ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอเมริกาและจีนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงหลังที่เศรษฐกิจของจีนนั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วไล่หลังอเมริกามาเรื่อย ๆ ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาสถานการณ์ยิ่งมีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้นไปอีก หลังจาก TikTok แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียชื่อดังภายใต้บริษัทแม่ ByteDance จากประเทศจีน ถูกโจมตีในสภาคองเกรสโดยฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดนเรียกร้องให้ขายหรือแบนแอปฯนี้ในอเมริกา

แม้ตอนนี้ TikTok จะได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้ใช้งานทั่วโลก แต่อเมริกามีความกังวลเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ของบริษัทสัญชาติจีนและศักยภาพในการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติก็เยอะด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่ารัฐสภาสองพรรคของอเมริกาก็เหมือนจะเห็นตรงกันว่า TikTok ควรถูกแบนในท้ายที่สุด

ถ้าการแบนเกิดขึ้นจริง ๆ แล้วล่ะก็ โซเชียลมีเดียอื่น ๆ อย่าง Instagram หรือ YouTube ก็สามารถดึงส่วนแบ่งค่าโฆษณาของ TikTok กลับมาและสร้างรายได้มหาศาลอีกครั้งหนึ่งด้วย

เกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ผ่านมา?

มูลค่าของ TikTok นั้นคาดการณ์ว่าอยู่ที่ราว ๆ 66,000 ล้านเหรียญ (2.3 ล้านล้านบาท) และมีผู้ใช้งานในอเมริกากว่า 150 ล้านคน เป็นบริษัทมีเดียที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก ปัญหาที่ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ โฟกัสคือเรื่องความเกี่ยวข้องของแอปฯตัวนี้กับประเทศจีน ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และการปกป้องเด็กจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม

หลังจากถูกสอบถามนานหลายชั่วโมง โซว จื่อ โจว (Chew Shou Zi) อดีตผู้บริหารฝ่ายการเงินของ ByteDance ก่อนจะเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอของ TikTok เขายืนยันอย่างหนักแน่นต่อฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ในวันที่ 22 มีนาคม 2023 ว่า TikTok ไม่เคยและจะไม่แบ่งปันข้อมูลผู้ใช้ของสหรัฐฯ ให้กับรัฐบาลจีน เขากล่าวว่า

“ผมขอพูดอย่างชัดเจนว่า ByteDance ไม่ใช่ตัวแทนของจีนหรือประเทศอื่นใด” และหลังจากนั้นก็ตอบโต้กลับไปด้วยว่า “ด้วยความเคารพนะครับ บริษัทอเมริกันก็ไม่ได้มีประวัติที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับข้อมูลเลย… ดูอย่าง Facebook และ Cambridge Analytica ก็ได้”

แล้ว TikTok จะถูกแบนในอเมริกาไหม?

ปัญหาของเรื่องนี้ก็คือว่าไอเดียเรื่องการแบน TikTok นั้นดูเหมือนจะถูกตัดสินก่อนแล้วตั้งแต่ก่อนที่โจวจะมีโอกาสได้พูดด้วยซ้ำ ฝ่ายบริหารของรัฐบาลไบเดนต้องการให้ TikTok กลายเป็นบริษัทภายใต้เจ้าของจากสหรัฐอเมริกาหรือถูกขายไปในที่สุด

โดยเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นประเด็นอีกว่าถ้าถูกบังคับให้ขายจริง ๆ ต่อไปความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวจีน (และนักลงทุนชาติอื่น ๆ) ที่จะลงทุนในอเมริกาก็จะสั่นคลอนด้วย เพราะดูเหมือนว่าสามารถสร้างกฎอะไรขึ้นมาบังคับใครให้ทำอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ

ในการแถลงครั้งนั้น โจวพยายามชี้แจงเรื่องโครงการ Project Texas ของ TikTok ที่พยายามลดความกังวลของหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ กล่าวว่า TikTok จะลบข้อมูลผู้ใช้ดั้งเดิมของสหรัฐฯ ทั้งหมดออกจากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทภายในสิ้นปีนี้

นอกจากนั้นแล้วยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะลงทุน 1,500 ล้านเหรียญเพื่อสร้าง ‘ไฟร์วอลล์’ ในการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลของสหรัฐฯ และจีน บริษัท Oracle ผู้ให้บริการคลาวด์ของสหรัฐฯ จะเป็นผู้เก็บข้อมูลผู้ใช้ของสหรัฐฯ ทั้งหมดในอนาคต ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงซอร์สโค้ดของ TikTok และกลายเป็นผู้ตรวจสอบบุคคลที่สามด้วย

แต่ไม่ว่าจะพยายามโน้มน้าวมากขนาดไหนก็ดูจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่ นักวิเคราะห์ของ Wedbush (บริษัทการลงทุนของเอกชนที่ตั้งอยู่ในลอสแองเจลิส) คนหนึ่งเขียนเกี่ยวกับการแถลงวันนั้นว่าเป็น ‘ช่วงเวลาแห่งหายนะ’ สำหรับ TikTok และคาดการณ์การขายให้กับบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐภายในไม่กี่เดือน ในช่วงนั้นหุ้นของบริษัท Snap เพิ่มขึ้น 4.6% Meta เพิ่มขึ้น 3.7% และ Alphabet ซึ่งเป็นเจ้าของ YouTube เพิ่มขึ้นเป็น 2.4% เลยทีเดียว

จามาลล์ โบว์แมน (Jamaal Bowman) นักการเมืองชาวอเมริกันพร้อมผู้สนับสนุนติ๊กตอกและครีเอเตอร์หลายรายมารวมตัวกันประท้วงไม่ให้สภาคองเกรสแบนติ๊กตอก

TikTok ซื้อขายในตลาดหุ้นรึยัง?

คำตอบก็คือ “ยัง” เหตุผลก็เพราะเรื่องพัวพันทางกฎหมายพวกนี้แหละที่ยังไม่สามารถทำให้ TikTok เข้าไปเทรดในตลาดหุ้นได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังถือว่าเป็นบริษัทเอกชน เกือบเข้าตลาดครั้งหนึ่งในปี 2020 ก่อนฝ่ายบริหารของรัฐบาลทรัมป์ในตอนนั้นพยายามบังคับให้ขายหุ้นส่วนให้กับบริษัทในอเมริกา

สุดท้ายโครงการก็พับไป ByteDance และ TikTok สามารถโต้แย้งการแบนของรัฐบาลกลางที่เสนอในศาลได้สำเร็จ แต่เรื่องก็กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหลังในช่วงไม่นานที่ผ่านมา

การเสนอขายหุ้นของ TikTok จะแยกออกจากการเสนอขายหุ้นของ ByteDance ซึ่งมีข่าวลือว่าจะเข้าตลาดของฮ่องกงหรือเซี่ยงไฮ้ โดย ByteDance ซึ่งเป็นเจ้าของ TikTok เวอร์ชันภาษาจีนที่ชื่อว่า Douyin นั้นมีมูลค่าอยู่ที่ราว 220,000 ล้านเหรียญ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่รอการเข้าตลาดหุ้นของทั้ง TikTok หรือ ByteDance ก็ต้องรอไปก่อน ยังไม่มีแผนการหรือการประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเข้าตลาดเมื่อไหร่ เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและจีนยังคงตึงเครียดแบบนี้ก็คงยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน

ถ้าเกิดว่าถูกแบนจะเกิดอะไรขึ้น?

อย่างแรกเลยคือคู่แข่งของ TikTok ในอเมริกาคงหายใจโล่งท้องได้มากขึ้น อาจจะรวมตัวกันจัดปาร์ตี้ฉลองก็ได้ เพราะส่วนแบ่งของทั้งเงินโฆษณาและผู้ใช้งานก็จะถูกแบ่งไปยังแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่าง YouTube, Instagram และ Snap

ผู้เชี่ยวชาญมากมายก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ จากข้อมูลของบริษัทวิจัย Bernstein บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีแพลตฟอร์มวิดีโอแบบสั้นจะได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการแบน TikTok ซึ่งก็คือ Meta, YouTube และ Snap

ส่วนที่จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดน่าจะเป็น Meta ซึ่งทั้งผู้ใช้งานและรายได้กลับคืนมาอย่างแน่นอน ฟีเจอร์ Instagram Reels จะเติบโตขึ้นอย่างทวีคูณ โดยตอนนี้การรับชม Reels ใน Instagram และ Facebook เพิ่มขึ้นสองเท่าเมื่อปีที่แล้ว นักวิเคราะห์ของ Bernstein คาดการณ์ว่า

“ผู้ใช้งานก็จะไปที่ที่พวกเขาอยู่อยู่แล้ว ซึ่งก็น่าจะเป็น Reels ของ Instagram ที่มีผู้ใช้ดูวิดีโอสั้นเยอะที่สุดนอกเหนือจาก TikTok อยู่แล้ว และ Spotlight ของ Snap ซึ่งกลุ่มผู้ใช้งานทับซ้อนกันมากที่สุดกับ TikTok สองแห่งนี้น่าจะได้ประโยชน์สูงสุด”

ส่วนในบ้านเราการแบน TikTok ในอเมริกานั้นจะไม่มีผลอะไร นอกเสียจากว่ากลุ่มผู้ติดตามของเราอยู่ที่อเมริกา ซึ่งจะทำให้คนกลุ่มนี้หายไปเลย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การแบนแอปฯ ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้งานจะหาวิธีหลบหลีกไม่ได้ สุดท้ายแล้วการแบนอาจจะเป็นการเพิ่มความต้องการใช้งานในประเทศไปอีกก็ได้เช่นกัน

ท้ายที่สุด

การขึ้นกล่าวต่อหน้าสภาคองเกรสโดยฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดนเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับ TikTok โดยนักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างมองว่าการเหตุการณ์นี้คือชัยชนะของบริษัทโซเชียลมีเดียในสหรัฐฯ เช่น Meta และ Alphabet มากกว่าความพ่ายแพ้ของ TikTok

ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีสามทางที่จะเกิดขึ้น:

  1. TikTok สามารถโน้มน้าวทุกคนได้ด้วยข้อมูลและความโปร่งใสของ Project Texas
  2. ถูกบังคับให้ขายให้กับบริษัทในอเมริกา
  3. แบนแอปทั่วประเทศซึ่งอาจจุดชนวนความไม่พอใจของจีนและชาวอเมริกันหลายล้านคนด้วย

การเดินหมากครั้งนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่ว่าจีนหรือสหรัฐฯ ต่างก็อยากจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง และก็ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายก็ไม่น่าจะยอมกันง่าย ๆ ด้วย

ที่มา:

Statistica SCMP
Rest of the World
Washington Post
Popular Science

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส