ย้อนกลับไปในสมัยเด็กตอนที่คุณ ๆ ทั้งหลายยังเป็นเด็กเห่อ (การ์ตูน) ที่ยังไม่รู้จักคำว่า “อนิเมะ” กับ “มังงะ” รู้จักแค่การ์ตูนที่ฉายทางทีวีกับหนังสือการ์ตูน ที่เป็นสองสื่อความบันเทิงเพียงไม่กี่อย่างที่เด็กช่วงยุคปลาย 80’s ถึง 90’s รู้จัก จึงไม่แปลกที่พอการ์ตูนเรื่องไหนมาฉายแล้วถูกจริตเด็กยุคนั้นก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความเบียว” เกิดขึ้น แต่ในยุคนั้นจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ไอ้บ้าการ์ตูน” ที่พอเราดูการ์ตูนเรื่องนั้น ๆ จบเราก็จะเรียกเพื่อน ๆ ที่นั่งดูด้วยกันมาเล่นเป็นการ์ตูนเรื่องนั้น และสิ่งที่เด็กยุคนั้นชอบทำและจดจำก็คือท่วงท่าต่าง ๆ ตามในการ์ตูน วันนี้เราย้อนความทรงจำเด็กหนวดกันดีกว่า ว่าในอดีตพวกคุณ ๆ ที่ตอนนี้เป็นคุณพ่อคุณลุงคุณปู่คุณทวด (สองอันหลังเกินไป) ต้องเคยทำท่าหรือตะโกนชื่อท่าเหล่านี้ออกมาอย่างแน่นอน เรามาดูกันดีกว่าว่าจะมีการ์ตูนเรื่องไหนที่คุณเคยเบียวทำตามบ้างมาดูไปพร้อมกันเลย

ดูการ์ตูนจบก็มาปล่อยพลังคลื่นเต่าสะท้านฟ้า จาก Dragon Ball  

เริ่มต้นความเบียวแรกที่เชื่อว่าเด็กหนวดยุค 90 หลายคนต่างต้องเคยทำท่านี้กัน ตอนที่เล่นต่อสู้กับเพื่อน ๆ หลังจากที่ดูการ์ตูนช่อง 9 เรื่อง ‘Dragon Ball’ จบ กับท่าปล่อยที่ชื่อว่า ‘Kamehameha’ หรือที่บ้านเราเรียกท่านี้ว่า “พลังคลื่นเต่า” โดยที่มาของชื่อท่า ‘Kamehameha’ นี้ก็ต้องย้อนกลับไปสมัยที่อาจารย์ โทริยามะ อากิระ (Toriyama Akira) แกกำลังอยากได้ชื่อท่าไม้ตายของผู้เฒ่าเต่า ที่ต้องมีคำว่า “Kame” ที่แปลว่า “เต่า” อยู่ด้วย แต่คิดเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก (ถ้ามาถามคนไทยคงจะได้ชื่อพลังคลื่นเต่าไปแล้ว) จนภรรยาของอาจารย์ก็นึกถึงชื่อของกษัตริย์ฮาวายนามว่า คาเมฮาเมฮา (Kamehameha) ออก ที่ชื่อนี้แปลว่าผู้โดดเดี่ยวในภาษาฮาวาย แถมมีคำว่า ‘Kame’ อยู่ตามที่แกต้องการพอดี ชื่อท่าไม้ตายคาเมฮาเมฮาจึงกำเนิดขึ้นมา ส่วนชื่อพลังคลื่นเต่านั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิด แต่ที่เด็ก ๆ ยุค 90’s จดจำชื่อนี้ได้ก็มาจาก น้าต๋อย แซมเบ้ ที่ตะโกนชื่อท่านี้ในการ์ตูน จนเด็กหนวดยุค 90’s ทุกคนต่างเคยปล่อยพลังท่านี้มาแล้วทุกคน

Dragon Ball

รวมเพื่อน ๆ มาเล่นเป็นการ์ตูนเรื่องนี้และปล่อยท่า เพกาซัสหมัดดาวตก จาก Saint Seiya

มาต่อกันที่อีกหนึ่งท่าที่เด็กเบียวเห่อการ์ตูนยุคปลาย 80’s ถึง 90’s ต่างต้องเคยตั้งท่ารวบรวมพลังต่อยท่านี้กัน นั่นคือท่า “เพกาซัสหมัดดาวตก” ที่จะเป็นท่าหากินของ เพกาซัส เซย์ย่า (Pegasasu Seiya) หรือชื่ออย่างเป็นทางการของท่านี้คือ ‘Pegasasu Sui Sei Ken’ ที่เป็นการรำโดยการโบกแขนซ้ายขวาไปมาในท่าอ้าขา ก่อนจะสะบัดหมัดข้างขวาออกไป ซึ่งคนธรรมดาอย่างพวกไม่เบียวการ์ตูนก็จะมองเป็นแค่หมัดเดียว แต่ความจริงแล้วมันคือการปล่อยหมัดรัว ๆ พร้อมกัน 165 หมัดต่อ 1 วินาที (โดยประมาณ) ที่พอดูเรื่อง ‘Saint Seiya’ จบเด็กยุคนั้นก็จะชวนเพื่อน ๆ มาเล่นเป็นตัวละครในเรื่องนี้กัน โดยทุกคนจะแย่งกันเป็นเซย์ย่าเพราะจะได้ใช้หมัดดาวตก ส่วนตัวละครที่เด็กยุคนั้นไม่อยากเป็นคือ แอนโดรเมด้า ชุน (Andromeda Shun) เพราะชุดพี่แกในฉบับเมะมีหน้าอกเหมือนผู้หญิง แถมชุดเกราะก็สีชมพูเด็ก ๆ ยุคนั้นเลยไม่อยากเป็น ส่วนชื่อหมัดดาวตกน่าจะมาจากคำแปลที่คล้องจองจากต้นฉบับในการ์ตูนที่เอามาดัดแปลง ต่างกับสมัยนี้ที่จะใช้คำทับศัพท์ไปเลยแทนการตั้งชื่อใหม่แบบสมัยก่อน ยอมรับมาเสียดี ๆ ว่าคุณเคยเบียวใช้ท่านี้กัน

 Saint Seiya

เตะทำท่า Drive Shot ตอนเล่นบอลกับเพื่อน จาก Captain Tsubasa

นอกจากการ์ตูนต่อสู้ที่ติดตราตรึงใจเด็ก ๆ ยุคนั้นแล้ว ก็ยังมีการ์ตูนแนวกีฬาที่ก็ได้รับความนิยม ที่ไม่ใช่แค่เด็กไทยหัวใจเห่อฟุตบอลแต่เป็นเด็ก ๆ ยุคนั้นทั่วโลกที่เติบโตมากับการ์ตูนเรื่อง ‘Captain Tsubasa’ หรือในชื่อไทยอย่าง “กัปตันซึบาสะ เจ้าหนูสิงห์นักเตะ” ที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กชาย โอโซระ ซึบาสะ (Ozora Tsubasa) ที่มีลูกฟุตบอลเป็นเพื่อน ที่สมัยเด็กเขาถูกรถสิบล้อชนจนพาเขาไปต่างโลกพร้อมลูกฟุตบอล (อันนี้มั่วแค่เกือบโดนสิบล้อชน) แต่ถ้าคิดให้ดี ๆ ไม่แน่สึบาสะเราอาจจะมาต่างโลกจริง ๆ เพราะในโลกเราจะใครเตะบอลเป็นนกเป็นเสือออกมาจากลูกบอล กับท่าประหลาด ๆ แบบนั้นได้กัน แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้ท่าเหล่านั้นจะทำไม่ได้ในความเป็นจริง แต่เด็กสุดเบียวในยุค 90’s อย่างเราก็สามารถทำได้ ด้วยการตั้งท่าอ้าขาให้เหมือนนกกำลังจะบิน (รูปประกอบข้างล่าง) ก่อนจะตะโกนออกไปดัง ๆ ว่า ไปเลย ‘ Drive Shot’ ก่อนที่ลูกบอลจะลอยด้วยความเร็วพร้อมกับนกอินทรีที่บินคู่กับลูกบอล (เด็กยุคนั้นเบียวจินตนาการไปเอง) ก่อนที่ลูกบอลจะบินไปไหนไม่รู้ ที่สุดท้ายเราก็โดนด่าแล้วให้วิ่งเก็บลูกมา แบบยุคนั้นถ้าเล่นบอลแล้วไม่เตะท่านี้ไม่ได้จริง ๆ

Captain Tsubasa

ทำท่า Avan Strash ในชั่วโมงกระบี่กระบอง จาก Dragon Quest the Adventure of Dai

ก่อนอื่นต้องขอบคุณทางค่ายอนิเมะที่หยิบเอา ‘Dragon Quest the Adventure of Dai’ หรือชื่อไทยอย่าง “ได ตะลุยแดนเวทมนตร์” ที่ฉายไปเมื่อปี 1991 กลับมาสร้างใหม่ จนทำให้เด็กหนวดหลายคนที่ลืมไปว่าในอดีตตัวเองเคยตั้งท่า ‘Avan Strash’ ตอนเรียนกระบี่กระบองให้กลับมาอีกครั้ง โดยคนที่จะใช้ท่านี้ต้องจับดาบหันไปข้างหลังย่อตัวเล็กน้อยพร้อมสีหน้าที่มุ่งมั่นพร้อมลุย ก่อนจะเบ่งพลังในตัวให้ออกมา จากนั้นก็ปล่อยแขนพร้อมดาบออกไปพร้อมกับตะโกนดัง ๆ ว่า “แปลงร่าง” ไม่ใช่และต้องตะโกนว่า “Avan Strash” (ใครคิดไม่ออกก็ดูที่รูปประกอบด้านล่าง) ที่พอทำเสร็จก็โดนครูตีเพราะท่ากระบี่กระบองที่เราสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้นั้นไม่มีท่าเบียว ๆ แบบนี้ ซึ่งสำหรับเด็กยุคนี้ที่เพิ่งมาดูอนิเมะ ‘Dragon Quest The Adventure of Dai’ คงจะทราบดีว่าท่าไม้ตายท่านี้เป็นท่าของ อวาน (Avan) อดีตผู้กล้าคิดค้นขึ้นมา โดยการรวมคำว่า ‘Strike’ + ‘Slash’ บวกกับชื่อของตัวเอง เพื่อคนที่เอาไปใช้จะได้รู้ว่าข้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมา ที่เอาจริง ๆ ท่านี้เท่มาก ๆ ไม่เชื่อลองเอาไปทำดูซิ

Dragon Quest the Adventure of Dai

เขียนตาที่สามวาดมังกรที่แขนเพื่อทำท่าคลื่นเพชฌฆาตมังกรทมิฬ จาก YuYu Hakusho

จากทั้งหมดที่กล่าวมาจนถึงตอนนี้ทุกท่าล้วนแล้วแต่เป็นความเบียว แบบตั้งท่าให้เราทำตามเท่านั้น จะมีก็แต่ท่า ‘Dragon of the Darkness Flame’ หรือชื่อไทยโหดจัดสลัดสุดเบียวว่า “คลื่นเพชฌฆาตมังกรทมิฬ” เท่านั้นที่เด็กยุคนั้นถ้าใครอยากจะเบียวเป็น ฮิเอ (Hiei) หรือไอ้หนูสามตาที่ใช้ท่าคลื่นเพชฌฆาตมังกรทมิฬ คุณต้องให้เพื่อนเขียนตาที่สามบนหน้าผาก และอย่าไปส่องกระจกเขียนเองรับรองว่าเบี้ยวแน่นอน (คนเขียนเคยลองมาแล้ว) หลังจากนั้นก็ให้เพื่อนคนเดิมหรือเราก็ได้เขียนมังกรที่แขนขวา (ใครถนัดซ้ายก็เขียนข้างนั้น) จากนั้นก็ไปหาผ้ามาพัน เพียงเท่านี้คุณก็เบียวเป็นฮิเอจากเรื่อง ‘YuYu Hakusho’ หรือชื่อไทยอย่าง ‘คนเก่งฟ้าประทาน’ ได้แล้ว ซึ่งถ้าถามว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงเบียวอยากเป็นฮิเมากที่สุด ก็เพราะท่าพี่แกเท่สุดในเรื่อง ยกตัวอย่างท่ากระสุนพลังวิญญาณที่แค่ชี้นิ้วดูธรรมดา ดาบผ่ามิติก็แค่ดาบธรรมดา หรือแส้กุหลาบมันดูเป็นอาวุธผู้หญิงไป แต่ท่าคลื่นเพชฌฆาตมังกรทมิฬ (ชอบชื่อนี้จริง ๆ ใครเป็นคนตั้งนะ) มันได้เบียวเป็นตัวละครนั้นจริง ๆ แถมได้มีลายมังกรที่แขนด้วย (ส่วนจะลบออกยังไงนั้นค่อยว่ากัน) และตอนปล่อยมังกรออกไปแล้วต้องทำแขนห้อยแล้วก็หอบเหมือนเหนื่อยด้วยนะเดี๋ยวไม่สมจริง

YuYu Hakusho

กระโดดทำท่า Slam Dunk ที่สนามบาสเกตบอลโรงเรียน จาก Slam Dunk

นอกจากการเตะฟุตบอลทำท่าเบียว ๆ เหมือนสึบาสะแล้ว เด็กในยุค 90’s ที่ตอนนี้เป็นคุณลุงคุณน้าคุณพ่อวัยกลางคนกันแล้วต่างมีความฝันอยากจะทำท่านี้กันทุกคน นั่นคือท่า ‘Slam Dunk’ ท่าไม้ตายก้นหีบในวงการบาสเกตบอล ซึ่งคนที่ทำท่านี้ได้ต้องเรียกว่าเก่งแกร่งสุดยอดจริง ๆ เพราะคน ๆ นั้นต้องวิ่งตั้งหลักมาแต่ไกลและกระโดดจากจุดเขต 3 แต้มของฝ่ายศัตรูเพื่อพาลูกบอลมายัดลงห่วง ที่ในความเป็นจริงแค่วิ่งตั้งหลักมายังยากเลย นี่ต้องกระโดดจากจุด 3 แต้มที่ถ้าไม่ถูกกระโดดขวางกลางทางก็คงจะกระโดดไม่ถึง ท่านี้เลยเป็นท่าในตำนานที่มีไม่กี่คนที่ทำได้ จนอาจารย์คนเขียนเอาชื่อท่านี้มาตั้งเป็นชื่อการ์ตูน ‘Slam Dunk’ ที่พอเด็กยุคนั้นได้อ่านมังงะ ‘Slam Dunk’ หลายคนก็วิ่งมาที่สนามบาสเพื่อจะทำท่านี้กัน ที่แน่นอนว่าเด็กยุค 90 ที่มีความสูงไม่น่าจะเกิน 170 ซม. ในยุคนั้น (ค่าเฉลี่ยเด็กยุคนั้น) จึงไม่สามารถทำได้ (กระโดดจับเชือกที่ปลายห่วงให้ได้ก่อน) ที่ถ้าใครตัวสูงหน่อยก็จะถูกอิจฉาจากเพื่อน ๆ ส่วนคนที่เบียวหนัก ๆ ก็จะเข้าชมรมบาสแล้วซื้อรองเท้าแบบตามในการ์ตูน ที่ในยุคนั้นใครใส่ ‘Air Jordan’ คือเท่วัวตายควายล้มกันเลยทีเดียว (เล่นเก่งรึเปล่าไม่รู้แต่รองเท้าเด่นกว่าหน้าอันนี้เรื่องจริง)

Slam Dunk

ตะโกนก่อนปล่อยรถแข่งลงรางว่า ไปเลย Magnum จาก Let’s & Go

ไปเลย ‘Magnum’ นั่นคือประโยคสุดเบียวที่เด็กยุค 90’s ชอบตะโกนกันหลังจากที่ดูเรื่อง ‘Let’s & Go’ หรือชื่อไทยอย่าง “นักซิ่งสายฟ้า” ที่ถ้าเป็นยุคนี้ถ้าลุง ๆ มาตะโกนว่าไปเลย ‘Magnum’ แบบนี้ เด็ก ๆ คงจะคิดว่าใครมาขายไอติมแน่นอน เพราะเด็กยุคนี้ไม่ได้เติบโตมากับมอเตอร์ดำแดงการจัดแต่งรถให้วิ่งในรางให้เร็วที่สุด โดยที่ไม่ให้มันหลุดจากสนามตอนวิ่ง ที่ต้องใช้ทั้งเวลาความคิดวางแผนในการแต่งรถ และวิเคราะห์ตอนรถวิ่งว่ามันจะเหินออกจากรางไหม และแยกแยะว่าต้องซื้ออไหล่แบบไหนมาใช้มอเตอร์ต้องแรงแค่ไหนทดเฟืองยังไงเพื่อให้รถวิ่งออกมาดีที่สุด (เบียวจัด ๆ บอกเลย) พอแต่งเสร็จเราก็จะจับรถท่าเดียวกับรูปประกอบด้านล่าง ที่ถ้าใครเบียวหนักหน่อยก็จะตะโกนออกมาว่า ไปเลย ‘Magnum’ ที่ไม่ใช่ไอติมออกมา ส่วนคนที่เบียวน้อยหน่อยก็จะพูดในใจ ส่วนคนที่เบียวตามการ์ตูนที่ดูก็จะแต่งรถตามในการ์ตูน แล้วไปวิ่งบนพื้นจริง ๆ ที่ไม่ใช่รางก่อนจะพยายามวิ่งตาม ที่จะมีสองแบบที่เกิดขึ้นกับเด็กเบียวแบบนี้ หนึ่งคือวิ่งตามรถไม่ทันจนรถวิ่งไปชนสิ่งต่าง ๆ จนรถพัง กับสองรถไม่วิ่งเพราะพื้นไม่เรียบทรายเข้ามอเตอร์ หรือสาม (แถม) ถ่านอ่อนจนรถไม่มีแรงวิ่ง (หม่าม๊าขอเงินซื้อถ่านหน่อย) และก่อนปล่อยรถก็ต้องตะโกนชื่อรถด้วย อย่างไปเลย ‘Sonic’ ที่ไม่ใช่เม่นตัวสีฟ้าก่อนปล่อยรถ นับเป็นความสนุกเบียว ๆ ที่เด็กยุคนั้นทำกัน

Let's & Go

เล่นการ์ดกับเพื่อนและตะโกน ขออัญเชิญ Blue Eyes White Dragon จาก YU-GI-OH!

ปิดท้ายกับความเบียวอุปกรณ์อีกหนึ่งชิ้นที่เด็กยุค 90’s ชื่นชอบ ที่หลายคนก็ยังเก็บสะสมมาจนถึงตอนนี้ นั่นคือการเล่นการ์ดจากการ์ตูนเรื่อง ‘YU-GI-OH!’ หรือชื่อไทยอย่าง “เกมกลคนอัจฉริยะ” ที่ภาคแรกสุดในมังงะเมื่อมาถึงตอนเล่นการ์ดก็ทำให้เด็กไทยและญี่ปุ่นรู้จักมังกรขาวตาสีฟ้า ‘Blue Eyes White Dragon’ ที่ในเนื้อเรื่องจัดเป็นการ์ดหายากที่มาก ๆ ยากสุด ๆ ที่บนโลกนี้ (ในการ์ตูน) มีไม่กี่ใบในโลก แต่จนถึงตอนนี้มีการ์ดนี้ปรากฏมาแล้วเกือบ 20 ใบ (นับจนถึงภาคล่าสุดด้วย) นับเป็นการ์ดหายากที่มีคนใช้เยอะจริง ๆ และด้วยความเบียวขั้นสุด เมื่อตัวละครในเรื่องสามารถอัญเชิญมังกรสามหัวที่ชื่อว่า ‘BlueEyes Ultimate Dragon’ ออกมา ตลาดการ์ดเถื่อนก็ลุกเป็นไฟจนมีเด็ก ๆ ตามหาซื้ออยากได้มาครอบครองเพื่อจะได้เบียวเป็น ไคบะ เซโตะ (Kaiba Seto) กัน และจะได้ตะโกนตอนเล่นเการ์ดกับเพื่อนว่า “ของใช้การ์ดรวมร่างผสมเป็น ‘BlueEyes’ สามหัวออกมา” (เด็กในสมัยนั้นเรียกตามสิ่งที่เห็นมากกว่าจะเรียกจากชื่อจริง) ที่ในตอนนั้นใครที่สามารถเรียกการ์ด ‘BlueEyes Ultimate Dragon’ ออกมาได้พร้อมตะโกนเรียกตอนวางการ์ดมันช่างโคตรเท่บอกเลย

YU-GI-OH!

 ก็จบกันไปแล้วกับความเบียวที่เด็กหนวดยุค 90’s ทำกันหลังจากที่ดูมังงะอนิเมะเรื่องนั้นจบ แล้วชวนเพื่อน ๆ มาเล่นและตะโกนชื่อท่ากัน ที่บางเรื่องก็ต้องอาศัยอุปกรณ์เพื่อจะได้เบียวถึงขั้น แต่บางเรื่องก็แค่ท่าเหมือนและตะโกนออกมาก็พอ ซึ่งนั่นเป็นความสนุกของเด็กยุคนั้นที่เด็ก ๆ ยุคนี้อาจจะไม่เข้าใจ เพราะในสมัยก่อนเราไม่สามารถดูการ์ตูนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ของเล่นก็หาซื้อยาก ของแท้ถูกลิขสิทธิ์คืออะไรก็มารู้เอาตอนโตก็มีเยอะ พอมีคนเอาการ์ตูนเก่ามาพูดเลยทำให้ลุง ๆ น้า ๆ พ่อ ๆ ทั้งหลายคิดถึงตอนเด็กที่เคยเบียวท่าแบบนี้ออกมา ซึ่งยังมีอีกหลายเรื่องเอาไว้มีโอกาสจะหยิบมาให้ได้อ่านกันอีก และถ้าคุณชอบบทความแนวนี้ก็อ่านย้อนหลังด้านล่างได้เลย ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็รอติดตามได้เลย เพราะเรายังมีบทความข่าวต่าง ๆ อีกมากมายรอคุณให้อ่านกันอยู่ เข้ามาดูที่แบไต๋ตอนนี้ได้เลย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส