อย่างที่คอหนังทราบกันดีว่า ฮอลลีวูดคืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแต่ละปีมีการลงทุนมหาศาล แล้วนับวันหนังแต่ละเรื่องก็ใช้ทุนสร้างมากขึ้น เพื่อตอบสนองจำนวนผู้ชมที่มากขึ้นและช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั่วถึงขึ้นตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยี ซึ่งทุนสร้างดังกล่าวนั้นก็รวมไปถึงค่าตัวของนักแสดง โดยเฉพาะบรรดานักแสดงแถวหน้าที่ค่าตัวก็อยู่ในระดับที่มหาศาลเกินคาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาและเธอเหล่านี้ก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับบทบาทที่รับในระดับที่สมค่าราคาที่สตูดิโอควักกระเป๋าจ่าย

อย่างที่เราได้ข่าวกันเนือง ๆ ว่านักแสดงหลายคนก็เสี่ยงตายเล่นฉากสตันท์เอง บางคนก็เปลี่ยนแปลงสภาพร่างให้เข้ากับบท กลายเป็นอ้วนบ้าง กลายเป็นคนผอมขี้โรคบ้าง ซึ่งบางบทบาทพวกเขาเหล่านั้นก็ต้องฝึกฝน ฟิตซ้อมทักษะความสามารถต่าง ๆ ล่วงหน้าเป็นเดือนหรือเป็นปี ก่อนจะถึงวันเปิดกล้อง โดยเฉพาะหนังที่เกี่ยวกับชีวประวัติต่าง ๆ นั้น นักแสดงก็ต้องฝึกซ้อมทักษะพิเศษใหม่เพื่อบทนั้น ๆ สุดท้ายเขาและเธอเหล่านี้ก็ได้ความสามารถเหล่านี้ติดตัวมาเป็นของแถม มาดูกันซิว่ามีนักแสดงคนไหนบ้างที่มีความสามารถพิเศษเหนือคนทั่วไปแล้วมาจากหนังเรื่องอะไรกันบ้าง

ทอม ครูซ กลั้นหายใจได้นาน 6 นาที จากหนัง Mission Impossible: Rogue Nation

ในบรรดานักแสดงชื่อดังที่ชอบแสดงฉากผาดโผนเสี่ยงตายด้วยตัวเองนั้น ชื่อแรกที่คอหนังคิดถึงก็ต้องเป็น เฉินหลง หรือ แจ็กกี้ ชาน แต่อีกชื่อหนึ่งที่รองลงมาก็ต้องไม่พ้นเขาคนนี้ ทอม ครูซ (Tom Cruise) พระเอกอเมริกัน ที่วันนี้อายุอานามก็ปาไป 59 ปีแล้ว ทอม ครูซ เป็นพระเอกที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุค 80s ผ่านมาทุกบทบาท ทุกแนวหนัง คอมเมดี้, หนังเพลง, ชีวประวัติ, แฟนตาซี, ดราม่า แต่ครูซเริ่มมาเป็นพระเอกแอ็กชันสายฮาร์ดคอร์ก็ในช่วง 10 ปีหลังนี่ล่ะ ตั้งแต่เขาเริ่มจับทางความชอบของผู้ชมได้จากหนัง Mission: Impossible – Ghost Protocol (2011) หรือภาคที่ 4 ของแฟรนไชส์ Mission: Impossible ในภาคนี้มีฉากที่ใช้โปรโมตคือฉากปีนตึกระฟ้าด้วยมือเปล่า กลายเป็นว่าตั้งแต่ภาคนี้เป็นต้นไป ทีมงานผู้สร้างก็เลยต้องทำการบ้านขบคิดกันว่าภาคต่อไป จะให้ครูซโชว์ฉากสตันท์เสี่ยงตายแบบไหนกัน เราก็เลยได้เห็นภาพครูซเกาะเครื่องบินที่กำลังบินขึ้นจากสนามบิน, ขับเฮลิคอปเตอร์ผาดโผน, ขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศร, ดิ่งพสุธาแบบ HALO เขาผู้นี้ทำมาหมดแล้ว

แต่หนึ่งในฉากเสี่ยงตายที่น่าประทับใจที่สุด แม้ว่าหนังจะไม่ได้นำมาโปรโมตเท่าใดนักก็คือฉากดำน้ำจากหนังภาค 5 Rogue Nation ในฉากนี้อีธาน ฮันต์ (Etan Hunt) บทบาทของครูซจะต้องดำน้ำเป็นระยะทางไกล ซึ่งแน่นอนว่าครูซต้องฝึกฝนการดำน้ำเพื่อฉากนี้เป็นเวลา 2 เดือน และระหว่างที่ฝึกอยู่นั้น ครูซถึงกับหมดสติมาแล้ว 2 ครั้ง เพื่อเป้าหมายสำคัญที่สุดในก็คือ กลั้นหายใจให้ได้นานที่สุด แล้วในที่สุดครูซก็สามารถกลั้นหายใจใต้น้ำได้ยาวนานเกินมนุษย์มนาถึง 6 นาทีเต็ม

ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ สื่อสารกับกอริลลาได้ใน Gorillas In The Mist

ถึงแม้ว่าคอหนังจะจำชื่อและหน้าตาของซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ (sigourney weaver) ได้จากบทบาท เอ็ลเล็น ริปลีย์ (Ellen Ripley) จากแฟรนไชส์ Alien ส่วนผลงานอื่น ๆ ของเธอก็ออกแนวไซไฟบ้าง คอมเมดี้บ้างอย่าง Ghostbusters และ Avatarแต่ครั้งหนึ่งเธอก็เคยเล่นหนังที่ขายการแสดงจริงจังใน Gorillas In The Mist (1988) หนังชีวประวัติของ ไดแอน ฟอสซีย์ (Dian Fossey) นักสัตววิทยาชาวอเมริกัน ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อศึกษาพฤติกรรมของกอริลลา เธอมีชื่อเสียงจากการผลงานวิจัยกลุ่มลิงกอริลลาภูเขา ในป่าทึบของประเทศรวันดา

ซึ่งผู้กำกับตั้งใจอย่างมากที่จะถ่ายทอดตัวตนของไดแอน ฟอสซีย์ ออกมาให้สมจริงอย่างที่สุด นั่นแปลว่าวีเวอร์จะต้องเข้าฉากกับกอริลลาตัวเป็น ๆ เพื่อการนี้วีเวอร์จำต้องไปเรียนวิธีการสื่อสารกับกอริลลา เพื่อที่จะทำให้พวกมันรู้สึกปลอดภัยสบายใจเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับตัวเธอ วีเวอร์ต้องเรียนการสื่อสารด้วยท่าทางกับกอริลลา และยากที่สุดคือการใช้ ‘เสียงเรอ’ แทนการพูดแบบวานร

บางคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ต่างก็ประจักษ์แล้วว่า วีเวอร์ทำได้สำเร็จอย่างที่มุมานะพยายามมา เธอทำให้เหล่ากอริลลาไว้ใจและรู้สึกสบายใจปล่อยให้เธอเข้าไปคลุกคลีใกล้ ๆ ได้ ในที่สุดความพยายามของเธอก็คุ้มค่า ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ ได้เข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากบท ไดแอน ฟอสซีย์ แม้ว่าสุดท้ายเธอจะพลาดไปก็ตาม

ผ่านไป 20 ปี ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ กลับไปเยี่ยมครอบครัวกอริลลา่อีกครั้ง

โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ เดินบนเส้นลวดได้ จากหนัง The Walk

The Walk หนังที่สร้างเสียงฮือฮาพอควรในปี 2015 ที่ออกฉาย เสียงยืนยันจากแทบทุกคนที่ได้ดูในโรงภาพยนตร์ว่าหวาดเสียวจริง เป็นอีกเรื่องที่เล่าเรื่องราวของบุคคลจริง ฟิลลิปเป เพอทีต์ (Philippe Petit) นักกายกรรมผาดโผนด้วยการเดินบนลวดเส้นเดียวที่ขึงในที่สูง ชื่อของเพอทีต์กระฉ่อนไปทั่วโลกหลังจากเขาลอบไปขึงลวดแล้วเดินข้ามตึกแฝด เวิลด์ เทรด เซนเตอร์ ได้สำเร็จเมื่อปี 1974

โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ (Joseph Gordon Lewitt) นักแสดงเจ้าบทบาท ได้รับการคัดเลือกให้มารับบทเป็น ฟิลิปเป เพอทีต์ ในเรื่องนี้ The Walk จัดได้ว่าเป็นหนังชีวประวัติน้อยเรื่องที่สร้างจากเรื่องราวของบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็นับว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของเลวิตต์ที่เขาได้รับการฝึกสอนจากเจ้าตัว ฟิลิปเป เพอทีต์ เองเลย ซึ่งงานนี้เพอทีต์เองก็ทุ่มเทจริงจัง เขาสอนเลวิตต์แบบใกล้ชิดตัวต่อตัวเลย แล้วเลวิตต์เองก็เรียนรู้ได้เร็ว จบหลักสูตรการเดินบนเส้นลวดได้ภายใน 8 วัน

ฉากระทึกในหนังนั้นเป็นฉากที่เพอทีต์เดินบนลวดข้ามตึกที่ความสูง 400 เมตร แน่ล่ะว่าฉากนี้ใช้เทคนิค CGI มาช่วย แต่ภาพที่เราเห็น เลวิตต์เดินทรงตัวบนเส้นลวดที่ขึงตึงนั้น คือความสามารถของตัวเขาเองล้วน ๆ หลังจากผ่านการฝึกอย่างเข้มงวดมาแล้ว ต้องเสริมอีกนิดว่าเพอทีต์คือนักกายกรรมตัวจริง เขาไม่ได้มีความสามารถแค่การเดินทรงตัวบนเส้นลวดแค่นั้น เขายังสามารถเล่นจักเกิลได้อีกด้วย (การโยนและรับลูกบอลหรือสิ่งของอย่างต่อเนื่อง) ซึ่งเขาก็ถ่ายทอดวิชาจักเกิลให้กับเลวิตต์มาด้วย

มิเชลล์ ไฟเฟอร์ ใช้แส้ได้อย่างคล่องแคล่ว จากหนัง Batman Returns

ถึงวันนี้เราได้เห็น Catwoman หรือ นางแมวป่า ในจักรวาลดีซีมาหลายคนแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า Catwoman หรือ เซลินา ไคล์ (selina kyle) ในเวอร์ชันของ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ (Michelle Pfeiffer) ที่ปรากฏตัวใน Batman Returns (1992) เป็นรายที่น่าจดจำที่สุด ไฟเฟอร์รับบทนี้เมื่อวัย 34 ปี เธอยังสวยสด แม้ชุดนางแมวของเธอจะไม่ได้โชว์เนื้อหนังมังสาเหมือนเวอร์ชันหลัง ๆ แต่ก็เป็นชุดหนังดำรัดรูปที่โชว์หุ่นเป๊ะปังของเธอออกมาได้อย่างเซ็กซี่มาก ๆ

แม้ว่าชุดของ Catwoman จะเปลี่ยนดีไซน์ไปตามวันเวลา แต่เอกลักษณ์หนึ่งของเธอที่ยังคงอยู่ก็คือ “แส้” ที่เป็นอาวุธคู่ใจของเธอ จึงเป็นข้อบังคับให้ไฟเฟอร์ต้องฝึกการใช้แส้ให้คล่องแคล่ว ไม่ได้มีการเปิดเผยว่าไฟเฟอร์ได้ฝึกการใช้แส้กับใครและใช้เวลานานเพียงใด แต่ผลลัพธ์ออกมาน่าประทับใจเกินคาด แอนโธนี เดอ ลองจิส (Anthony De Longis) นักออกแบบท่าทางการต่อสู้เล่าว่า เขาสังเกตเห็นได้ว่าไฟเฟอร์มีความมั่นใจอย่างสูงกับการใช้แส้ของเธอ และเธอก็ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วจริง ถึงขั้นสามารถประยุกต์ท่าทางการใช้แส้เพิ่มเติมเข้าไปนอกเหนือจากบทอีกด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือฉากที่เธอต้องเผชิญหน้ากับ คริสโตเฟอร์ วอล์กเค็น (Christopher Walken) นั้น เธอจะเหวี่ยงแส้ไปพันรอบคอของวอล์กเค็นแล้วดึงตัวเขาเข้ามา ที่เราเห็นในหนังนั้นคือฝีมือของไฟเฟอร์ล้วน ๆ ไม่ได้มีการใช้คนอื่นมาถ่ายทำแทน แล้วตัดต่อช่วยแต่อย่างใดเลย

จอห์น คราซินสกี เรียนเทคนิคการเคลื่อนพลผ่านอาคารที่ไฟไหม้ จากหนัง 13 Hours: The Secret Soldiers Of Benghazi

หลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่า จอห์น คราซินสกี (John Krasinski) เคยรับบทนำในหนังสงครามเนื้อหาเข้มข้นจริงจัง เรื่อง 13 Hours: The Secret Soldiers Of Benghazi (2016) ผลงานกำกับของ ไมเคิล เบย์ เพราะว่าตั้งแต่คราซินสกี ประสบความสำเร็จกับ The Quiet Place ทั้ง 2 ภาค เขาก็เลยถูกจดจำในฐานะนักแสดงนำ ผู้กำกับและเขียนบทจากเรื่องนี้ แต่ที่จริงแล้วคราซินสกี สร้างชื่อเสียงไว้มากในฐานะพระเอกหนังซีรีส์ ทั้งจาก The Office และ Jack Ryan แต่ไม่เป็นที่พูดถึงมากนักในบ้านเรา

ย้อนมาที่หนัง 13 Hours: The Secret Soldiers Of Benghazi ในเรื่องนี้ คราซินสกีรับบทเป็น แจ็ก ซิลวา ทหารหน่วย SEALS ผู้มากประสบการณ์ นับว่าเป็นบทบาทที่พลิกภาพลักษณ์ของพระเอกคอมเมดี้อย่างเขามาก ๆ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นงานหนักของคราซินสกีที่ต้องเข้ายิมเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนัก เพื่อให้ได้หุ่นและภาพลักษณ์ที่ดูเป็นทหารผู้กรำศึกมายาวนาน

นอกจากฟิตซ้อมร่างกายอย่างหนักแล้ว คราซินสกีต้องเข้าค่ายฝึกกับทหารตัวจริง เพื่อให้เขาดูน่าเชื่อถือว่าเป็นทหารให้มากที่สุด งานนี้เขาต้องฝึกการใช้อาวุธหลากหลายประเภท และฝึกทักษะทางทหารต่าง ๆ และที่คราซินสกีบอกว่าการฝึกที่เขาคาดไม่ถึงว่าแบบนี้ก็ต้องฝึกด้วย คือการวางกลยุทธ์การรบพุ่งผ่านอาคารที่กำลังมีเพลิงลุกไหม้

“ผมและเพื่อนนักแสดงต้องผ่านการฝึกอย่างหนักกับทหาร SEALS จริง ๆ เราฝึกการยิงด้วยปืนหลากหลายประเภท แล้วฝึกการเคลื่อนพลผ่านห้องที่มีแสงสว่างและห้องที่มืดสนิท เราฝึกการรบผ่านตึกที่กำลังมีไฟลุกไหม้”
อย่างน้อย หลังจบการแสดงเรื่องนี้แล้ว ถ้าคราซินสกีต้องเผชิญเหตุการณ์เพลิงไหม้ขึ้นมาจริง ๆ เขาน่าจะรับมือได้และพาลูกเมียออกมาได้อย่างปลอดภัยแน่ล่ะ

อ่านต่ออีก 5 รายชื่อในหน้า 2 ครับ

เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ได้หัดถลกหนังกระรอก จากหนัง Winter’s Bone

วันนี้เจนลอว์ อยู่ในสถานะนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดไปแล้ว เธอเป็นนักแสดงมากความสามารถ มีผลงานทั้งฝั่งหนังเอาใจตลาดและหนังสายรางวัล ซึ่งเธอได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นนักแสดงที่ครบเครื่องทั้งภาพลักษณ์และความสามารถ ด้วยการเป็นเจ้าของ 1 รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิง และยังเข้าชิงอีก 3 ครั้งด้วย

ย้อนไปในปี 2010 ชื่อของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) ผุดขึ้นมาท่ามกลางแวดลงบันเทิง ด้วยผลงานการแสดงเป็นที่โจษจันจากหนัง Winter’s Bone ซึ่งในวันนั้นเธออายุเพียง 20 ปีเท่านั้น เธอได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมและบรรดานักวิจารณ์ จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์นักแสดงนำหญิง

หลายคนได้ที่ได้ดูหนังต่างชื่นชมว่าลอว์เรนซ์ให้การแสดงที่เป็นธรรมชาติมาก ๆ ดูเป็นสาวชาวบ้านจริง ๆ นั่นก็เพราะเทคนิคเฉพาะตัวในการแสดงของลอว์เรนซ์ ที่เธอมักจะปล่อยตัวเองให้จมดิ่งตัวไปกับบทบาทที่เธอแสดงในแต่ละเรื่อง และเธอมักจะจริงจังกับการเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นกับตัวละครที่เธอรับบท ซึ่งลอว์เรนซ์เล่าว่า ในจำนวนทักษะความสามารถใหม่ ๆ ที่เธอต้องเรียนเพื่อการแสดงให้สมจริงนั้น ตอนที่เธอแสดง Winter’s Bone นั่นแหละที่แปลกที่สุด เพราะเธอต้องหัดถลกหนังกระรอก

เพราะในบท “รี” ที่เธอแสดงนั้น คือสาวชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่กับป่าเขา ล่าสัตว์มาเป็นอาหาร แล้วในหนังก็มีฉากหนึ่งที่เธอต้องถลกหนังแล่เนื้อเจ้ากระรอกผู้โชคร้าย เพื่อเตรียมอาหารด้วยมือของเธอเอง แต่เรื่องจริงเบื้องหลังฉากนี้ มันไม่ใช่อย่างที่เรา ๆ เห็นกันในหนังเลย เพราะตัวจริงเธอไม่ได้จิตใจกล้าแข็งขนาดนั้น คนที่สอนเทคนิคนี้ให้กับเธอคือพี่ชายของเพื่อน ซึ่งลอว์เรนซ์ยอมรับเลยว่า มันฝืนใจเธอเกินไปที่จะต้องทำอะไรแบบนี้ ตอนที่เธอฝึกถึงกับต้องวิ่งหนีไปร้องไห้จากภาพกระรอกที่เธอเห็น

แดเนียล เดย์ ลูอิส เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบอินเดียนแดงจากหนัง The Last Of The Mohicans

แดเนียล เดย์ ลูอิส (Daniel Day-Lewis) คือชายผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงโดยแท้ กว่า 30 ปีในวงการแสดง กับผลงานเพียงแค่ 30 เรื่อง เขาได้พิสูจน์ให้ผู้ชมเห็นแล้วว่า เขาไม่มีขอบเขตสำหรับการแสดง เขาแสดงได้ทุกบทบาทจริง ๆ และแต่ละบทบาทที่เขารับนั้น ลูอิสจะทุ่มเทให้กับมันอย่างที่สุด เขาสามาถพูดภาษาเช็กได้คล่องแคล่วในหนัง The Unbearable Lightness Of Being และต่อยมวยเป็นจริง ๆ ในหนัง The Boxer และตัวการันตีความสามารถของเขาก็คือ 3 ออสการ์จากสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยม จากการเข้าชิงถึง 6 ครั้ง

แม้วันนี้ลูอิสจะเกษียณจากอาชีพนักแสดงไปแล้วก็ตาม แต่เรื่องที่เราอยากจะหยิบยกมาพูดถึงก็คือ ผลงานของเขาจากเรื่อง The Last Of The Mohicans ปี 1992 ในเรื่องนี้ลูอิสรับบทเป็น ฮอว์กอาย ชายชาวอังกฤษที่ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาโดยชนพื้นเมืองอเมริกัน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยาก แต่ลูอิสก็ตั้งใจที่จะแปลงร่างตัวเองให้ดูเป็นชาวเผ่าโมฮอว์กให้ได้สมจริงมากที่สุด ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเรียนรู้วิธีการดำเนินชีวิตจากชาวเผ่าโมฮอว์กสักคน แต่สำหรับลูอิสแล้วแค่นั้นมันไม่เพียงพอ เขาตัดสินใจไปกินนอนอยู่กับชาวเผ่าโมฮอว์กจริง ๆ นานนับเดือน

ผลก็คือเขาได้วิชาความรู้ติดตัวมามากมาย ทั้งการสร้างเรือแคนู, การตามรอยสัตว์และถลกหนังสัตว์, การต่อสู้แบบชนเผ่าโมฮอว์ก การใช้ปืนคาบศิลา (Flintlock) แต่ที่ดูเอาจริงเอาจังเกินไปเสียหน่อยก็คือตลอดเวลาที่แสดงเรื่องนี้ ลูอิสกลืนตัวเองให้กลายเป็นฮอว์กอายไปตลอดเวลา สังเกตได้จากการที่เขาไปไหนมาไหนก็สะพายปืนคาบศิลาไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่การทานอาหารกับครอบครัวในวันคริสต์มาส

รูธ วิลสัน เรียนการทำหมันแกะจากหนัง Dark River

มาถึงรายนี้น่าจะไม่คุ้นหูคุ้นตากับหลาย ๆ คน ทั้งชื่อหนังและชื่อนักแสดง เพราะว่า Dark River เป็นหนังสัญชาติอังกฤษสายรางวัลปี 2017 ไม่ได้เข้าฉายในวงกว้าง แต่ตระเวนฉายตามเทศกาลหนัง ซึ่งตัวหนังก็สร้างชื่อในแวดวงอินดี้พอประมาณเพราะไปคว้ารางวัลมากจากเทศกาลหนังโทรอนโทในปีนั้น ส่วนรูธ วิลสัน (Ruth Wilson) นั้นเธอก็เป็นนักแสดงสัญชาติอังกฤษ ที่มีผลงานทีวีซีรีส์เสียเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่เคยได้รับบทนำในหนังระดับบล็อกบัสเตอร์เลย แต่เรื่องราวของเธอตอนที่ต้องรับบทนำใน Dark River ก็น่าสนใจเหมาะที่จะนำมาเล่าต่อครับ

ในเรื่องนี้วิลสันรับบทเป็น อลิซ เบลล์ (Alice Belle) สาวชาวไร่ที่มีเหตุพิพาทกับพี่น้องตัวเอง ในการชิงสิทธิ์การเป็นเจ้าของที่ดินหลังจากการตายของพ่อ ด้วยเหตุที่ตัวละครของเธอเป็นสาวชาวไร่โดยกำเนิด เธอจึงต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อบทนี้ วิลสันจึงไปใช้ชีวิตยาวนานนับเดือนในฟาร์มที่ยอร์กเชียร์ ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำไรทำนามาก่อนเลย เธอจึงต้องเรียนรู้ทักษะหลาย ๆ อย่างที่คิดว่า อลิซ เบลล์ บทบาทของเธอควรจะช่ำชอง ทำให้วิลสันได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ มากมายเช่น การตัดขนแกะ การขลิบกีบเท้าแกะ และที่แปลกใหม่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับเธอก็คือ ‘การทำหมันแกะ’

ผ่านหนึ่งเดือนนี้มาได้ วิลสันยอมรับเลยว่าการใช้ชีวิตแบบชาวไร่นั้นยากมาก ๆ แต่เธอก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นที่เธอจะต้องเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อให้บทบาท อลิซ เบลล์ ของเธอดูเป็นสาวชาวไร่สมจริงมากที่สุด อ่านถึงตรงนี้แล้วก็น่าไปลองหา Dark River มาดูกันนะครับ

จิม แคร์รีย์ เรียนรู้เทคนิคการผ่านพ้นช่วงเวลาอันทรมานจากหนัง How the Grinch Stole Christmas

เป็นรายที่น่าสงสารที่สุดในจำนวน 10 คนในรายชื่อนี้แล้ว จะว่าไปเรื่องการที่นักแสดงต้องอดทนกับช่วงเวลาเมกอัปนั้น เป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุด อย่างที่ เดฟ เบาทิสต้า ยังเคยออกปากว่าเขาจะไม่กลับไปเล่นเป็น Drax อีกแล้ว เพราะเขาเบื่อมากกับขั้นตอนเมกอัปอันยาวนาน อย่างกรณีของ จิม แครีย์ (Jim Carrey) นี้ก็เคยมีประสบการณ์กับงานเมกอัปมาแล้วด้วย เพราะเขาก็เคยผ่านงานอย่าง The Mask มาแล้ว แต่พอต้องมาแสดงเป็น กรินช์ ปีศาจตัวเขียว ที่รอบนี้ไม่ได้เมกอัปแค่หน้า แต่ต้องเมกอัปติดขนแต่งหน้าจิม แคร์รีย์ ทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว

มาถึงตรงนี้ก็พอจินตนาการออกแล้วใช่มั้ยครับ ว่างานเมกอัประดับนี้จะต้องใช้เวลาในแต่ละวันยาวนานแน่นอน ซึ่งจิม แคร์รีย์ ได้เผยออกมาภายหลังว่าในแต่ละวันเขาต้องนอนให้ทีมงานเมกอัปทำงานกับร่างกายเขาถึงวัน 8 ชั่วโมงครึ่ง ลองคิดดูเป็นเรา ๆ จะทนไหวมั้ย นี่แค่ขั้นตอนเมกอัป ยังไมได้เริ่มงานแสดงเลย ซึ่งแน่ล่ะว่าการผ่านขั้นตอนอันทุกข์ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวันแบบนี้ มันมีผลต่อสภาพจิตของจิม แคร์รีย์ อย่างมาก

ก็นับว่ายังดีที่ทีมงานไม่นิ่งนอนใจ โดยเฉพาะ ไบรอัน เกรเซอร์ (Brian Grazer) ผู้อำนวยการสร้าง ที่ไอเดียหลักแหลมในการหาทางออกด้วยการติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ CIA ที่เป็นครูฝึกวิชาการอดทนเมื่อต้องถูกจับไปทรมาน ช่างตรงกับสถานการณ์ของจิม แคร์รีย์ เสียจริง เจ้าหน้าที่ CIA ก็ยินดีบินตรงมาหาจิม แคร์รีย์ ในเร็ววัน มาถึงเขาก็พาจิม แคร์รีย์ เข้าห้อง ติวเข้มเป็นการส่วนตัวเลย เทคนิคที่เขาสอนก็อย่างเช่น การสร้างกรอบความคิดขึ้นมาขณะที่ต้องอยู่นิ่ง ๆ เป็นเวลานาน หรือการหักเหความสนใจตนเองจากความเจ็บปวด และการสร้างแนวคิดเพื่อหลีกเลี่ยงจากความอึดอัดกับการที่ต้องติดอยู่ในชุดกรินช์เป็นเวลานาน ๆ

เป็นการแก้ปัญหาได้ถูกจุด และได้ผลเกินคาด จิม แคร์รีย์ สามารถพาตัวเองผ่านพ้นการเมกอัปได้อีกเป็นร้อยรอบ จนหนังปิดกล้อง แล้วผลลัพธ์ก็คุ้มค่าความทุ่มเท หนังทำเงินไป 345 ล้านเหรียญ และที่น่าภูมิใจที่สุดก็คือ รางวัลออสการ์สาขาเมกอัปนั่นเอง

ช่วงท้ายของคลิป จะโชว์ขั้นตอนการเมกอัป

จอห์น เดวิด วอชิงตัน ฝึกพูดแบบกลับหลังมาหน้า จากหนัง Tenet

ไม่เคยธรรมดาสำหรับงานแต่ละเรื่องของเสด็จพ่อโนแลน อย่างที่หลายคนรู้กัน Tenet (2020) คือหนังไซไฟ-ระทึกขวัญ บนเนื้อหาเกี่ยวกับการจารกรรม และที่สำคัญที่สุดคือเนื้อหาที่พูดถึงเส้นเวลาที่เดินย้อนกลับหลัง ถ้าเป็นผู้กำกับคนอื่น ๆ ก็ไม่เห็นจะยุ่งยากอะไร ก็แค่ถ่ายทำไปแบบปกติแล้วมาเดินเทปย้อนหลังเอาก็ได้ แต่สำหรับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) มันต้องไม่ใช่วิธีการง่าย ๆ แบบนั้น เพราะโนแลนยึดมั่นถือมั่นที่จะถ่ายทำแบบปฏิบัติจริงให้ได้มากที่สุด แล้วพึ่งพา CGI ให้น้อยที่สุด นั่นแปลว่าภาพที่เราเห็นไปบนจอนั้น คือฝีมือการแสดงของบรรดานักแสดงล้วน ๆ

จอห์น เดวิด วอชิงตัน (John David Washington) ผู้รับบทนำของเรื่อง เผยว่าเพื่อการแสดงใน Tenet เขาต้องฝึกทำทุกอย่างย้อนหลังให้ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นการกะพริบตา, เดิน, พูด, ต่อสู้, วิ่ง, ตั้งการ์ด และต่อย งานนี้ขั้นตอนที่ยากที่สุด คือการฝืนสัญชาตญาณพื้นฐานของตัวเอง เขาต้องพยายามลืมการเคลื่อนไหวแบบปกติให้ได้ก่อน แล้วค่อยฝึกการเคลื่อนไหวทุกอย่างแบบย้อนหลัง

แต่ผลที่ได้ก็คุ้มค่า ภาพบนจอออกมาดูสมจริง เพราะเป็นการถ่ายทำจริง แสดงจริง มี CGI เข้ามายุ่งเกี่ยวน้อยที่สุด แต่ที่น่าตลกก็คือ Tenet กลับคว้ารางวัลออสการ์สาขา วิชอลเอฟเฟกต์ ในปี 2020

อ้างอิง อ้างอิง อ้างอิง