หลังจากที่ทาง Apollo lab (2001) และ Summer Will End ได้เปิดบ้านต้อนรับมีเดียในวงการดนตรี จัดเวิร์กชอปเล็ก ๆ เพื่อแนะนำเทคโลโลยีระบบเสียง Dolby Atmos เริ่มเข้ามามีบทบาทในเรื่องของดนตรีมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ซึ่งนอกเหนือจากงานเพลงประกอบภาพยนตร์และโปรดักชั่นขนาดใหญ่แล้ว Dolby Atmos ก็ยังขยายไปยังการฟังเพลงผ่านทาง Apple Music ที่ในตัวของแอพลิเคชั่นเองก็ได้พยายามให้ Music Producer หลายท่านสร้างงานเพลงและมิกซ์เสียงในระบบ Atmos และทำการอัปโหลดสตรีมมิ่งบน Apple Music เพื่อเป็นอีก 1 ช่องทางสำหรับคนฟังที่อยากเปิดประสบการณ์ในการฟังเพลงให้มีมิติทางด้านคุณภาพของเสียงอย่างเต็มรูปแบบ 

ดังนั้น Apollo Lab (2001) สตูดิโอเสียงระดับมืออาชีพที่เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบเสียง , มิกซ์เสียง รวมไปถึงงาน Mastering ในทุก Format ให้กับศิลปินทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยผลงานและประสบการณ์อันยาวนานทำให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในวงกว้าง และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกับการเติบโตของระบบ Spatial Audio หรือ Atmos Music โดยเป็น Commercial Studio แห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับ Certified จากทาง Dolby และ ทีม Summer Will End ที่มีศิลปินในค่ายอย่าง Chalun, INT และ อื่น ๆ ที่ได้แรงบันดาลใจจากดนตรีอิเล็กทรอนิก-พ๊อพ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การผลิตผลงานในรูปแบบ Spatial Audio แต่ทางทีมได้เล็งเห็นการมาของเทคโนโลยี AI ที่สามารถนำมาปรับใช้ในผลิตภัณฑ์รวมทั้งดนตรี จึงได้จัดงานนี้ขึ้น โดยในวันงานที่มีเดียต่าง ๆ โดยเฉพาะสายคนดนตรี มาทดสอบและลองฟังผลงานเพลงด้วยระบบเสียงในรูปแบบ Dolby Atmos ที่สตูดิโอ Apollo Lab (2001) 

ซึ่งนอกจากแต่ละคนจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการฟังเพลงแบบประสิทธิภาพสูงสุดแล้ว ในงานยังถูกแบ่งออกเป็นพาร์ตต่าง ๆ  โดยมี คุณอู่-ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์ Managing Director แห่งกันตนา, Co-Founder ของค่าย Summer will End และ สมาชิกวง Kidnappers มาให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของระบบ Dolby Atmos, คุณโอ๊ตแห่ง Summer Will End ที่มาพูดถึงภาพรวมงานดนตรีของค่าย ไปจนถึงการพัฒนาผลงานร่วมกับทีมฟ้าคะนอง (FahKanong) ที่จะนำเอาเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) มาใช้ในอุตสาหกรรมดนตรี โดยทีมฟ้าคะนอง ก็ได้มาบรรยายถึงแนวโน้มของการใช้ AR ในแพลตฟอร์มที่หลากหลายมากขึ้น แล้วยังสามารถให้คนฟังมีส่วนร่วมกับผลงานนั้นๆ อย่างเต็มรูปแบบทั้งภาพและเสียง ในงานมีการนำเสนอโปรเจ็กท์ที่ทางทีมฟ้าคะนองได้คิดค้นและพัฒนาควบคู่กับการใช้แอพพลิเคชั่นอย่าง ARtid ที่เชื่อมต่อ AR เข้าสู่สตรีมมิ่งแพล็ตฟอร์มต่าง ๆ อย่างง่ายดาย

และในช่วงสุดท้ายของงาน ทุกคนยังได้มีโอกาสทดสอบระบบ VR พร้อมอุปกรณ์ที่พาทุกคนไปชมคอนเสิร์ตรูปแบบ 360 องศาที่แปลกใหม่ และตอบโจทย์เทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตอันใกล้ รวมทั้งได้ทดลองฟังเพลงที่คุณภาพเสียงในระดับ Dolby Atmos ในห้องสตูดิโอ จากผลงานต่าง ๆ ของศิลปินจาก Summer Will End.

ติดตามข่าวสารได้ที่