นนักดนตรีที่เก่งมากเลย เขาสามารถนั่งฟังเฉย ๆ แล้วก็เล่นได้เลย แล้วผมก็อยากเป็นเหมือนคุณพ่อของผม เพราะฉะนั้น ในด้านดนตรีผมอยากแต่งเพลงที่ฟังง่ายและสนุกที่จะร้องตาม

แต่สิ่งที่เป็นเรื่องท้าทายที่สุดที่ผมเจอในการแต่งเพลงก็คือเนื้อเพลง การแต่งเนื้อให้มีความหมายพิเศษเป็นเรื่องยากสำหรับผม ผมเลยพยายามโฟกัสว่าเรื่องราวในชีวิตของผมมีธีมอะไรบ้าง แล้วจดธีมพวกนั้นไว้ในมือถือ บางอันก็ดูเป็นชื่อเพลงและกลายเป็นเพลงที่มีความหมายได้เลย แต่บางครั้งผมก็ใช้เวลาเป็นเดือนเพื่อแต่งเนื้อเพลง ในขณะที่ผมใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวในการแต่งเมโลดี้ แต่ผมว่าทั้ง 2 ส่วนก็สำคัญไม่แพ้กันเลยนะ

ผมรักการแต่งเพลง สิ่งที่สนุกที่สุดคือการได้นำสิ่งที่อยู่ในจินตนาการมาทำให้เป็นจริง ผมชอบการเล่นคอนเสิร์ตและด้านอื่น ๆ ในวงการดนตรีนะ แต่การแต่งเพลงนี่ผมรักเลย ผมมักจะตื่นมานั่งเล่นเปียโนหลังจากไปวิ่งมาตอนเช้า กินข้าว ฮัมเมโลดี้ ลองดูว่าเนื้อเพลงจะออกมาเป็นยังไง และตอนบ่ายก็จะเป็นช่วงที่ผมเริ่มอัดเพลงใส่ในคอมพิวเตอร์

ปกติผมจะเริ่มจากเมโลดี้และจบด้วยเนื้อเพลง ผมจะพยายามจนกว่าผมจะสามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวผมออกมาได้แบบที่ผมต้องการ แต่สุดท้ายแล้วกระบวนการการแต่งเพลงของผมแต่ละวันมันก็แตกต่างกันไปนะ บางเพลงผมใช้เวลา 6 เดือน ค่อย ๆ แต่งไปทีละนิดทุกวัน บางเพลงผมแต่งเสร็จเร็วมาก และนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้ผมรักในการทำเพลง เพราะมันไม่เคยเหมือนเดิมเลยสักครั้ง 

เนื้อเพลงของคุณมีความหมายต่อตัวคุณอย่างไรบ้าง

สติมสัน: ผมชอบการที่ทุกเพลงจะมีจุดที่แตกต่างกัน แต่ผมก็ยังอยากให้เพลงของผมมีเอกลักษณ์ที่ทำให้คุณรู้ได้ว่า นั่นคือเพลงของจอห์นนี่! ผมว่าการที่เนื้อเพลงสื่อสารความรู้สึกออกมาอย่างจริงใจและแชร์ทั้งสุขทั้งทุกข์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมเคยอยากจะแชร์แค่ด้านดี ๆ ของชีวิต เพื่อที่จะให้กำลังใจผู้คน แต่ผมก็มารู้สึกว่าการแชร์ทุกด้านก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน

ผมพยายามหาธีมที่น่าจดจำอย่าง “Butterflies” หรือ “Flower” และเขียนเนื้อออกมาให้มีความซับซ้อนหลายชั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมใช้เวลาในการหาวิธีเล่นคำและใส่ความลับหรือคำใบ้บางอย่างลงไปในเพลง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องท้าทายสำหรับผมที่จะต้องทำเพลงความหมายดี ๆ ให้อยู่ภายในเวลาสั้น ๆ เพียง 3 นาที แต่ผมก็อยากให้เพลงของผมเป็นเพลงที่ตอนคุณฟังรอบที่ 100 คุณก็อาจจะยังเจอความหมายที่ซ่อนอยู่ข้างใน

นี่อาจจะยากสำหรับคุณหน่อย ถ้าจะถามว่าเพลงที่คุณชอบที่สุดคือเพลงอะไร

สติมสัน: ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะทุกเพลงเป็นเพลงที่พิเศษสำหรับผม ถ้าคุณเป็นศิลปินนะ เพลงที่เพิ่งแต่งมักจะเป็นเพลงที่พิเศษที่สุด มีเพลงหนึ่งที่ผมเพิ่งแต่งกับเพื่อนที่แนชวิล แล้วผมก็ตื่นเต้นมากเลยที่ทุกคนจะได้ยินมันเร็ว ๆ นี้ 

แล้วก็มีเพลงที่ชื่อ “Flower” ตอนผมทำเดโมเพลงนี้ ผมคิดว่า “โอเค เดี๋ยวต้องหาโปรดิวเซอร์เก่ง ๆ มาช่วยผมทำเพลงให้เสร็จ” แต่พอภรรยาผมฟัง เธอบอกว่า “ไม่นะ เพลงมันเพราะอยู่แล้ว” ผมก็บอกว่า “ไม่ ๆ มันยังไม่พร้อม” แต่สุดท้ายเธอก็บอกให้ผมลองปล่อยเพลงแล้วดูว่าคนคิดอย่างไรกับมัน และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่งในชีวิตการทำงานของผมเหมือนกันนะ เพราะพอผลตอบรับออกมาดี ผมก็รู้สึกมั่นใจกับความสามารถของตัวเองมากขึ้น แล้วมันก็กลายเป็นเพลงที่พิเศษสำหรับผม โดยเฉพาะตอนที่ผมร้องบนเวที มันทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนที่กำลังเรียนรู้การทำเพลงช่วงแรก ๆ และภรรยาของผม เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมแต่งให้เธอด้วย

อัลบั้มไหนเปลี่ยนชีวิตคุณ

สติมสัน: ‘Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band’ ของ The Beatles ผมว่าเป็นอัลบั้มที่เจ๋งมาก ผมเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับเมโลดี้และคอร์ด เพราะผมบอกพ่อว่าวงที่ผมชอบที่สุดคือ The Beatles เขาเลยบอกว่าเดี๋ยวเขาจะสอนผมว่าดนตรีของ The Beatles เป็นอย่างไร นี่เป็นอัลบั้มที่มีคอนเซ็ปต์ของมัน และเปิดโลกสำหรับผมมาก ๆ ตอนผมได้ฟังเพลงของ The Beatles ผมก็รู้เลยว่าผมอยากเป็นนักดนตรี

ถ้าเปรียบเทียบชีวิตของคุณกับเพลง เพลงนั้นจะเป็นเพลงอะไร

สติมสัน: คุณรู้จักเพลงที่ร้องแบบนี้ไหม “You make my dreams come true” ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมตอนนี้เป็นแบบนั้นเลย เพราะสิ่งที่ผมหวังมาตลอดกำลังเกิดขึ้น ผมรู้ว่าเดี๋ยวผมก็จะกลับบ้านในไม่กี่สัปดาห์ แล้วทุกอย่างก็จะเริ่มกลับเข้าสู่ชีวิตปกติอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมยังอยากอยู่กับโมเมนต์นี้ที่ผมฝันไว้มาตลอดว่าจะได้ทัวร์และร้องเพลงให้ผู้คนฟัง เพลง “You Make My Dreams” ของ Daryl Hall & John Oates เลยเป็นเพลงที่สะท้อนความสุขและการที่ชีวิตของผมได้ถูกเติมเต็มในตอนนี้

คุณเติบโตมากับ CD แต่ในปัจจุบันการสตรีมเพลงจากอินเทอร์เน็ตกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง คุณคิดว่านี่เป็นเรื่องดีหรือไม่

สติมสัน: ผมรักการได้มีชีวิตอยู่ในยุคนี้มาก ยุคก่อนคือช่วงที่คุณจะต้องมี CD อยู่ในมือ ซึ่งนั่นก็เจ๋งดีเพราะคนที่สะสม CD กลายมาเป็นแฟนเพลงของคุณจริง ๆ แต่ผมคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับคนที่อยากแต่งเพลงหรือมีเรื่องราวในใจที่อยากแชร์เพราะคุณสามารถแชร์ให้กับคนได้ไม่จำกัด แล้วตอนนี้โซเชียลมีเดียก็ช่วยให้เราสามารถเชื่อมต่อกับแฟน ๆ ได้มากขึ้นด้วย 

ผมเห็นเด็กอายุ 13 จากอินโดนีเซียที่ต้องผ่านเรื่องราวที่ยากลำบาก แต่เขาก็ยังสามารถสตรีมเพลงใน Spofity ได้ พวกเขาจะฟังเพลงของผมไม่ได้เลยถ้าผมทำเพลงอยู่ในยุค 90s จริงอยู่ที่ผมอยากจะแต่งเพลงที่ติดหูที่คนจะอยากฟังในวิทยุ แต่ผมก็อยากจะแต่งเพลงที่สามารถสร้างคอมมูนิตี้ที่คอนเนกต์คนเข้าด้วยกันได้ และตอนนี้บริการสตรีมมิงกับโซเชียลมีเดียก็เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่ในการทำสิ่งนั้น

ได้ข่าวว่าคุณเคยมาต่อเครื่องที่ประเทศไทย แต่ยังไม่ได้เที่ยวแบบจริง ๆ จัง ๆ พอได้มาทัวร์ครั้งนี้ คุณชอบอะไรเกี่ยวกับประเทศไทยบ้าง

สติมสัน: แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นอาหารไทย ผมกินอาหารไทยเยอะมากเมื่อคืน บอกเลยว่าอร่อยกว่าที่ผมเคยกิน 50 เท่า แล้วพวกเราก็ได้ไปเดินเที่ยวตอนกลางคืนด้วย จริง ๆ ผมไม่ใช่คนชอบปาร์ตี้หรือไปเที่ยวผับอะไรเท่าไหร่ แต่ผมชอบการได้เห็นผู้คนออกมาสนุกกัน ผมรู้สึกได้ถึงเอเนอร์จี้และความสุขของผู้คน ผมรู้ว่าถ้าผมอยู่นานกว่านี้ ผมจะได้เห็นทั้งช่วงที่ครึกครื้น ช่วงที่เงียบ และชีวิตของผู้คนจริง ๆ ที่นี่ แต่สำหรับตอนนี้แค่ได้เห็นผู้คนออกมาสนุกกันผมก็เอ็นจอยแล้ว 

คุณมองภาพอนาคตของตัวเองในอีก 5-10 ปีข้างหน้าไว้อย่างไรบ้าง

สติมสัน: ผมเห็นตัวเองอยู่ที่ประเทศไทย เล่นคอนเสิร์ต 2 คืน นั่งคุยเล่นจิบน้ำมะนาวแล้วคิดว่า “นี่มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรเนี่ย” นั่นคือสิ่งที่ผมหวังนะ

ดนตรีมีความหมายต่อคุณอย่างไร

สติมสัน: ดนตรีคือแพสชันในชีวิตของผม เป็นสิ่งพิเศษ และเป็นอีกภาษาของมันเอง ถึงแม้คนเราจะไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน แต่คุณสามารถแชร์เมโลดี้และความรู้สึกได้ และสำหรับตัวผมเอง ดนตรีให้โอกาสผมได้ท่องเที่ยวและพบปะผู้คน จนตอนนี้ผมได้เพื่อนใหม่ในประเทศไทยแล้วเนี่ย ผมได้เห็นอะไรที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ได้รู้จักวัฒนธรรมที่อยู่อีกคนละซีกโลก และนั่นก็เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนผมว่าคนเรานั้นช่างแตกต่างกัน วัฒนธรรมทำให้ทุกอย่างแตกต่างกัน แต่ข้างในใจของพวกเรายังเหมือนกัน

ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมว่าผมอยากทำเพลงเพราะผมชอบคอร์ดแจ๊สเท่ ๆ และชอบเมโลดี้ แต่สุดท้ายแล้วดนตรีกลายเป็นเส้นทางที่ทำให้ผมได้เจอผู้คน ผมก็ไม่รู้ 100% หรอกว่าดนตรีมีความหมายยังไงสำหรับผม แต่ผมกำลังตามหาความหมายนั้นอยู่ ผมอยากจะตามหาสิ่งนั้นตลอดชีวิตของผม

ก่อนจาก คุณชอบคอร์ดอะไรที่สุด

สติมสัน: Gmaj7(9) ผมชอบมาก ผมจำได้ว่าพ่อของผมโชว์ให้ผมดูว่า “คอร์ด Gmaj7 เป็นแบบนี้” และผมรู้สึกว่าคอร์ดนี้มันให้ความรู้สึกที่สมูธมาก ผมชอบคอร์ดนี้นะ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส