Donald Trump มักจะกล่าวโจมตี Apple เสมอในการปราศัยหาเสียงของเขา ซึ่งในขณะนี้ เขาก็ได้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกาแล้ว และ Tim Cook กับเหล่าผู้บริหารของ Apple ก็จะต้องเตรียมรับมือกับนโยบายของ Donald Trump ให้ได้

มาดูกันว่า 3 สิ่งที่จะกระทบต่อ Apple เมื่อ Donald Trump ได้เป็นประธานาธิบดีนั้น มีอะไรบ้าง

1. จ่ายภาษีคืนประเทศ

140611181635-apple-tax-europe-780x439

ภาษีคือปัญหาใหญ่สำหรับหลายๆ บริษัท รวมถึง Apple ด้วย

Apple เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านเหรียญ อีกทั้งยังมีหลักทรัพย์มากมายอยู่ในต่างประเทศ และจะต้องจ่ายภาษีจำนวนมหาศาลถึง 35% กลับคืนมายังสหรัฐอเมริกา

แต่นโยบายของ Donald Trump ที่มีความมุ่งหมายที่จะลดภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือนิติบุคคลจะต้องจ่ายกลับคืนมาประเทศ จาก 35% เหลือ 10% เพื่อเป็นการกระตุ้นให้หลายบริษัทยอมจ่ายภาษีรายได้กลับมายังประเทศให้มากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าภาษี 35% เป็นจำนวนเงินที่เยอะมากไปจนทำให้หลายบริษัทพยายามหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี

นั่นหมายความว่า Apple จะจ่ายภาษีกลับคืนไปยังประเทศเพียงแค่ 10% แทนที่จะเป็น 35%

cash-money

เป็นที่รู้กันดีว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีต่างก็บันทึกบัญชีรายรับออนไลน์ผ่านบริษัทในเครือที่อยู่ต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี 35% ของสหรัฐอเมริกามาโดยตลอด

ยกตัวอย่างเช่น Apple ได้ตั้งบริษัทในเครือที่ประเทศลักเซมเบิร์ก ชื่อ “ไอจูนส์ เอส.เอ.อาร์.แอล.” เพื่อบันทึกยอดขายแอป, เพลง และหนัง เพราะประเทศลักเซมเบิร์กเก็บภาษีจาก Apple และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ในอัตราที่ต่ำกว่า ส่วน Facebook ก็ได้บันทึกรายรับไว้ในประเทศไอร์แลนด์

ด้วยวิธีการดังกล่าวนี้ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีสามารถเลี่ยงภาษีและสร้างความได้เปรียบทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม

ก่อนหน้านี้ทางสหภาพยุโรปเพิ่งสั่งให้ Apple จ่ายภาษีย้อนหลังถึง 145,000 ล้านเหรียญ

2. ผลิตสินค้าภายในประเทศ

tim-cook-foxconn-3

หนึ่งในนโยบายอันโดดเด่นของ Donald Trump เกี่ยวกับ Apple ก็คือจะบังคับให้ Apple ผลิต iPhone ภายในประเทศสหรัฐอเมริกาแทนที่จะผลิตและประกอบในประเทศจีนเหมือนดังเช่นทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดี Barack Obama ก็เคยพูดคุยกับ Steve Jobs อดีตซีอีโอของ Apple ผู้ล่วงลับไปแล้ว เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้เมื่อปี 2011

เหตุผลที่ Apple ตัดสินใจผลิตและประกอบ iPhone ในประเทศจีนนั้นมีด้วยกันหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น

  • ปัญหาด้านโลจิสติกส์ เพราะผู้ผลิตชิ้นส่วน iPhone โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในเอเชีย
  • ขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านการผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา
  • ลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากการประกอบเครื่องในสหรัฐอเมริกาอาจต้องเพิ่มค่าใช้อีกกว่า 50 เหรียญ ลงไปในต้นทุนการผลิต iPhone

กล่าวคือ ในปัจจุบันได้มีการประเมินต้นทุนในการผลิต iPhone หนึ่งเครื่องนั้นอยู่ที่ 225 เหรียญ และจำหน่ายในราคา 649 เหรียญทั่วโลก ซึ่งถ้าหักค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น ค่าขนส่ง และค่าการตลาดไปแล้ว ก็ยังคงทำให้ Apple ได้กำไรจากการจำหน่าย iPhone มากพอสมควรอยู่ดี

แต่ถ้า Apple ย้ายมาผลิต iPhone ในสหรัฐอเมริกาแล้วล่ะก็ จะยิ่งเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มมากขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าจะไม่เสียค่าขนส่งจากประเทศจีนเข้ามายังสหรัฐอเมริกา และไม่มีภาษีนำเข้า แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ค่าเสื่อมโรงงาน ค่าขนส่งและภาษีในการส่งออกจากสหรัฐอเมริกาไปยังประเทศอื่นๆ ส่งผลให้ราคาจำหน่าย iPhone ต่อเครื่องสูงขึ้นไปอีก

3. การเข้าถึงข้อมูล

james-comey-fbi-director-1

James Comey ผู้อำนวยการ FBI

Donald Trump เคยขอให้มีการ “บอยคอต หรือ คว่ำบาตร” ผลิตภัณฑ์ของ Apple อันเนื่องมาจากการเข้ารหัส iPhone ที่กลายเป็นประเด็นร้อนระหว่าง Apple กับ FBI ที่ขอให้ Apple ช่วยเจาะระบบเพื่อเข้าไปดูข้อมูลภายใน iPhone ซึ่งเป็นของหนึ่งในผู้ก่อการร้ายที่ก่อเหตกราดยิง 14 ศพ ที่เมืองซานเบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย

“Apple ควรจะมอบรหัสความปลอดภัยของโทรศัพท์เครื่องนั้น” Donald Trump กล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2016 “ผมคิดว่าพวกคุณควรจะคว่ำบาตร Apple จนกว่าทางบริษัทจะยอมเผยรหัสความปลอดภัยออกมา”

ต่อมา Donald Trump ได้โพสต์ทวิตเตอร์ว่า “ผมใช้ทั้ง iPhone และ Samsung แต่หลังจากนี้ผมจะใช้แต่ Samsung จนกว่า Apple จะยอมเผยข้อมูล”

ถึงแม้ว่าตอนนี้ iPhone ดังกล่าวจะถูกเจาะรหัสไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ Apple ก็มิได้ถูกบังคับโดยทางกฏหมายให้ทำการเจาะรหัส iPhone ดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ Donald Trump ก็อาจต้องการให้ James Comey ผู้อำนวยการ FBI กลับมาต่อสู้กับ Apple ในกรณีการเข้าถึงข้อมูลภายในเครื่องอีกครั้ง

ข้อมูลอ้างอิง : businessinsider.com , nationtv.tv , บทความ ผ่ากลเกมภาษีเบื้องหลังอาณาจักร แอปเปิล ใน thaipublica.org , Facebook : Kanit Sataman และ manager.co.th