หลังจากเป็นข่าวลือมาร่วมสัปดาห์ว่าจะมีการควบรวมกิจการของค่ายหนังเอ็มจีเอ็ม (MGM) เจ้าของโลโก้สิงโตคำราม ไปอยู่ใต้ปีกของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสตรีมมิงอย่าง แอมะซอน (Amazon) วันนี้ก็ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการถึงการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวด้วยมูลค่าที่สูงถึง 8,450 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 263,893 ล้านบาทเลยทีเดียว

สำหรับความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญนี้มีที่มา จากการรุกคืบของบริษัท วอร์นเนอมีเดีย (WarnerMedia) ที่อยู่กับ เอทีแอนด์ที (AT&T) ซึ่งได้ควบรวมกับบริษัท ดิสคัฟเวอร์รี (Discovery) และทำให้บริษัทใหม่ที่เอทีแอนด์ทีและดิสคัฟเวอร์รีจะถือหุ้นในอัตราส่วน 71:29 นี้ กลายเป็นขั้วอำนาจด้านสตรีมมิงใหม่ ขึ้นมาแข่งขันกับเจ้าตลาดเดิมอย่าง เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) และ ดิสนีย์ (Disney) และหากแอมะซอนไม่ขยับตัวในตอนนี้จะยิ่งรั้งท้ายในตลาดสตรีมมิงที่เป็นโอกาสทางธุรกิจแห่งยุคสมัยไปในทันที

อ่านข่าว AT&T จับมือกับ Discovery เตรียมเปิดตัวสตรีมมิ่งเซอร์วิสของตัวเอง

เดิมแอมะซอนมีบริการสตรีมมิงของตัวเองในชื่อ แอมะซอน ไพรม์ วิดีโอ (Amazon Prime Video) ซึ่งมีคอนเทนต์ที่แข็งแกร่งในด้านทีวีซีรีส์ทั้ง ‘The Boys’ ‘Invincible’ ‘Lord of the Rings’ และ ‘The Wheel of Time’ อยู่แล้ว หากแต่ยังขาดคอนเทนต์หนังโรงที่แข็งแรง ต่างจากดิสนีย์ หรือวอร์นเนอร์ ที่มีคลังหนังของตัวเองจำนวนมาก หรือแม้แต่เน็ตฟลิกซ์เองก็มีหนังทั้งที่ลงทุนสร้างเองและซื้อมาฉายจำนวนมากเช่นกัน

Prime Video

การที่แอมะซอน ได้คลังหนังจากเอ็มจีเอ็ม ซึ่งเป็นสตูดิโอหนังแห่งหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดของฮอลลีวูดที่ดำเนินกิจการมาเกือบ 100 ปี มีลิขสิทธิ์หนังของตัวเองที่ร่วมสมัยมากมายกว่า 4,000 เรื่อง และยังมีคอนเทนต์ทางโทรทัศน์อีกกว่า 17,000 ชั่วโมง ซึ่งที่ว่ามายังรวมถึงแฟรนไชส์หนังดังอย่าง ‘James Bond’ และ ‘The Rock’ เป็นอาทิ ยังไม่นับหนังใหม่ที่อยู่ในสายการผลิต ซึ่งน่าสนใจไม่น้อยทั้ง ภาคต่อของ ‘Tomb Raider’ หรือโปรเจกต์เรื่องถัดไปของผู้กำกับ ‘Mad Max’ อย่าง จอร์จ มิลเลอร์ ใน ‘Three Thousand Years of Longing’ เป็นต้น

ไมก์ ฮอปกินส์ (Mike Hopkins) รองประธานอาวุโสของไพรม์วิดีโอ และแอมะซอนสตูดิโอส์ (Amazon Studios) กล่าวในแถลงการณ์การควบรวมกิจการว่า “มูลค่าที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังข้อตกลงนี้ คือคลังขุมทรัพย์หนังและคอนเทนต์ ซึ่งเราจะวางแผนและพัฒนาต่อยอดร่วมกับทีมที่มีความสามารถของ MGM ต่อไป มันน่าตื่นเต้นอย่างมาก และเปิดโอกาสมากมายสำหรับเรื่องเล่าคุณภาพสูง”

ซึ่งเอาจริงการควบรวมครั้งนี้ถือว่าเซอร์ไพรส์นักวิเคราะห์บางส่วนไม่น้อย ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ค่อนข้างสูงเกินจริงจากการประเมินไปมากพอสมควร แต่กระนั้นเมื่อมองในแง่สงครามตลาดสตรีมมิงนี่คือช่วงเวลาที่ถอยไม่ได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ทำให้ตอนนี้ แอมะซอน ก็จะกลายเป็นอีกขั้วอำนาจสตรีมมิงที่น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนกว่า ดิสนีย์ เน็ตฟลิกซ์ หรือวอร์นเนอร์มีเดียกับดิสคัฟเวอร์รี เลยด้วย

กำไรของผู้บริโภคอย่างเราล้วน ๆ ครับ อยู่ที่ว่าจะดูกันไหวหรือเปล่าแค่นั้น

ที่มา

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส