วัตถุดิบชั้นดีที่ผู้สร้างหนังฮอลลีวูดโปรดปรานก็คือเรื่องราวจากเหตุการณ์จริง โดยเฉพาะเหตุการณ์สุดระทึก เหลือเชื่อ ชวนติดตาม ซึ่งผู้สร้างเองก็รู้ดีว่าเรื่องราวที่สร้างจากเหตุการณ์จริงเหล่านี้จะใช้เป็นจุดขายเรียกความสนใจจากผู้ชมได้ดี เราจึงเห็นข้อความ Based on True Story ขึ้นโชว์ตอนเริ่มเรื่องอยู่บ่อยครั้ง
ฆาตกรต่อเนื่อง หรือ Serial Killer ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของเรื่องจริง ที่บรรดาผู้สร้างไม่เคยพลาดโอกาสที่จะหยิบมาพัฒนาเป็นภาพยนตร์ไม่ว่าจะนำมาเล่าตามเหตุการณ์จริง หรือจะเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนนิยายนำไปเสกสรรค์เป็นตัวละครใหม่ขึ้นมา ก็มักได้ผลที่น่าพึงพอใจ หนังสนุก เป็นที่กล่าวขวัญและหลาย ๆ เรื่องก็ขึ้นแท่นเป็นหนังคลาสสิก และนี่คือ 7 ฆาตกรต่อเนื่องที่อยู่เบื้องหลังหนังสยองขวัญคลาสสิกหลาย ๆ เรื่อง
คำเตือน : ภาพประกอบอาจดูแล้วรบกวนจิตใจ
1.นักเชือดแห่งเกนสวิลล์ (Gainesville Ripper)

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1990 ที่เมืองเกนสวิลล์ ตามฉายาฆาตกรนั่นแหละ เหยื่อทั้งหมดในเหตุสลดนี้ล้วนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฟลอริดา ที่กำลังกลับมาเข้าชั้นเรียนกัน หลังจากปิดเทอมใหญ่ช่วงฤดูร้อนเพิ่งจะสิ้นสุดลง
ฆาตกรรายนี้มีชื่อจริงว่า แดนนี โรลลิง ไม่ทราบเหตุจูงใจของเขา แต่ดูจากเหยื่อแล้วคาดว่าแดนนีจะพิสมัยการฆ่าเด็กวัยรุ่นเป็นพิเศษ แล้วเขาก็เริ่มจัดการกับเหยื่อ 2 รายแรกในวันที่ 24 สิงหาคม 1990 เด็กผู้โชคร้ายเป็นนักศึกษาใหม่ 2 คนชื่อ ซอนยา ลาร์สัน และ คริสตินา โพเวลล์ นายแดนนีคงจะย่ามใจกับผลงานสังหารแรกของเขา จึงไม่รอช้าลงมือกับเหยื่อรายที่ 3 ในวันถัดมาเลย นักศึกษาผู้โชคร้ายรายนี้คือ คริสตา ฮอยต์
แน่นอนว่าเมื่อฆาตกรโหดอยู่ดี ๆ ก็โผล่มาก่อคดีสะเทือนขวัญติดต่อกันแบบนี้ ก็ต้องกลายเป็นข่าวดังไปทั่วเมือง สร้างความแตกตื่นให้กับบรรดานักเรียน นักศึกษาทั้งเมือง บางรายกลัวจัดถึงกับหนีไปอยู่เมืองอื่นเลย ส่วนที่ยังอยู่ก็นอนไม่หลับกันเพราะกลัวฆาตกรโหดรายนี้ ก็ต้องป้องกันด้วยการนอนรวมกันในครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนได้ช่วยกันระแวดระวัง แต่ก็ยังมีนักศึกษาพลั้งเผลอมาตกเป็นเหยื่อของแดนนีอีกจนได้ ในวันที่ 27 สิงหาคม แดนนี่ลงมืออีกครั้ง จัดการเหยื่อ 2 รายภายในวันเดียว รอบนี้ถึงคราวเคราะห์ของ เทรซี พอลเลส และ แมนนี ทาโบดา
เกมสังหารของแดนนียุติอยู่ที่ 5 รายนี้ หลังจากนี้ก็เงียบหายไป อาจจะเพราะเขาหนีการตามล่าตัวหรือผู้คนก็ระแวดระวังตัวมากขึ้น ทำให้แดนนี่ไม่สามารถลงมือได้อีก แดนนี่ถูกรวบตัวได้ในเดือนถัดมา วันที่ 7 กันยายน 1990 ถูกคุมขังอยู่ 4 ปี จนเข้ารับกระบวนการพิจารณาคดีในปี 1994 ศาลตัดสินให้แดนนีมีความผิดจริงทุกกระทง เขาถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยา ในวันที่ 25 ตุลาคม 2006

เรื่องราวสะเทือนขวัญของแดนนี โรลลิน กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ เควิน วิลเลียมสัน นักเขียนที่ดัดแปลงมาเป็นบทภาพยนตร์เรื่องดัง Scream ในปี 1996 เควินหยิบยกเรื่องราวบางส่วนจากคดีของแดนนี โรลลิน ถ่ายทอดมาใส่ในหนัง โดยเฉพาะเรื่องเหยื่อในหนังที่ล้วนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่อยู่ใน วูดส์โบโร เมืองที่มีความสงบสุขที่จำลองขึ้นมาว่าอยู่ในแคลิฟอร์เนีย แล้วอยู่ดี ๆ ฆาตกรต่อเนื่องก็ปรากฏตัวขึ้นมา จนเกิดความแตกตื่นโกลาหลกันไปทั้งเมือง
Scream กลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ประสบความสำเร็จมาก มีภาคต่อตามมาอีก จนหยุดไปในภาคที่ 4 เพราะความนิยมลดน้อยถอยลงไปตามจำนวนภาค พอ ๆ กับรายได้ที่น้อยลงตามไปด้วย ความสำเร็จของ Scream ส่งผลให้เกิดกระแสความนิยมหนังสยองขวัญในกลุ่มวัยรุ่นตามมาอีกหลายเรื่องอย่าง I Know What You Did Last Summer และ Urban Legend
ทางผู้สร้าง Scream ได้ดัดแปลงเป็นทีวีซีรีส์ในปี 2015 สานต่อไปได้ถึงซีซันที่ 3 มาถึงวันนี้ก็มีการประกาศสร้าง Scream 5 วางกำหนดฉายไว้คร่าว ๆ ในปี 2022
2.การไล่ผีที่เข้าสิง แอนเนลีส มิเชล

ประเทศที่เรารู้สึกว่าเจริญก้าวหน้าทางวัฒนธรรมและวิทยาการอย่างสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับผู้คนถูกผีเข้า และกระบวนการไล่ผีโดยพระหรือบาทหลวงผู้เชี่ยวชาญก็ถูกสร้างมาเป็นภาพยนตร์อยู่หลายครั้ง นับตั้งแต่ The Exorcist (1973) จากนั้นก็มีหนังไล่ผีให้เห็นออกมาเนือง ๆ แต่เรื่องที่โดดเด่นที่สุดในยุคหลังก็คือ The Exorcism of Emily Rose ปี 2005 เพราะเป็นเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง แม้จะเป็นการไล่ผีโดยบาทหลวงแต่เมื่อมีการตายก็ทำให้มีการสืบสวนว่าเป็นการฆาตกรรมหรือไม่
หญิงสาวที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวนี้คือ แอนเนลีส มิเชล เธอเกิดเมื่อปี 1952 ในเมืองไลบ์ฟลิง ประเทศเยอรมนี เธอเติบโตมาในครอบครัวที่เคร่งครัดในศาสนาคริสต์ นิกายคาธอลิก ทำให้เธอถูกจำกัดบริเวณอยู่ภายในบ้าน จะได้ออกไปพบปะผู้คนก็แค่สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งก็ต้องออกไปพร้อมกับพ่อแม่และพี่สาวเท่านั้น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น แอนเนลีสก็ต้องได้รับความทรมานจากอาการลมชัก แพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นโรคลมบ้าหมู จนอายุได้ 18 ปี อาการเธอก็แย่ลงเรื่อย ๆ เธอต้องกินยาเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการลมชัก แล้วยารักษานี้ก็ก่ออาการข้างเคียง ทำให้เธอเริ่มเห็นภาพหลอน และเริ่มมีอาการซึมเศร้า มีความคิดจะฆ่าตัวตาย พ่อแม่ก็เลยส่งเธอไปพักรักษาในโรงพยาบาลจิตเวช การรักษาผ่านไปนานนับปีแต่ก็ไม่มีแนวโน้มว่าอาการของเธอจะดีขึ้น บวกกับเธอไม่กล้าเดินผ่านภาพของพระเยซู และไม่ยอมดื่มน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ถึงตอนนี้ล่ะที่พ่อแม่ของแอนเนลีสเริ่มคาดเดาว่าลูกสาวของเธอ น่าจะโดนผีเข้า สมควรที่จะใช้พระมาไล่ผีแทนการรักษาด้วยแพทย์และยาในแผนปัจจุบัน
พ่อแม่ติดต่อไปยังโบสถ์ ขอให้บาทหลวงมาไล่ผีให้กับแอนเนลีส แต่ทางโบสถ์ก็ไม่เห็นชอบด้วย ปฏิเสธมาทั้ง 2 ครั้ง แต่กลับเป็นท่านบิชอปหรือหัวหน้าบาทหลวงนี่ล่ะ ที่เห็นชอบกับวิธีการไล่ผีให้กับแอนเนลีส และเป็นจุดเริ่มต้นพิธีกรรมที่กินเวลายาวนานถึง 10 เดือน มีการทำพิธีไล่ผีกับแอนเนลีส 67 ครั้ง เราไม่รู้ชัดเจนหรอกว่าระหว่างการทำพิธีนั้น ได้มีการลงไม้ลงมืออะไรกับเธอหรือได้ใช้ความรุนแรงกับเธอมากเพียงใด แต่เป็นใครที่เจอการทำพิธียาวนานขนาดนี้ก็ต้องบอบช้ำทั้งจิตใจและร่างกายเป็นธรรมดา ผลก็คือแอนเนลีสเริ่มไม่กินอาหารและไม่ดื่มน้ำ แต่พ่อกับแม่ก็ยังเชื่อมั่นว่าเป็นผลมาจากวิญญาณร้ายที่สิงสู่ลูกสาวของพวกเขา จึงไม่มีความคิดจะตามหมอมาดูอาการของเธอ ทำให้อาการของเธอยิ่งทรุดหนักขึ้น แล้วเธอก็เสียชีวิตในที่สุด ด้วยเหตุผลหลัก ๆ เลยก็คือ การขาดสารอาหาร
พอแอนเนลีสตาย ตำรวจก็เข้ามาสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง ส่งผลให้พ่อและแม่ รวมถึงบาทหลวงอีก 2 คนถูกตัดสินให้มีความผิดในข้อหา “ฆ่าคนตายโดยประมาท” คดียังโยงใยไปถึงศาสนจักร บรรดาพระผู้ใหญ่ถึงได้ออกมายอมรับภายหลังว่า พวกเขาไม่คิดว่าแอนเนลีสโดนผีเข้าจริง ๆ หรอก แต่เธอน่าจะมีอาการทางจิตเสียมากกว่า

จากเรื่องราวของแอนเนลีส มิเชล ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างหนังฮอลลีวูดหยิบมาประยุกต์กลายมาเป็นบทภาพยนตร์เรื่อง The Exorcism of Emily Rose เรื่องราวในหนังค่อนข้างใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริงของแอนเนลีส เนื้อหาของหนังไม่ย้อนเล่าสาเหตุของอาการที่พ่อแม่คิดว่าลูกสาวถูกผีเข้า แต่เน้นหนักไปที่กระบวนการไล่ผีโดยบาทหลวง และกระบวนการสอบสวนในชั้นศาลถึงวิธีการไล่ผี รวมถึงคำให้การของบาทหลวงมัวร์ที่ยืนยันว่าเอมิลีถูกผีเข้าจริง ๆ หนังประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ ทำเงินไป 145 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 19 ล้านเหรียญ สร้างชื่อให้กับ สก็อต เดริกสัน ผู้กำกับ ที่ได้ไปกำกับ Doctor Strange ให้กับมาร์เวล และปัจจุบันกลายเป็นผู้กำกับสุดฮอตคนหนึ่งในฮอลลีวูด มีผลงานรอกำกับอีก 4 เรื่อง
3.เอ็ด กีน นักแล่เนื้อแห่งเพลนฟิลด์

ถ้าเทียบกับฆาตกรทั้งหมดในรายชื่อนี้ เอ็ด กีน ไม่ใช่รายที่โหดสุด ฆ่ามากสุด แต่เป็นรายที่น่าจะเรียกได้ว่าโรคจิตที่สุด ด้วยกิจกรรมที่บรรจงทำกับศพได้หลุดโลกเกินจินตนาการไปมาก
เอ็ด กีน เกิดเมื่อปี 1906 เขาเติบโตมาในครอบครัวชาวไร่ในรัฐวิสคอนซิน ด้วยความที่ออกัสธา แม่ของเอ็ดเลี้ยงดูเขามาแบบใกล้ชิดเหมือนไข่ในหิน ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันในละแวกบ้าน โดยเฉพาะมนุษย์เพศหญิงนั้นแม่เน้นย้ำว่าพวกเธอล้วนบาปหนา ยกเว้นแม่เท่านั้น เอ็ดไม่ควรไปคบหา คำสอนนี้ออกัสธาได้ตอกย้ำทั้งเอ็ดและเฮนรี่ ลูกชายคนโต ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้คบหาใครและไม่ได้แต่งงาน
ในปี 1940 พ่อของเอ็ดก็ตายด้วยอาการหัวใจวาย สืบเนื่องมาจากปัญหาแอลกอฮอลิสซึม ทำให้กิจการฟาร์มตกเป็นภาระของแม่และลูกชายทั้งสอง แต่คนที่รับภาระหนักสุดคือเฮนรี่ที่ต้องทำงานอื่นเพื่อหารายได้เสริมมาช่วยครอบครัว ทำให้เขามีปากกับเสียงกับแม่บ่อยครั้ง และเอ็ดจะเข้าข้างแม่เสมอถึงแม้ว่าบางครั้งแม่จะเป็นคนผิด
ปี 1944 เฮนรี่ก็ตายเพราะถูกไฟคลอกในแปลงข้าวโพด มีพยานบอกว่าเห็นเอ็ดอยู่กับเฮนรี่ไม่นานก่อนหน้านั้น ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นฝีมือของเอ็ดที่สังหารเฮนรี่ เพราะเขาชอบมีปากเสียงกับแม่ ถ้าเฮนรี่ตายไป เขาก็จะได้อยู่กับแม่เพียงสองคน แต่ภายในปีถัดมาออกัสธา ก็ป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองอุดตันทำให้เธอเป็นอัมพาต และตายในปีนั้น สร้างความโศกเศร้าให้กับเอ็ดอย่างมาก และด้วยเหตุนี้ที่น่าจะมีผลกระทบต่อสภาพจิตของเอ็ดอย่างมาก
กิจกรรมวิปริตของเอ็ด เริ่มต้นขึ้นในปี 1947 เมื่อเขาคิดถึงแม่มาก เขาก็เลยไปขุดหลุมศพเอาร่างแม่กลับบ้าน แต่กลายเป็นศพหญิงรายอื่นซึ่งเอ็ดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นร่างของแม่ เอ็ดลอกผิวหนังทั้งตัวจากศพมาเย็บเป็นชุดหนังมนุษย์แล้วเขาก็เอามาสวมใส่ สวมบทบาทเป็น “แม่” ดำเนินชีวิตในบ้าน ในการทำชุดหนังมนุษย์นั้น เอ็ดไม่ได้ทำเพียงแค่ชุดเดียว เขายังขุดศพอื่น ๆ ในละแวกบ้านมาทำชุดเพิ่มอีก
ส่วนเหยื่อฆาตกรรมของเอ็ดนั้นเริ่มตกเป็นข่าวในปี 1957 เมื่อ เบอร์นิซ วอร์เดน หญิงเจ้าของร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างหายตัวไปจากร้านในวันที่ 16 พฤศจิกายน แต่เอ็ดทิ้งเบาะแสสำคัญไว้คือเขามาที่ร้านเมื่อตอนเย็นวันก่อนหน้าแล้วได้พบกับแฟรงค์ ลูกชายของเบอร์นิซ เอ็ดบอกกับเขาว่าจะกลับมาที่ร้านอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อมารับสารต้านการเยือกแข็ง เอ็ดจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัย ตำรวจขอเข้าตรวจค้นที่พักของเอ็ด แล้วก็พบภาพสุดสยอง ร่างของเบอร์นิซ โดนตัดศีรษะแล้วห้อยหัวลง ยิ่งไปกว่านั้นตำรวจยังเจอชิ้นส่วนมนุษย์ที่พอประเมินได้ว่าประมาณ 50 คน และยังมีชิ้นส่วนร่างกายที่ประกอบเป็นร่างไม่ได้อีกหลายชิ้น ที่เอ็ดล้วนขุดมาจาก 3 สุสานในเมืองนั้น
ในจำนวนนี้มีร่างของ แมรี โฮแกน หญิงเจ้าของร้านที่หายตัวไปเมื่อปี 1954 เป็นคดีที่ตำรวจยังปิดไม่ได้ เพราะพบเพียงปลอกกระสุนและรอยเลือดในที่เกิดเหตุ พอสรุปได้ว่าเธอคือเหยื่อสังหารรายแรกของเอ็ด กีน ซึ่งเอ็ดปฏิเสธที่จะให้การในคดีสังหารนี้ เขาอ้างว่าผ่านมานานแล้วทำให้เขาจำรายละเอียดไม่ได้ เอ็ดยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยต่อการหายสาบสูญของ เอเวอลีน ฮาร์ตลีย์ พี่เลี้ยงเด็กที่หายตัวไปในปี 1953 แต่ยังไม่มีพยานหลักฐาน

แม้ว่าเอ็ดจะเป็นฆาตรกรต่อเนื่องที่ไม่ได้มีผู้โชคร้ายตกเป็นเหยื่อมากมายนัก แต่เหตุที่เรื่องราวของเขากลายเป็นที่ร่ำลือและเล่าต่อกันมายาวนานก็เพราะวิธีการที่เขาทำกับศพ นั้นช่างวิปริตยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้บรรดานักเขียนจึงหยิบเรื่องราวของเอ็ดมาเป็นต้นแบบในการเขียนนิยายและบทภาพยนตร์หลายเรื่อง และเรื่องที่โด่งดังจนกลายเป็นหนังคลาสสิกก็คือ Psyco ที่เริ่มต้นจากการเป็นนิยายในปี 1959 จากนั้นอภิมหาผู้กำกับ อัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ก็หยิบมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 1960

เขายังเป็นต้นแบบของ Leatherface ตัวละครสุดโหดที่ชอบถลกหนังมนุษย์มาทำเป็นหน้ากาก ในแฟรนไชส์ The Texas Chainsaw Massacre และเป็นต้นแบบให้กับ บัฟฟาโล บิลล์ ฆาตกรต่อเนื่องสุดโรคจิตใน The Silence of the Lambs นิยายโดย โธมัส แฮร์ริส ปี 1988 ก่อนจะถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันออกฉายเมื่อปี 1991และคว้ารางวัลสูงสุดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาได้
นอกจากนี้ หนังที่มีเค้าโครงว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากเอ็ด กีน ก็ยังมี American Horror Story: Asylum (2012), In the Light of the Moon (2000), Deranged (1974) และ House of 1000 Corpses (2003)
(อ่านต่อหน้า 2)