FIT (สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย) ได้เปิดตัว 8 ทีม สุดยอดสตาร์ทอัพ ด้านการศึกษา (EdTech) และด้านสาธารณสุข (Heath Tech) จากโครงการ “GovTech Mission – One Nation, One Mission ยกระดับประเทศไทย” เวทีเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสตาร์ทอัพ เวทีที่เปิดให้คนรุ่นใหม่ และเหล่าสตาร์ทอัพ ที่มีความมุ่งมั่นและมีความคิดสร้างสรรค์จากทั่วประเทศ มาร่วมกันแข่งขันออกแบบแผนงานที่ผสมผสานกับการนำเทคโนโลยีใหม่มาประยุกต์ใช้ เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน สู่การยกระดับการพัฒนาประเทศไทยในด้านต่าง ๆ ด้วยรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7 แสนบาท ซึ่งทีมสตาร์ทอัพทั้ง 8 ทีมที่ผ่านการคัดเลือกนั้น โดยผลงานของทุกทีมนั้นมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก

ดร.ธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ ผู้อำนวยการด้านนโยบายสาธารณะสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย (FIT)

FIT (สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย) จัดตั้งขึ้นเพื่อนำเสนอแนวคิดที่ได้จากการศึกษาข้อมูลเชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลบนข้อเท็จจริง และนำไปสู่การพัฒนาประเทศ มีภารกิจหลัก ได้แก่

  1. ศึกษาและวิจัยเชิงนโยบาย
  2. พัฒนานโยบายสาธารณะที่ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ
  3. สื่อสารและผลักดันให้มีกระบวนการขับเคลื่อนทางสังคม และ
  4. สร้างเครือข่ายพลเมือง เพื่อการพัฒนาประเทศที่มีความหลากหลาย พร้อมผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ

ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานสถาบันออกแบบอนาคตไทย (FIT)

แบ่งเป็น 5 ทีมสตาร์ทอัพ ด้านการศึกษา (EdTech) ได้แก่

  1. ทีม CarreVisa (แคเรียร์วีซ่า) ได้รับรางวัลชนะเลิศ :
    • ทีม CarreVisa ได้พัฒนาแพลตฟอร์มแนะแนวอาชีพครบวงจร และเป็นแอปพลิเคชั่นแรกในประเทศไทย ที่มีแบบประเมินความเหมาะสมทางอาชีพ จากผู้มีประสบการณ์การทำงานหลากหลายสาขาอาชีพ ตั้งแต่ Investment banker ที่ Wall Street นักแสดง Broadway ที่ New York ซึ่งปัจจุบันได้เข้าร่วมกับ 5 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศในการให้นักศึกษาทดลองใช้แอปพลิเคชั่นฟรี ได้แก่
      1. ม. เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ,
      2. ม.เทคโนโลยีสุรนารี
      3. ม.เชียงใหม่
      4. ม.พะเยา และ
      5. ม.นเรศวร
    • แอปพลิเคชั่นดังกล่าวคล้าย ๆ กับเป็นตัวแทนของครูแนะแนว เปิดให้บริการมาประมาณ 4 ปีแล้ว ซึ่งช่วยแนะแนวอาชีพที่เหมาะสมกับเหล่านักศึกษาสำเร็จไปกว่า 6,000 คนแล้ว
  2. ทีม School Brigth (รู้จักในนามจับจ่าย) ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 :
    • ทีม School Brigth ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ที่ช่วยเหล่าบรรดาคุณครูบริหารจัดการรูปแบบให้คะแนน การประเมินของโรงเรียนดิจิทัลในรูปแบบของแอปพลิเคชั่นบนมือถือครอบคลุมความต้องการใช้งานของสถานศึกษามากที่สุดในประเทศไทย เชื่อมโยงระหว่างคุณครู , นักเรียนและผู้ปกครอง
    • ปัจจุบันมีนักเรียนในระบบมากกว่า 100,000 คน และมีโรงเรียนมากกว่า 100 โรงเรียน
    • School Bright ช่วยคุณครูประหยัดเวลาการทำงานได้ถึง 90% และช่วยลดต้นทุนโรงเรียนได้ถึง 30%
    • อัตราค่าบริการอยู่ที่ นักเรียน 1 คน ราคา 150 บาท ต่อการใช้งาน 1 เทอม
  3. ทีม BASE Playhouse ได้รับรองชนะเลิศอันดับ 2 : 
    • จัดตั้งมาแล้วได้ประมาณ 2 ปี ทีม BASE Playhouse พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมา เนื่องจากเล็งเห็นปัญหาที่พบว่าเด็กไทยไม่มีสถานที่ที่เตรียมพร้อมให้เข้าสู่โลกชีวิตจริง เพราะในโลกของการทำงานต้องการความรู้ และทักษะหลาย ๆ อย่างที่ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่มีสอน การเติมทักษะเหล่านั้น จึงจำเป็นต้องฝึกฝนผ่านสถานการณ์จริง
    • BASE Playhouse จึงสร้างประสบการณ์เรียนรู้ หลักสูตร และเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยพัฒนาทักษะองค์ความรู้เหล่านั้นให้กับเด็กตั้งแต่มัธยมต้น ให้เรียนรู้ผ่านสถานการณ์จำลองจริง (Experience Simulation )
    • พร้อมช่วยให้ครูทุกคนที่ทั้งมีพื้นฐานและไม่มีพื้นฐาน สามารถฝึกทักษะในศตวรรษที่21 ให้กับเด็กนักเรียนในการดูแลได้ด้วยตัวเอง แบบไม่น่าเบื่อและสนุก
    • BASE Playhouse ถูกสร้างขึ้นเพื่อจำลองโลกธุรกิจที่น้อง ๆ จะต้องเจอในอนาคต เข้ามาไว้ในพื้นที่ที่ไร้ความเสี่ยง ให้น้อง ๆ ได้ลองเล่น ล้ม ลุก คลุก คลาน เหมือนจริงทุกประการ แต่ไม่เสี่ยงไม่เจ็บ เพราะเราเชื่อว่าไม่มีการเรียนรู้แบบไหน ที่ได้ผลไปกว่าการได้ลองลงมือทำจริง และสัมผัสประสบการณ์จริง ทดลองใช้งานอยู่ที่โรงเรียนเพลินพัฒนา และวชิราวุธ
  4. ทีม VOXY ได้รับรองชนะเลิศอันดับ 3 : 
    • เป็นระบบปฏิบัติการการสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ ที่ใช้เทคโนโลยี AI คู่ขนานไปกับการสอนสด โดยเจ้าของภาษา ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอด 30 ครั้งใน 1 เดือน ราคาการใช้งาน 159 บาท ต่อคนต่อเดือน ผ่านทางแอปพลิเคชั่น ที่ใช้งานได้ทั้งโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ รองรับทั้งระบบ iOS และ Android
    • VOXY มีเนื้อหาที่อัปเดทตลอดเวลา เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้และองค์กรนั้น ๆ การใช้เทคโนโลยี AI ควบคู่ไปด้วยเพื่อเป็นการคัดกรองเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียน
    • VOXY กล่าวว่า 96% มีการพัฒนาภาษาอังกฤษได้มากกว่าระดับพื้นฐาน ด้วยการเรียนออนไลน์ประมาณ 6-11 เดือน และยกระดับขั้นได้มากกว่า 2 ระดับ
  5. ทีม Codekit ได้รับรองชนะเลิศอันดับ 4 : 
    • Codekit คือ คลาสเรียนออนไลน์ ช่วยปูพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เช่น
      • การสร้างเว็บไซต์
      • การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
      • หรือแม้แต่พื้นฐานไปสู่เทคโนโลยีที่ยากขึ้น เช่น AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทั้งผู้ใหญ่ที่ไม่มีพื้นฐาน และเด็กในระดับมัธยมต้น
      • เกิดความสำเร็จจากการเรียนการสอนที่ผ่านมาแล้ว ด้วยระยะเวลา 3 เดือน (เรียน 2 เดือน พร้อมฝึกงาน 1 เดือน) โดยมีงานรองรับหลังจากจบการเรียนการสอนอีกด้วย

คุณกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

ส่วนอีก 3 ทีมสตาร์ทอัพ ด้านสาธารณสุข  (Heathl Tech) ได้แก่

  1. ทีม ARINCARE ได้รับรางวัลชนะเลิศ :
    • ARINCARE คือ Digital Platform เน้นไปที่ร้านขายยา และเภสัชกรทั่วประเทศเป็นหลัก เป็นตัวช่วยให้เภสัชกรทำงานได้ดีขึ้นด้วยการทำ Digital Transformation ช่วยให้จ่ายยาได้แม่นยำมากขึ้น
    • ยกระดับประสิทธิภาพของเภสัชกรชุมชนจากร้านขายยาในแบบ Analog มาเป็น Digital Healthcare ได้ดียิ่งขึ้น
    • ปัจจุบัน Arincare มีร้านขายยาและเภสัชกรในเครือข่ายมากกว่า 2,000 ร้านทั่วประเทศ สามารถให้บริการสาธารณสุขในชุมชนได้ดีขึ้น
    • และสามารถจ่ายยาให้กับผู้ป่วยได้มากกวาา 30,000 รายในช่วงปีที่ผ่านมา
    • พร้อมทำงานร่วมกับการให้บริการกับโรงพยาบาลชุมชน และหน่วยงานสาธารณะสุขชุมชน ในการบริหารคลังยาด้วย
  2. ทีม MeDisee ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 :
    • MeDisee เป็น Platform ด้านสุขภาพ มีระบบบริหารจัดการด้านสุขภาพที่รวบรวมคนไข้ , ชนิดของยา และโรงพยาบาลเข้าไว้ด้วยกัน
    • พร้อมระบบริหารจัดการสำหรับโรงพยาบาล คลินิก และแพทย์ ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับโรงพยาบาลได้
    • และมีระบบติดการรักษาของแพทย์ รวมทั้งรูปแบบการสื่อสารแบบเทเลเมดิซีน ช่วยเปิดโอกาสให้คนไข้นำผลการรักษาเข้ามาขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะได้เลย
  3. ทีม Remote-Care ได้รับรองชนะเลิศอันดับ 2 : 
    • Remote-Care เป็นระบบส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) ของเราทุกคน โดยผู้ใช้จะสามารถใช้อุปกรณ์ Wearable devices
    • เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ทั้ง Android และ iOS เพื่อวิเคราะห์การเกิดโรค NCDs (Non-Communicable Diseases) หรืออื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเลือดในสมองตีบ ที่เกิดจากการมีน้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์ที่กำหนด
    • มีรางวัลจูงใจ 3 ระดับ ได้แก่
      • Warm Up ต้องเดินให้ครบ 8,000 ก้าวต่อวัน ในระยะเวลา 20 วัน ต่อเดือน จะได้รับเงินคืน 200 บาท
      • Speed Up ต้องเดินให้ครบ 9,000 ก้าวต่อวัน ในระยะเวลา 20 วัน ต่อเดือน จะได้รับเงินคืน 300 บาท และ
      • สุดท้ายระดับ Level Up ซึ่งต้องเดิน 10,000 ก้าวต่อวัน ในระยะเวลา 20 วัน ต่อเดือน ก็จะได้รับเงินคืน 500 บาท
    • ทำงานพร้อมอุปกรณ์ที่ชื่อว่า OREBO นาฬิกาข้อมือเพื่อสุขภาพ ราคา 2,790 บาท

โฉมหน้าเหล่าสตาร์ทอัพ ทีม CarreVisa (แคเรียร์วีซ่า)