การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในสมัยที่สองเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในนโยบายด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเขาได้เพิกถอนคำสั่งบริหารของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) ซึ่งมุ่งเน้นการควบคุมความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค แรงงาน และความมั่นคงของชาติ

คำสั่งบริหารของไบเดน ซึ่งลงนามในเดือนตุลาคม 2566 มีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรการความปลอดภัยและความโปร่งใสที่เข้มงวดสำหรับผู้พัฒนา AI โดยกำหนดให้บริษัท AI ขนาดใหญ่ เช่น Google และ OpenAI ต้องแบ่งปันผลการทดสอบความปลอดภัยและข้อมูลสำคัญกับรัฐบาล นอกจากนี้ คำสั่งนี้ยังได้เริ่มต้นการจัดตั้ง “สถาบันความปลอดภัย AI สหรัฐฯ” ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีหน้าที่พัฒนาหลักเกณฑ์อาสาสมัครสำหรับการใช้เทคโนโลยี AI

ผลกระทบจากการกระทำของทรัมป์

การเพิกถอนคำสั่งนี้ของทรัมป์ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของนโยบาย AI ของรัฐบาลกลางในช่วงเวลาที่การแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสหภาพยุโรปได้มีการออกกฎหมายควบคุม AI อย่างเข้มงวดผ่าน “พระราชบัญญัติ AI” ซึ่งรวมถึงการควบคุมที่เข้มงวดสำหรับแอปพลิเคชัน AI ที่มีความเสี่ยงสูง

เมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่งอีกครั้ง คาดว่าเขาจะใช้แนวทางที่ผ่อนคลายมากขึ้นสำหรับการควบคุม AI ซึ่งอาจรวมถึงการยกเลิกหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสถาบันความปลอดภัยด้าน AI แห่งสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการพัฒนาเทคโนโลยี โดยทรัมป์ได้แต่งตั้งเดวิด แซกส์ (David Sacks) อดีตผู้บริหาร PayPal ให้ดูแลเรื่องนโยบาย AI และคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งอาจช่วยให้เกิดแนวทางใหม่ในด้านนี้

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า นโยบาย AI ในยุคทรัมป์ 2.0 จะเน้นไปที่การสนับสนุนภาคเอกชนและลดข้อกำหนดด้านกฎระเบียบเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเทคโนโลยี แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการขาดการควบคุม แต่ทรัมป์มุ่งหวังที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อลอนดรา เนลสัน (Alondra Nelson) อดีตผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของทำเนียบขาว กล่าวว่า “การลดข้อกำหนดด้านกฎระเบียบอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและสิทธิมนุษยชน”

ในขณะเดียวกัน แฮมิด เอ็กเบีย (Hamid Ekbia) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Syracuse ได้เตือนว่า การควบคุมที่เข้มงวดเกินไปอาจส่งผลเสียต่อการกำกับดูแล AI ในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ เขากล่าวว่า “ผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองอาจทำให้การใช้ AI หันเหไปในทิศทางที่เป็นอันตรายมากขึ้น เช่น การใช้ในการควบคุมหรือบิดเบือนข้อมูล”

แนวโน้มในอนาคต

อนาคตของนโยบาย AI ภายใต้ทรัมป์ยังไม่แน่นอน แต่มีแนวโน้มว่าจะเน้นไปที่การลดข้อกำหนดด้านกฎระเบียบเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม โดยทรัมป์ได้ประกาศว่า ภาคเอกชนจะลงทุนสูงถึง 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการสร้างคลัสเตอร์ AI ซึ่งจะช่วยสร้างงานมากกว่า 100,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าทรัมป์จะสนับสนุนโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่มีเป้าหมายในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและส่งเสริมคุณค่าของชาวอเมริกัน

สรุป

การยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดนเกี่ยวกับ AI โดยทรัมป์ เป็นการแสดงถึงความแตกต่างในแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีของทั้งสองฝ่าย ซึ่งการยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน อาจส่งผลให้การพัฒนา AI ในสหรัฐฯ มีความเสรีมากขึ้น แต่ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการใช้งาน AI ที่ไม่เหมาะสม โดยรวมแล้วการเปลี่ยนแปลงในนโยบาย AI ของทรัมป์สะท้อนถึงแนวทางใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่เสรีภาพในการแสดงออกและลดข้อจำกัดสำหรับผู้ประกอบการ ในขณะที่โลกกำลังเฝ้าดูว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่ออนาคตของ AI และเทคโนโลยีในอเมริกาอย่างไร

เนื้อหาล่าสุด

Nintendo eShop โซนญี่ปุ่น ประกาศหยุดรับการจ่ายเงินจากต่างประเทศ คาดเพราะค่าเงินเยนอ่อน

มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าการซื้อเกมบนร้านค้าออนไลน์ Nintendo eShop และ My Nintendo Store โซนญี่ปุ่น จะไม่สามารถใช้บัตรเครดิตที่ออกในต่างประเทศ

เปิดตัว ROG Phone 9 Series เริ่มต้น 29,990 บาท พร้อมโปรฯ​ Early Bird กับของแถมเพียบ

หลังจากที่เปิดตัวในต่างประเทศได้สักพักกับ ROG Phone 9 Series มือถือที่ว่ากันว่าแรงที่สุด ณ​ เวลานี้ พร้อมฟีเจอร์ AI แบบจัดเต็ม ในที่สุดก็ถูกนำมาเปิดตัวที่ไทยในงาน Thailand Mobile ...อ่านต่อ

Play video

เปิดตำนาน Samsung จากร้านขายปลาแห้ง สู่ยอดบิ๊กเทคฯ โลก | Bookmark

OpenAI สงสัยว่ามีการใช้ API และข้อมูลจากโมเดลของบริษัทฝึกโมเดลของ DeepSeek

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน OpenAI และ Microsoft กำลังตรวจสอบข้อสงสัยที่ว่า DeepSeek บริษัทไอเอของจีนอาจนำ API และดึงข้อมูลจากโมเดลเอไอของ OpenAI ไปใช้กับโมเดลที่เป็นคู่แข่ง ...อ่านต่อ

Ubisoft ประกาศปลดพนักงาน 185 คน ที่ทำงานในสาขายุโรป

Ubisoft ต้องทำการแก้ปัญหาก่อน และวิธีที่ค่ายเกมส่วนใหญ่เลือกใช้กันคือการปลดทีมงานออก โดยมีข้อมูลว่า Ubisoft ได้ปลดพนักงานจำนวน 185 คน