บริษัท แอมะซอน (Amazon) ธุรกิจอีคอมเมิร์ซอันดับ 1 ของโลกแสดงความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการ MGM หรือ Metro-Goldwyn-Mayer สตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์ที่มีอายุเก่าแก่เกือบ 100 ปี เจ้าของสัญลักษณ์สิงโตคำรามที่คุ้นเคยกันดี MGM ยังเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ระดับตำนานอย่าง James Bond, The Hobbit และ Rocky ซึ่งทางแอมะซอนก็คาดการณ์ไว้ว่าอาจจะต้องจ่ายเป็นตัวเลขสูงถึง 7,000 – 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การที่แอมะซอนยอมทุ่มขนาดนี้ก็เพื่อจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Amazon Prime ธุรกิจสตรีมมิงของตัวเอง ในวันที่สงครามสตรีมมิงกำลังรุนแรงขึ้นทุกวัน ด้วยอายุที่ปาเข้าไป 97 ปีของ MGM ทำให้สตูดิโอมีหนังในคลังมากกว่า 4,000 เรื่อง และส่วนใหญ่ก็เป็นหนังที่ผู้ชมทั่วโลกรู้จักดี นอกจากนั้นยังมีทีวีซีรีส์หลายเรื่องที่รวมแล้วกว่า 17,000 ชั่วโมง อย่างเช่น The Handmaid’s Tale และ Vikings ถ้าการเจรจานี้เป็นผลสำเร็จก็ถือเป็นการควบรวมกิจการใหญ่ในวงการบันเทิงในระดับรอง ๆ จากดีลยักษ์ ดิสนีย์/ฟอกซ์ เลยก็ว่าได้

Rocky อีกแฟรนไชส์ทรงคุณค่าของ MGM

ที่จริงแล้ว MGM ก็เป็นสตูดิโอที่ใหญ่ที่ประสบปัญหาการเงินมาหลายทศวรรษแล้ว ข่าวเรื่องการขายสตูดิโอก็ไม่ใช่ข่าวใหม่แต่อย่างใด MGM ก็อยู่ในสถานะการเงินที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตลอดมาในระยะหลัง จนเมื่อปลายปีที่แล้วทางผู้บริหารก็ผุดไอเดียที่จะขายสตูดิโอกันขึ้นมาอีกครั้ง โดยการประกาศขายรอบนี้ทางสตูดิโอต้องการให้บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สนใจมาประมูลราคากัน โดยตัว MGM มุ่งหวังกลุ่มเป้าหมายเป็น บริษัทผู้ผลิตสื่อในระดับสากล, กลุ่มนักลงทุนนอกตลาดหุ้น หรือกลุ่มบริษัทที่จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ และระดมเงินจากนักลงทุนแล้ว แต่ไม่มีแผนธุรกิจ (blank-check companies) มากกว่าที่จะให้เจ้าของใหม่เป็นสตูดิโอฮอลลีวูดด้วยกันเอง และการประกาศขายในครั้งนี้ MGM คาดหวังว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากเพราะธุรกิจบันเทิงกำลังเข้าสู่ยุคสตรีมมิง และคลังหนังของ MGM เองก็น่าจะดึงดูดความสนใจของนักลงทุนได้ดี แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีข่าวว่านักลงทุนนอกประเทศรายไหนแสดงความสนใจ หรือจะมีเงินถุงเงินถังพร้อมซื้อได้เท่า Amazon อีกแล้ว

No Time To Die รอบนี้จะได้ดูกันไหม

แม้ในขณะที่กำลังจะเสนอขายบริษัทอยู่นี่ MGM ก็ยังมีหนังฟอร์มใหญ่ ๆ ในมือที่กำลังจะเข้าโปรแกรมฉายอยู่หลายเรื่องด้วยอย่าง Jame Bond : No Time to Die ซึ่งเป็นภาคที่เลื่อนฉายมาอย่างยาวนานมาก จากกำหนดเดิมที่วางไว้ตั้งแต่พฤศจิกายน ปี 2019 นู่นเลย ก่อนที่จะเลื่อนครั้งแรกมาเป็น กุมภาพันธ์ 2020 แต่แล้วสถานการณ์โควิด-19 ก็ยังไม่คลี่คลาย จนมาถึงกำหนดล่าสุดที่จะปล่อยฉายในอังกฤษก่อนในวันที่ 30 กันยายน 2021 ส่วนในสหรัฐฯ วางกำหนดไว้เป็น 8 ตุลาคม 2021

ถ้า Amazon ได้เป็นเจ้าของ MGM จริง ๆ แล้วล่ะก็ สงครามสตรีมมิงจะดุเดือดยิ่งขึ้น จากในขณะนี้ที่มองเห็นแค่เพียง Disney+ เจ้าเดียวที่มีศักยภาพพอจะล้มแชมป์อย่าง Netflix ได้ แต่ถ้า Amazon Prime ที่อยู่ในอันดับรอง ๆ ในตลาดสตรีมมิงขณะนี้ แล้วได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์คลังหนังของ MGM ขึ้นมาล่ะก็ Amazon Prime จะกลายมาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอีกรายของ Netflix เลยล่ะ

อ้างอิง