[รีวิว] Once Upon a Time in Hollywood กาลครั้งหนึ่งในฮอลลีวู้ด: เมื่อเควนตินกวนสหบาทาด้วยคำว่า Based on True Story
Our score
9.3

Once Upon a Time in Hollywood

จุดเด่น

  1. หนังมากบทสนทนาคมคายในแบบเควนตินที่น่าสนใจมาก ๆ
  2. อิงจากเรื่องจริง กลายเป็นเครื่องมือสร้างสารพัดอารมณ์ที่เควนตินเอาเราอยู่หมัดเลย
  3. นักแสดงเล่นกันดีมากทุกคน
  4. ออกแบบงานศิลป์ได้เยี่ยม
  5. 30 นาทีสุดท้ายของหนังคือเดอะเบสต์

จุดสังเกต

  1. ก็ตามสไตล์เควนตินอ่ะบางคนอาจไม่ชอบอยู่แล้ว
  2. เดินเรื่องด้วยคำพูดกันเยอะ ก็น่าเบื่อล่ะถ้าคุณไม่อิน โฟกัสกับหนังไม่ได้ มีหลับ
  3. ต้องทำการบ้านเรื่องจริงที่เอามาอิงก่อนดู ถึงจะครบรสจริงๆ ไม่งั้นก็จะเฉยมากระหว่างเรื่อง
  4. รายละเอียดที่ล้ออิงยุคสมัยนั้นเยอะมาก จนคิดว่าไม่เอาใจคนรุ่นใหม่เท่าไหร่เลย
  • คุณภาพงานสร้าง

    9.5

  • คุณภาพนักแสดง

    10.0

  • ความสมบูรณ์ของบท

    9.5

  • ความสนุกน่าติดตาม

    9.5

  • คุ้มค่าเวลาในการรับชม

    8.0

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ เรื่องราวของ นักแสดงหนุ่มตกอับชาวตะวันตกกับสตันท์แมนของเขาที่พยายามดื้นรนให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจหนัง อีกทั้งหนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังเรื่องแรกของ เควนติน ทาแรนติโน ที่สร้างขึ้นมาโดยอ้างอิงจากเรื่องจริงอีกด้วย แสดงนำโดย แบรด พิตต์ , ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ  และ มาร์โกต์ ร็อบบี้  

Play video

ภาพยนตร์ลำดับที่ 9 ของ เควนติน ทาแรนติโน (Quentin Tarantino) ผู้กำกับคนดังผู้เคยประกาศไว้ว่าตลอดอาชีพเขาจะกำกับหนังยาวเพียง 10 เรื่องเท่านั้น งานแต่ละชิ้นที่ยิ่งงวดใกล้หมดโควต้าจึงยิ่งน่าสนใจ และสำหรับงานลำดับรองสุดท้ายนี้เขาผู้ที่เคยทำทั้งหนังแก๊งสเตอร์ หนังคาวบอย หนังสงครามโลก หนังกังฟู หนังดราม่า และอีกหลากหลายแนว จึงต้องสรรหาแนวทางที่ยังไม่เคยทำมาก่อนฝากไว้เป็นผลงานแห่งชีวิตของเขา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่หนังทาแรนติโนจะ ‘เบสออนทรูสตอรี่’ (Based on True Story) ในแนวดราม่าคอมเมดี้ตลกร้ายที่เขาจัดเจน ซึ่งก็น่าตื่นเต้นเหมือนกันนะสำหรับแฟน ๆ ทาแรนติโนน่ะ

quentin tarantino

ผู้กำกับเควนติน ทาแรนติโน กับเหล่านักแสดง

เรื่องจริง ที่ทาแรนติโนนำมาอ้างอิงนั้นคือยุคทองของฮอลลีวูด ปี 1969 โดยนิยามแนวทางของหนังไว้ว่า ‘หนังหลายเส้นเรื่องที่ฉายภาพเทพนิยายยุคใหม่ ในห้วงเวลาสุดท้ายของยุคทองของฮอลลีวูด’ หลังจากหนังเปิดตัวไปที่เทศกาลหนังเมืองคานส์และเข้าฉายที่อเมริกากับอังกฤษในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมตามลำดับ คำวิจารณ์ของสื่อและเสียงยกย่องจากผู้ชมต่างไหลไปในทางเดียวกันถึงขนาดนิยามว่า ‘มันคือจดหมายรักของทาแรนติโนที่ส่งถึง แอล.เอ. ยุค 60’ เลยทีเดียว

man on moon

ปี 1969 นอกจากวงการบันเทิงเข้าสุ่ยุคฮอลลีวูดแล้ว ยังเป็นปีที่เกิดอะไรมากมายทั้งการเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก หรือสงครามเวียดนาม เหล่านี้ล้วนคือบริบทสำคัญที่ก่อร่างเป็นยุคสมัยในหนัง

สำหรับเส้นเรื่องหลักของหนังจะติดตาม ริค ดาลตัน (ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ Leonardo DiCaprio) พระเอกจากหนังทีวีแนวคาวบอยที่กำลังหมดความนิยม และหนีตายดิ้นรนหางานเพื่อให้ได้มีชื่อเสียงต่อไป โดยเข้าสู่ฮอลลีวูดผ่านบทบาทตัวร้ายบ้างตัวรองบ้าง อีกเส้นเรื่องคือความสัมพันธ์ของเขากับ คลิฟฟ์ บูธ (แบรด พิตต์ Brad Pitt) สตันท์แมนคู่บุญที่ติดสอยห้อยตามดั่งพี่น้อง และเส้นเรื่องสุดท้ายคือการที่เขาอาศัยอยู่ในบ้านที่รั้วติดกับผู้กำกับดังแห่งยุคอย่าง โรมัน โปลันสกี และแฟนสาวของโปลันสกีอย่างดาราสาว ชารอน เทต (มาร์โกต์ ร็อบบี้ Margot Robbie) นั่นเอง และถ้าใครติดตามเรื่องราวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริงของฮอลลีวูดก็จะทราบดีว่า ชารอน เทต ถูกฆาตกรรมอย่างน่าสยดสยองขณะตั้งครรภ์ โดยฝีมือกลุ่มฮิปปี้คลั่งลัทธิของ ชาร์ลส์ แมนสัน (Charles Manson) ในชื่อแมนสันแฟมิลีเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1969 อันเป็นปีฉากหลังของหนังด้วย

charles manson

ชาร์ลส์ แมนสัน เจ้าลัทธิแมนสันแฟมิลี ผู้นำแห่งโศกนาฏกรรมแห่งยุคทองฮอลลีวูด

หนังจึงครอบเราไว้ด้วยบรรยากาศน่าอึดอัดใจที่ผู้ชมต่างรู้ว่าหากติดตามชีวิตของริคไปเรื่อย ๆ อย่างไรเสียก็ต้องไปบรรจบกับเหตุการณ์สะเทือนใจแห่งยุคทองของฮอลลีวูดอยู่ดี จึงเป็นโจทย์สำคัญว่าผู้ชมต้องทำการบ้านรู้เรื่องราวของแมนสันกับชารอนไว้ก่อน หนังจึงจะทำงานได้สมบูรณ์ตามที่ทาแรนติโนวางแผนไว้ คือทันทีที่คุณรู้เรื่องราวนี้และเข้าไปดูหนัง คุณก็อยุูในกำมือของทาแรนติโนเรียบร้อยแล้ว

อีกส่วนที่ได้รับคำชมแบบสุดกู่ นอกไปจากความคารวะอย่างมีชั้นเชิงของผู้กำกับและเขียนบทที่มีต่อยุคทองของฮอลลีวูด ก็คือทีมดารานักแสดงที่เล่นกันอย่างสุดฝีมือ แถมมากันแน่นฮอลลีวูดไม่ว่าจะเป็น สุดยอดสตาร์แถวบนของวงการอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ, แบรด พิตต์, มาร์โกต์ ร็อบบี้  ดารารุ่นกลางมากฝีมืออย่าง เอมิล เฮิร์ช  (Emile Hirsch) ทิโมธี โอลิแฟนท์ (Timothy Olyphant) และรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างมาร์กาเร็ต ควาลลีย์ (Margaret Qualley) ออสติน บัตเลอร์ (Austin Butler) ดาโกตา แฟนนิ่ง (Dakota Fanning) และที่ต้องพูดถึงคือ ไมค์ โมห์ (Mike Moh) ที่มาทำให้ บรูซ ลี (Bruce Lee) กลับมามีชีวิตได้โคตรน่าจดจำ

mike moh bruce lee

และที่ขาดไม่ได้คือนักแสดงรุ่นเก๋าที่เป็นครูให้นักแสดงอื่นได้แล้วอย่าง บรูซ เดิร์น (Bruce Dern) และ ป๋าอัล ปาชิโน (Al Pacino) นอกจากนี้ยังมีรายชื่อนักแสดงอีกเป็นหางว่าว ทั้งยังต้องจดไว้ด้วยว่านี่คือหนังเรื่องสุดท้ายที่ ลุก เพอร์รี่ (Luke Perry) ดาราจากซีรีส์ดัง Beverly Hills, 90210 (1990) และหนัง The Fifth Element (1997) ได้ฝากชื่อไว้เป็นเรื่องสุดท้ายก่อนจะเสียชีวิตในวัย 52 ปี เมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

al pacino

ริก ดาลตัน  บทของลีโอนาร์โดนั้นเป็นดาราทีวีชื่อดังที่มาสุ่ยุคที่คนกำลังหมดความนิยม เขาจึงพยายามจะต่ออายุการแสดงโดยผันตัวไปเล่นหนังฮอลลีวูด ดาลตันถือเป็นตัวละครสมมุติที่อิงภาพมาจากนักแสดงที่มีชีวิตจริงหลายคน ที่เป็นดาราหนังคาวบอยทางทีวีที่โด่งดังในยุคคลาสสิกฮอลลีวูด และล้มเหลวในการข้ามยุคมาสู่วงการภาพยนตร์ในยุคทอง พวกเขาไม่อาจรักษาความโด่งดังและเอาชนะยุคสมัยแห่งความนิยมใหม่ไปได้ หลายคนต้องลดเกรดตัวเองลงไปเล่นตัวร้ายบ้าง บางคนเลิกราอาชีพ บางคนทุกข์ทรมานและฆ่าตัวตายไปเลยก็มีอย่าง พีท ดูเอล (Pete Duel) โดยวิถีชีวิตพุ่งสูงและร่วงหล่นนี้ เช่นกันบทของริคก็เป็นดาราที่สับสนและตกอยู่ในสภาวะไบโพลาร์ ซึ่งท้าทายความสามารถทางการแสดงแบบอารมณ์ไฮแล้วดาวน์ไปมาได้อย่างมีเสน่ห์ยากคาดเดา และดิคาพริโอก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ต้องชมว่าสมาธิของเขาดีมาก ๆ ฉากที่ต้องประกบกับน้องหนูวัย 8 ขวบเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ เช่นกันกับฉากที่ล้อเบื้องหลังในการเข้าฉากหนังคาวบอยเรื่อง แลนเซอร์ ก็เป็นอะไรที่ทั้งตลก น่าตื่นเต้น กวนบาทา และเปี่ยมพลังเปี่ยมอารมณ์อย่างมาก

Leonardo DiCaprioLeonardo DiCaprio

ส่วน คลิฟฟ์ บูธ คู่หูของดาลตันที่รับบทโดย แบรด พิตต์ นั้นก็เป็นการผสมหลายบุคคลมาไว้ในตัวละครเช่นกัน คือในแง่เรื่องราวความสัมพันธ์กับดาลตันเอามาจาก ชีวิตของดาราอย่าง เบิร์ต เรย์โนลด์ส (Burt Reynolds) และอาชีพตัวแสดงแทนในฉากบู๊อย่างยาวนานนั้นก็นำมาจากชีวิตของ ฮาล นีดแฮม (Hal Needham) ส่วนที่อาศัยก็นำมาจาก แกรี่ เคนต์ (Gary Kent) ผู้กำกับและสตั๊นท์แมนที่อาศัยอยู่ในย่านเดียวกับที่ลัทธิแมนสันแฟมิลีอาศัยอยู่ ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่า แบรด พิตต์ เป็นอีกคนที่เอาอยู่สามารถฉายแสงคู่เด่นไปกับดิคาพริโอได้ แม้ว่าบทของริคจะมีอะไรให้เล่นมากกว่าบูธก็ตาม แต่เขาก็สร้างการแสดงที่ยียวนเจ้าเสน่ห์จนต้องมองค้างทุกครั้งจริง ๆ

leonardo dicaprio brad pitt

งานที่เหมือนไม่ยากตกเป็นของ มาร์โกต์ ร็อบบี้ เพราะเธอต้องสวมบทบาทของตัวละครสาวสวยนิสัยดี ที่ใครก็ต่างหลงรักได้ง่าย แต่สำหรับคนดูที่รู้ชะตากรรมของตัวละครนี้อยุ่แล้วในชีวิตจริง ยิ่งมาร์โกต์เล่นได้น่ารักน่าผูกพันเท่าไหร่ งานของทาแรนติโนก้จะยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้นในการก่อบรรยากาศคุกคาม ขยี้ความรู้สึกผู้ชม จนถึงสร้างฉาก 30 นาที สุดท้ายที่โคตรสุดยอดแห่งความบันเทิงออกมา ทั้งสยอง ลุ้น เดาไม่ถูก และมันสุดดิ่ง ทั้งยังมีชั้นเชิงสูงมากในการเล่าหนัง เบสออนทรูสตอรี่ เรื่องนี้ออกมาแบบไม่ทำร้ายเหยื่อในชีวิตจริง

นี่จึงเป็นหนังในแนวเควนติน ทาแรนติโน ที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นตาในทีเดียวกัน เป็นประสบการณ์ที่พิเศษมาก ๆ สำหรับแฟนหนังของทาแรนติโน หรือแค่คุณรักวงการหนังวงการเบื้องหลังคุณก็จะสนุกไปกับหนังได้ไม่ยาก โดยเฉพาะ 30 นาที สุดท้ายคือการปลดปล่อยแบบหมดไส้หมดพุง ที่ขอคะยั้นคะยอให้ไปชมกันครับ

กาลครั้งหนึ่งเราซื้อตั๋วหนังได้แค่กดที่รูปด้านล่าง วิเศษจริง ๆ เควนตินรับประกัน 

Once Upon a Time in Hollywood

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส