ในปี 2023 หากเรามองย้อนกลับไปสักครึ่งศตวรรษ เราจะไปสู่ปี 1973 ซึ่งปีนี้เป็นปีแห่งการบุกเบิกวงการดนตรี โดยมีอัลบั้มที่โด่งดังหลายชุดออกวางจำหน่าย ซึ่งจะกลายเป็นผลงานเพลงคลาสสิกต่อไป ตั้งแต่คลาสสิกร็อกไปจนถึงฟังก์ เร็กเกและโซล ในปีนี้เราจะได้เห็นแนวเพลงที่หลากหลายถูกนำเสนอในรูปแบบใหม่และด้วยลีลาที่น่าสนใจ อัลบั้มเหล่านี้ได้ผ่านการทดสอบของกาลเวลาและยังคงเป็นที่นิยมและส่งอิทธิพลมาสู่ทศวรรษต่อ ๆ มาจนถึงปัจจุบัน

Beartai Buzz จะพาเพื่อน ๆ ไปสำรวจอัลบั้มที่ดีที่สุดของปี 1973 โดยบอกเล่าความโดดเด่น เรื่องราวเบื้องหลังการสร้างสรรค์และผลกระทบที่มีต่อโลกดนตรี ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนตัวยงหรือเพิ่งค้นพบผลงานคลาสสิกเหล่านี้ อัลบั้มทั้ง 10 ที่เราคัดสรรมานี้เป็นอัลบั้มดี ๆ ที่นักฟังเพลงต้องลองฟังดูสักครั้งอีกทั้งยังมีความสำคัญสำหรับทุกคนที่สนใจในประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของดนตรีอีกด้วย

Stevie Wonder – ‘Innervisions’

‘Innervisions’ ถูกบันทึกในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายสำหรับ สตีวี วันเดอร์ (Stevie Wonder) ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แถมยังกรุ่นไปด้วยบรรยากาศทางสังคมและการเมืองในสมัยนั้น เช่น สงครามเวียดนามและขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง อัลบั้มนี้จึงสะท้อนมุมมองที่ครุ่นคิดและใส่ใจต่อสังคมของวันเดอร์ที่มีแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ชีวิตของเขาและประสบการณ์ของคนอื่น ๆ รอบตัว อัลบั้มนี้จึงนับว่าเป็นแลนด์มาร์กของการก้าวเข้าสู่ ‘ยุคคลาสสิก’ ของวันเดอร์และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจาก ‘Little Stevie Wonder’ ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องเพลงบัลลาดโรแมนติกไปสู่ศิลปินที่มีความเป็นผู้ใหญ่ทั้งในด้านดนตรีและเนื้อหา

อัลบั้มนี้วันเดอร์ทำงานอย่างใกล้ชิดกับโปรดิวเซอร์ โรเบิร์ต มาร์กูเลฟฟ์ (Robert Margouleff) และซาวด์เอ็นจิเนียร์ มัลคอล์ม เซซิล (Malcolm Cecil) โดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อสร้างเสียงที่สร้างสรรค์ ซึ่งรวมถึงการใช้เจ้าซินธิไซเซอร์ยักษ์ T.O.N.T.O. (The Original New Timbral Orchestra) ซินธิไซเซอร์อะนาล็อกแบบมัลติทิมบราลเครื่องแรกของโลกที่ออกแบบและสร้างโดยมัลคอล์ม เซซิล และ โรเบิร์ต มาร์กูเลฟฟ์ ตลอดจนเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ และเทคนิคการบันทึกเสียงแบบหลายแทร็ก ผลลัพธ์ที่ได้คือเสียงที่มีเอกลักษณ์และท้าทายแนวเพลงซึ่งผลักดันขอบเขตของดนตรียอดนิยมในเวลานั้น

‘Innervisions’ ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่บวกอย่างกว้างขวางและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ ได้รับรางวัล Album of the Year และ Best Engineered Non-Classical Recording จากเวทีแกรมมี่อวอร์ด ติดอันดับที่ 34 ในรายชื่อ “500 อัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” ของนิตยสารโรลลิงสโตนและในปี 1999 อัลบั้มนี้ได้รับการบรรจุเข้าสู่หอเกียรติยศแกรมมี่ ตอกย้ำตำแหน่งของวันเดอร์ในฐานะนักดนตรีที่มีพรสวรรค์และมีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในรุ่นของเขา และยังคงเป็นมาตรฐานในอาชีพของเขาและได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในผลงานเพลงสุดคลาสสิกแห่งยุค 70s

บทเพลงทั้ง 9 ของ ‘Innervisions’ ครอบคลุมธีมและประเด็นต่าง ๆ มากมายในสังคม ตั้งแต่การใช้ยาเสพติดในเพลง “Too High” ไปจนถึงความไม่เท่าเทียมกันและการเหยียดเชื้อชาติใน “Living for the City” ไปจนถึงความรักในเพลงบัลลาด “All in Love Is Fair” และ ” Golden Lady” เพลงบัลลาดอันไพเราะที่ถ่ายทอดเสียงร้องที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของ สตีวี วันเดอร์ และความเป็นนักดนตรีที่เชี่ยวชาญช่ำชองและโชกโชนของเขา ส่วน “He’s Misstra Know-It-All” เป็นเพลงที่มีเนื้อหาโจมตีประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันของสหรัฐในตอนนั้นอย่างแสบสันต์ คล้ายกับเพลง “You Haven’t Done Nothin'” ของวันเดอร์ในปีถัดมา สำหรับเพลง “Living for the City” นั้นนับว่าเป็นหนึ่งในเพลงโซลเพลงแรก ๆ ที่พูดเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติอย่างชัดเจน อีกทั้งยังสะท้อนประเด็นความยากจนและชีวิตในเมือง ทำให้ในเพลงมีการนำเอาเสียงในชีวิตประจำวันของท้องถนน เช่น เสียงการจราจร เสียงไซเรน เข้ามาใส่ในเพลงด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เพลงนี้ได้รับรางวัล Best R&B Song จากเวทีแกรมมี่มาอีกรางวัล

Pink Floyd – ‘The Dark Side of the Moon’

‘The Dark Side of the Moon’ เป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้มของ Pink Floyd วางจำหน่ายในปี 1973 บันทึกเสียงในช่วงเวลาหลายเดือนและสะท้อนถึงการเติบโตทางศิลปะและแนวคิดทางปรัชญาของวง ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองในยุคนั้น ธีมหลักของเพลงในอัลบั้มถ่ายทอดเรื่องราวของประสบการณ์ของมนุษย์ กาลเวลา และความท้าทายของชีวิตสมัยใหม่ผ่านประเด็นเรื่อง ความตาย ความโลภ และความป่วยไข้ทางจิตใจ ธีมเหล่านี้ได้รับการสำรวจผ่านชุดเพลงที่เชื่อมต่อกันผ่านการออกแบบเสียงที่สร้างสรรค์และล้ำสมัย

ในแง่ของการผลิต ‘The Dark Side of the Moon’ เป็นอัลบั้มที่ก้าวล้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยของ Pink Floyd และแนวทางใหม่ในการออกแบบเสียง ในอัลบั้มนี้วงได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับซาวด์เอ็นจิเนียร์ อลัน พาร์สันส์ (Alan Parsons) เพื่อสร้างซาวด์สเคปและบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของอัลบั้ม โดยผสมผสานองค์ประกอบของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ซาวด์เอฟเฟกต์ เสียงแซมเปิลจากสิ่งของในชีวิตประจำวันเข้ากับสุ้มเสียงของดนตรีโพรเกรสซีฟร็อก

อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จทั้งในเชิงพาณิชย์และเสียงวิจารณ์ และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ซึ่งได้ส่งผ่านอิทธิพลทางดนตรีต่อศิลปินรุ่นต่อ ๆ มาเป็นผลงานที่ทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ไร้กาลเวลา

“Us and Them” เพลงบัลลาดอันทรงพลังที่สำรวจธีมของสงครามและความขัดแย้ง พร้อมโซโลแซกโซโฟนที่พุ่งทะยาน คือหนึ่งในเพลงที่บ่งบอกความเป็นอัลบั้มนี้ได้เป็นอย่างดี

Elton John – ‘Goodbye Yellow Brick Road’

‘Goodbye Yellow Brick Road’ อัลบั้มชุดที่ 7 ของ เอลตัน จอห์น (Elton John) เป็นอัลบั้มที่ให้กำเนิดซุปตาร์อย่างแท้จริง ซึ่งถึงแม้ เอลตัน จอห์น จะมีชื่อเสียงอยู่แล้วจากความสำเร็จของอัลบั้มก่อนหน้าอย่าง ‘Don’t Shoot Me I’m Only The Piano Player’, ‘Elton John’ และ ‘Honky Chateau’ แต่การมาถึงของอัลบั้มคู่ “Goodbye Yellow Brick Road” ได้ทำให้ เอลตัน จอห์น กลายเป็นชื่อที่ทุกคนต้องจดจำ อัลบั้มนี้ได้รวบรวมทุกองค์ประกอบทางดนตรีที่บ่งบอกความเป็น เอลตัน จอห์น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งเพลงที่คลาสสิกไร้กาลเวลา ดนตรีป๊อป อาร์แอนด์บี แกลมร็อก กอสเปล โซล ละครเพลงและความเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์แบบเต็มเปี่ยม

 ‘Goodbye Yellow Brick Road’ ถือเป็นสุดยอดผลงานสร้างสรรค์และความสำเร็จทางพาณิชย์ของ เอลตัน จอห์น และ เบอร์นี เทาปิน (Bernie Taupin) แต่เดิมทั้งคู่มีแผนที่จะใช้สตูดิโอในคิงส์ตัน ประเทศจาเมกาในการบันทึกเสียง แต่ต้องล้มเลิกไปเนื่องจากสตูดิโอมีการประท้วงหยุดงานและการต่อสู้ชิงแชมป์โลกชกมวยทำให้เมืองตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย นั่นเป็นเหตุผลที่ เอลตัน จอห์น และวงดนตรีของเขาต้องกลับไปยังสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยของ Chateau d’Herouville อัลบั้มนี้ได้รับการบันทึกเสียงและมิกซ์ทั้งหมดภายใน 17 วัน และผลลัพธ์ที่ได้ก็ฟังดูทะเยอทะยานอย่างยิ่ง มีการรวบรวมแนวดนตรีที่หลากหลายทั้งร็อกไปจนถึงป๊อป ฮาร์ดร็อก โซล และเพลงบัลลาดสะเทือนอารมณ์อย่างสุดจะพรรณนา

อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์และได้รับการวิจารณ์ และยังคงเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เป็นที่ชื่นชอบและมีอิทธิพลมากที่สุดของจอห์น ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นเพลงป๊อปคลาสสิกในยุค 70s และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักดนตรีและแฟนเพลงรุ่นต่อรุ่น

“Goodbye Yellow Brick Road” ไตเติลแทร็กของอัลบั้มมาในสไตล์ซอฟท์ร็อกยุค 70s ให้อารมณ์แบบเศร้า ๆ หวาน ๆ คละเคล้ากันไป ‘Yellow Brick Road’ หรือเจ้าถนนที่ปูด้วยอิฐสีเหลืองนี้มีที่มาจากภาพยนตร์เรื่อง The Wizard of Oz ที่นำแสดงโดย จูดี้ การ์แลนด์ ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เทาพินเคยได้ชม และรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ถนนสายนี้จึงเป็นดั่งการอุปมาถึง ‘ถนนที่นำไปสู่ความแฟนตาซี’ หรือ  ‘ถนนที่นำไปสู่คำตอบของชีวิต’ เทาพินได้นำมันมาใช้ในการสะท้อนความรู้สึกของตนเอง จากเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาสู่ในเมืองใหญ่และเกิดความรู้สึกคิดถึงและอยากกลับไปยังรกรากเดิมที่ตนจากมา

และเพลงจากอัลบั้มนี้ที่ผู้คนทั่วโลกคงรู้จักดีก็คือ “Candle in the Wind” บทเพลงที่เขียนขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่นักแสดงสาวคนดังแห่งยุค ‘มาริลีน มอนโร’ (Marilyn Monroe) ซึ่งท่อนแรกจะขึ้นว่า “Goodbye, Norma Jean” ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเธอคือ ‘Norma Jeane Mortenson’ นั่นเอง เป็นการเปรียบเปรยชีวิตของเธอดั่งเปลวเทียนในสายลมที่ไม่รู้ว่าจะไปพักพิงอยู่ที่ใดยามที่สายฝนหลั่งเท แต่หลายคนคงรู้จักเพลงนี้ในเวอร์ชันปี 1997 ที่ปรับปรุงใหม่และขับร้องให้แด่การจากไปของเจ้าหญิงไดอานา เจ้าหญิงผู้เป็นที่รักยิ่งของชาวอังกฤษและคนทั้งโลก  เอลตัน จอห์น ผู้ซึ่งเป็นพระสหายของพระองค์จึงได้มอบเพลงนี้เพื่ออุทิศให้แด่เจ้าหญิง “ผู้เป็นดั่งเปลวเทียนที่ดับมอดลงแต่ยังคงสว่างไสวเป็นตำนานไปตลอดกาล”

Led Zeppelin – ‘Houses of the Holy’

‘Houses of the Holy’ เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 5 ของวงร็อกอังกฤษ Led Zeppelin อัลบั้มนี้ถือเป็นการออกจากแนวเพลงที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีบลูส์ในยุคก่อน ๆ ของวง และเป็นจุดเริ่มต้นของการทดลองแนวดนตรีใหม่ ๆ อาทิเร็กเกและฟังก์

ชื่ออัลบั้มได้รับแรงบันดาลใจจากนวนิยายเรื่อง “Dune” โดยนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต (Frank Herbert) และสะท้อนถึงความสนใจของวงดนตรีในนิยายวิทยาศาสตร์และเวทย์มนต์ ภาพหน้าปกของอัลบั้มนี้ออกแบบโดยศิลปินกราฟิก Hipgnosis นำเสนอกลุ่มเด็ก ๆ เปลือยกายที่กำลังปีนป่ายหินที่ลึกลับและแปลกประหลาด

ในทางดนตรี ‘Houses of the Holy’ มีสไตล์และเสียงที่หลากหลายมากกว่าอัลบั้มก่อน ๆ ของวง อัลบั้มนี้เปิดด้วยเพลงร็อกสุดมันส์ “The Song Remains the Same” และยังมี “D’yer Mak’er” แทร็กที่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีเร็กเกที่นำเสนออิทธิพลทางดนตรีที่หลากหลายของวง “The Crungge” ที่มาในสไตล์ฟังกี้ที่แสดงถึงความตั้งใจของวงที่จะทดลองสไตล์ดนตรีใหม่ ๆ และ “No Quarter” เพลงร็อกบัลลาดที่เน้นบรรยากาศอันลึกลับพิศวงชวนหลอนที่มีเสียงร้องที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของ โรเบิร์ต แพลนต์ (Robert Plant) และงานกีตาร์ที่ซับซ้อนของ จิมมี เพจ (Jimmy Page)

อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ ขึ้นสู่อันดับสูงสุดของชาร์ตทั้งในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร และได้รับคำวิจารณ์ในเชิงบวกจากนักวิจารณ์โดยทั่วไป ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ผสมผสานและทดลองมากที่สุดของ Led Zeppelin และยังคงเป็นเพลงร็อคคลาสสิกแห่งยุค 70s

The Who – ‘Quadrophenia’

“Quadrophenia” เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 6 ของวงดนตรีร็อกอังกฤษ The Who เป็นเพลงร็อกโอเปราที่บอกเล่าเรื่องราวของ ‘เด็ก mod’ (มาจากคำว่า modernist หมายถึงกลุ่มของเด็กหนุ่มที่มีสไตล์เป็นวัฒนธรรมย่อยที่เริ่มต้นในลอนดอนและแพร่กระจายไปทั่วบริเตนใหญ่และที่อื่น ๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อดนตรีและแฟชั่น) ชื่อจิมมี่ ผู้ซึ่งดิ้นรนเพื่อหาตำแหน่งแห่งที่ของตนในโลกนี้

อัลบั้มชุดนี้มาในช่วงเวลาที่ The Who อยู่ในจุดสูงสุดของความนิยมและพลังสร้างสรรค์ของพวกเขา และพวกเขาพยายามสร้างอัลบั้มที่จะก้าวข้ามขอบเขตของแนวเพลงร็อก ‘Quadrophenia’ ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของสมาชิกวงที่เติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นในลอนดอนในช่วงทศวรรษที่ 1960 และสะท้อนให้เห็นถึงความคับข้องใจ ความสับสน และความโกรธขึ้งที่เป็นลักษณะของวัฒนธรรมวัยรุ่นในยุคนั้น

ชื่ออัลบั้มอ้างอิงถึงบุคลิกที่แตกแยกของจิมมี่ และ 4 ด้าน (quadrophenic) ของบุคลิกภาพของจิมมี่นั้นถูกนำเสนอด้วยธีมดนตรีที่แตกต่างกัน 4 แบบ อัลบั้มนี้มีการผสมผสานระหว่างดนตรีร็อก ป๊อป และคลาสสิก และถือเป็นหนึ่งในผลงานที่มีความทะเยอทะยานและสร้างสรรค์ที่สุดของ The Who

‘Quadrophenia’ ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์และได้รับการวิจารณ์ และนับตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ The Who อิทธิพลของอัลบั้มสามารถได้ยินได้จากงานของวงดนตรีร็อกและพังก์อื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนที่ตามมาทีหลัง

“Quadrophenia” ไตเติลแทร็กของอัลบั้มแสดงให้เห็นถึงดนตรีอันทรงพลังและเปี่ยมสีสันที่แสดงถึงความเป็นนักดนตรีที่มีพรสวรรค์ของวง

The Rolling Stones – ‘Goats Head Soup’

‘Goats Head Soup’ เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 11 ของวงดนตรีร็อกอังกฤษ The Rolling Stones อัลบั้มนี้บันทึกในจาเมกา บาฮามาส และลอนดอน และเป็นการออกจากแนวเพลงร็อกที่มีพื้นฐานจากบลูส์ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะในงานยุคแรกของวง

‘Goats Head Soup’ นำเสนอเสียงที่ผสมผสานและทดลองมากขึ้น โดยผสมผสานองค์ประกอบของโซล ฟังก์ และเร็กเก และแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของวงดนตรีในโลกดนตรีและประเด็นทางสังคม อัลบั้มนี้มีเพลงที่น่าจดจำที่สุดของ The Rolling Stones ได้แก่ “Angie” เพลงบัลลาดที่สวยงามซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ The Rolling Stones “Doo Doo Doo Doo (Heartbreaker)” เพลงร็อกสไตล์ฟังก์มีท่วงทำนองที่ขับกล่อมด้วยเสียงเครื่องเป่าอันเร้าใจ และ “Winter” เพลงบัลลาดบรรยากาศช้า ๆ ที่แสดงให้เห็นด้านที่สุขุมนุ่มลึกของวง

อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา และขายได้มากกว่า 3 ล้านชุด แม้จะได้รับความนิยม แต่ ‘Goats Head Soup’ ก็ยังถูกวิจารณ์จากแฟน ๆ และนักวิจารณ์บางคนว่าขาดความสอดคล้องและจุดโฟกัส

อย่างไรก็ตาม ‘Goats Head Soup’ ยังคงเป็นอัลบั้มสำคัญในผลงานทั้งหมดของ The Rolling Stones และเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเก่งกาจและความคิดสร้างสรรค์ของวง อัลบั้มนี้สะท้อนถึงภูมิทัศน์ทางดนตรีและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงยุค 70s และยังคงมีอิทธิพลต่อนักดนตรีและผู้ฟังตราบจนทุกวันนี้

Herbie Hancock – ‘Head Hunters’

‘Head Hunters’ เป็นผลงานของ เฮอร์บี้ แฮนค็อก (Herbie Hancock) มือคีย์บอร์ดแจ๊สชั้นเซียน ซึ่งเป็นการละทิ้งงานเพลงแจ๊สในสไตล์ก่อนหน้าและมารับอิทธิพลของแนวฟังก์และอาร์แอนด์บีเข้ามาผสมผสาน อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ โดยขึ้นถึงอันดับที่ 13 ใน Billboard 200 และกลายเป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงแจ๊สที่ขายดีที่สุดตลอดกาล

สุ้มเสียงของอัลบั้มนี้เกิดขึ้นจากการใช้เปียโนไฟฟ้า Fender Rhodes ของเฮอร์บี้ แฮนค็อกและการทดลองของเขาด้วยแนวฟังก์และอาร์แอนด์บี ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของ Sly Stone, Jimi Hendrix และ Miles Davis ซึ่งเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาคนสำคัญของเขา อัลบั้มนี้มีส่วนผสมของดนตรีแจ๊ส ฟังค์ และอาร์แอนด์บี และมันแสดงให้เห็นถึงทักษะของแฮนค็อกในฐานะมือคีย์บอร์ดและนักแต่งเพลง

หนึ่งในเพลงที่โดดเด่นของ ‘Head Hunters’ คือ “Chameleon” ซึ่งกลายเป็นเพลงฮิตและช่วยทำให้อัลบั้มนี้เป็นที่นิยม เพลงนี้มีฟังก์กรูฟที่ติดหูชวนเพลิดเพลินและแสดงทักษะการใช้คีย์บอร์ดของแฮนค็อก เพลงที่โดดเด่นอีกเพลงคือ “Watermelon Man” ซึ่งเป็นเพลงฮิตของแฮนค็อกในช่วงทศวรรษที่ 1960 และได้รับการบันทึกเสียงซ้ำสำหรับอัลบั้มนี้ นอกจากนี้อัลบั้มนี้ยังมีนักดนตรีรับเชิญหลายคนรวมถึงนักเพอร์คัชชัน บิล ซัมเมอร์ส (Bill Summers) ซึ่งเพิ่มกลิ่นอายละตินให้กับอัลบั้มนี้ด้วย

‘Head Hunters’ ถือเป็นอัลบั้มสำคัญในวงการดนตรีแจ๊สและฟิวชัน และได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดของแฮนค็อก อัลบั้มนี้มีอิทธิพลต่อนักดนตรีหลายรุ่นและช่วยทำให้ดนตรีแจ๊ส-ฟังก์และอาร์แอนด์บีเป็นที่นิยม ปูทางสำหรับศิลปินแนวฟิวชันในอนาคตอย่าง Weather Report และ Return to Forever

Bob Marley & The Wailers – ‘Catch a Fire’

‘Catch a Fire’ เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 5 ของ Bob Marley & The Wailers เป็นการออกวางจำหน่ายผลงานในต่างประเทศเป็นครั้งแรกของวงและเป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพการงานของพวกเขา โดยช่วยนำดนตรีเร็กเกไปสู่ผู้ฟังในวงกว้างขึ้น

อัลบั้มนี้บันทึกเสียงในคิงส์ตัน จาเมกา โปรดิวซ์โดยมาร์เลย์และคริส แบล็คเวลล์ (Chris Blackwell) ผู้ก่อตั้ง Island Records แบล็คเวลล์ประทับใจกับการแต่งเพลงของมาร์เลย์และพยายามแนะนำเพลงของเขาให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างด้วยการยกระดับคุณภาพการผลิต อัลบั้มนี้บันทึกเสียงที่ Dynamic Sound Studios ในคิงส์ตันและมีวงดนตรีสนับสนุนเต็มรูปแบบ รวมถึง ปีเตอร์ ทอช (Peter Tosh) มือกีตาร์ของ The Wailers และมือเบส แอสตัน “แฟมิลี่แมน” บาร์เร็ตต์ (Aston “Family Man” Barrett)

‘Catch a Fire’ เป็นการผสมผสานระหว่างเพลงเร็กเก จิตวิญญาณแห่งราสตาฟาเรียนและเนื้อหาที่เกี่ยวกับการเมือง ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง “Stir It Up” เพลงเกี่ยวกับความรักและอิสรภาพที่มาพร้อมจังหวะที่สนุกสนานและน่าเต้น และ “Concrete Jungle” เพลงการเมืองเกี่ยวกับความยากจนและการกดขี่ในสลัมในเมืองของจาเมกา

อัลบั้มนี้ได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวกจากนักวิจารณ์เพลงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ โดยขึ้นถึงอันดับที่ 171 ใน Billboard 200 และอยู่ในอันดับที่ 126 ของ “500 อัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” ของนิตยสารโรลลิงสโตน อัลบั้มนี้ถือเป็นอัลบั้มแนวเร็กเกคลาสสิก และอิทธิพลของอัลบั้มนี้สามารถได้ยินได้ในเพลงของเร็กเกและศิลปินเพลงทั่วโลก

Marvin Gaye – ‘Let’s Get It On’

‘Let’s Get It On’ เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 13 ของมาร์วิน เกย์ (Marvin Gaye) อัลบั้มนี้แตกต่างจากงานก่อนหน้าของเกย์ที่พูดเรื่องสังคม หันมาเน้นประเด็นเรื่องความรักและเรื่องเพศ การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตส่วนตัวของเกย์และช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ด้วยการปฏิวัติทางเพศและการเพิ่มขึ้นของขบวนการต่อต้านวัฒนธรรม

‘Let’s Get It On’ เป็นก้าวแรกของเกย์ในแนวเพลงฟังก์ นอกจากนี้ยังรวมเอาสไตล์สมูทโซลและดูวอปเข้าไว้ด้วยกัน ควบคู่ไปกับเนื้อเพลงที่พูดเรื่องความรักและเพศ ซึ่งเกย์ได้ผสมผสานแนวคิดเรื่องการบำบัดทางจิตวิญญาณในเพลงเกี่ยวกับเรื่องเพศและความรัก โดยส่วนหนึ่งเป็นวิธีการรับมือกับการถูกล่วงละเมิดในวัยเด็กจากพ่อของเขา มาร์วิน เกย์ ซีเนียร์ ซึ่งทำให้เรื่องเพศของเขาเกิดการชะงักงัน

ไตเติลแทร็ก “Let’s Get It On” เพลงโซลคลาสสิกที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความเบิกบานใจในความสุขจากความรักทั้งทางร่างกายและพลังแห่งความปรารถนา เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของเขาและกลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกย์ เป็นเพลงโซลคลาสสิกที่อยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ อัลบั้มนี้ยังมีเพลงที่น่าจดจำอีกหลายเพลง เช่น “Come Get to This” แทร็กที่เย้ายวนใจนำเสนอเสียงร้องที่นุ่มนวลของเกย์ “Distant Lover” บทเพลงสุดคลาสสิกที่นำเสนอน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของเกย์และการถ่ายทอดอารมณ์ที่ลุ่มลึก และ “You Sure Love to Ball” เพลงบัลลาดสุดนุ่มละมุน

เสียงที่นุ่มนวลและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของอัลบั้มนี้และธีมที่ดึงดูดใจและเป็นกันเองทำให้อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์และช่วยเสริมชื่อเสียงของเกย์ ในฐานะหนึ่งในนักร้องแนวโซลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

David Bowie – ‘Aladdin Sane’

‘Aladdin Sane’ เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที 6 ของ เดวิด โบวี (David Bowie) นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอังกฤษ บันทึกเสียงหลังจากความสำเร็จของอัลบั้ม ‘The Rise and Fall of Ziggy Stardust and the Spiders from Mars’ และถูกมองว่ามีความต่อเนื่องของสไตล์ดนตรีและธีมของอัลบั้มนี้

‘Aladdin Sane’ โปรดิวซ์โดยโบวีร่วมกับ เคน สก็อตต์ (Ken Scott) อัลบั้มนี้มีการนำเสนอตัวละครใหม่ซึ่งก็คือ ‘Aladdin Sane’ ซึ่งมาจากคำว่า ‘A Lad Insane’ และสะท้อนความคิดของโบวีเกี่ยวกับจังหวะชีวิตที่เร่งรีบและความกดดันที่เขารู้สึกต้องรักษาชื่อเสียงและความสำเร็จ

‘Aladdin Sane’ ผสมผสานระหว่างเพลงแกลมร็อก ฮาร์ดร็อก และเพลงแนวโซล โดยมีเพลงอย่าง “The Jean Genie” แทร็กร็อกแอนด์โรลพลังสูงที่มีริฟฟ์ติดหูและจังหวะที่เร้าใจ และ “Drive-In Saturday” ที่นำเสนอสไตล์แปลกใหม่และรสนิยมที่ผสมผสานกันของโบวี ส่วนเพลงไตเติลของอัลบั้ม “Aladdin Sane” เป็นเพลงที่ขับเคลื่อนด้วยลูกเล่นลีลาที่แปลกประหลาดของเปียโนผสานด้วยเสียงครวญอันเป็นเอกลักษณ์ของโบวีและมีเนื้อหาสะท้อนถึงแรงกดดันจากชื่อเสียง

‘Aladdin Sane’ ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางเมื่อเปิดตัวและถือเป็นอัลบั้มคลาสสิกในแคตตาล็อกของโบวี ขึ้นสูงสุดที่อันดับ 1 ในชาร์ตของสหราชอาณาจักรและอันดับ 17 ในชาร์ตของสหรัฐอเมริกา และนับแต่นั้นมาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่มีอิทธิพลและสร้างสรรค์ที่สุดของโบวี ภาพหน้าปกอันเป็นเอกลักษณ์ของอัลบั้ม ซึ่งมีสายฟ้าพาดผ่านใบหน้าของโบวีกลายเป็นหนึ่งในภาพที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุด

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส