[รีวิว] Dying Light 2: Stay Human
Our score
7.1

[รีวิว] Dying Light 2: Stay Human

จุดเด่น

  1. เกมเพลย์ที่ยังคงความสนุกจากภาคแรกเอาไว้ได้ดี
  2. เมือง Villedor ที่ถูกออกแบบให้วิ่งเล่นได้อย่างไม่มีวันเบื่อ
  3. มีจุดสำรวจที่น่าสนใจหลาย ๆ แห่ง
  4. งานภาพกราฟิกสุดตระการตา

จุดสังเกต

  1. ตัวเกมยังมีบั๊กเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะโหมดออนไลน์ ถึงแม้จะอัปเดตแพตช์ Day One ไปแล้วก็ตาม
  2. ตัวเลือกในการตัดสินใจไม่ส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเนื้อเรื่องมากนัก
  3. เนื้อเรื่องไม่มีอะไรที่น่าจดจำเป็นพิเศษ
  • Story

    6.5

  • Gameplay

    8.0

  • Presentation

    8.0

  • Performance

    6.0

หลังจากที่ถูกประกาศเลื่อนยาวจนได้วางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 2022 นี้ Dying Light 2 ก็ได้เปิดให้แฟน ๆ เกมจากภาคแรกได้ลิ้มรสภาคต่อของเกมนี้กันเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งตัวเกมก็สามารถทำยอดผู้เล่นตอนเปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจเลยทีเดียว เพราะมียอดผู้เล่นมากกว่าตัวเกมภาคแรกได้ภายในไม่กี่วันที่ตัวเกมวางจำหน่ายบนร้านค้าทุกแพลตฟอร์ม

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ตัวเกมจะถูกวางจำหน่าย ก็ได้รับคำวิจารณ์จากสื่อเกมอย่าง IGN ว่าตัวเกมมีบั๊กที่ส่งผลทำให้เกมเพลย์มีปัญหาเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ส่งผลทำให้ทางทีมงาน Techland ต้องออกประกาศว่า ตัวเกมจะได้รับการอัปเดตด้วยแพตช์ Day One ที่จะแก้ไขบั๊กต่าง ๆ มากกว่า 1,000 จุด

ทางเราก็ได้ลองเล่นตัวเกมเป็นเวลา 2 อาทิตย์ เริ่มตั้งแต่ช่วงวันแรกที่วางจำหน่าย ไปจนถึงหลังตัวเกมได้รับแพตช์แก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสำหรับใครที่เข้ามาอ่านรีวิวนี้ ก็คงอยากจะรู้กันอยู่แล้วว่าควรจะซื้อมาเล่นในตอนนี้เลยหรือไม่ ทางเราก็ได้สรุปประเด็นนี้เอาไว้ให้แล้วว่าผู้เล่น Dying Light 2 จะได้พบกับอะไรบ้างในเกมนี้ครับ

*ก่อนอื่น ทางเราต้องขอขอบคุณทีมงาน Techland สำหรับโค้ดรีวิวเกมนี้เป็นอย่างสูงครับผม*

Story

เนื้อเรื่องของตัวเกมภาคนี้จะมี Timeline เริ่มหลังจากภาคแรก 15 ปี ซึ่งจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครเอกของเราที่ชื่อว่า Aiden เป็นผู้ที่ถูกใช้เป็นหนูทดลองในห้องแล็บ GRE ตั้งแต่ยังเด็ก จนตอนนี้เขาต้องออกตามหาน้องสาวที่หายไป 10 กว่าปี ในเมืองที่เป็นความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติหรือที่รู้จักกันในนาม Villedor ให้เจอ

โดยระหว่างที่ดำเนินเรื่อง ผู้เล่นจะมีส่วนในตัดสินใจที่ส่งผลต่อการดำเนินเนื้อเรื่องของเกมเช่นกัน ซึ่งหลังจากที่ผมได้เล่นจนจบ และลองเส้นการดำเนินเรื่องด้วยการตัดสินใจต่าง ๆ เพิ่มเติม บอกได้ว่าน่าผิดหวังพอสมควร เพราะการตัดสินใจของเรานั้นไม่ได้ส่งผลอะไรมากต่อโครงสร้างหลักของเนื้อเรื่อง นอกจากจะมีฉากที่ไม่เหมือนกันเพิ่มเข้ามา หรือ ส่งผลทำให้บางตัวละครตายแต่การตายของพวกเขาก็ไม่ได้มีความสำคัญต่อโครงสร้างของเนื้อเรื่องเลย

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเนื้อเรื่องโดยรวมทางทีมงานก็สามารถเขียนออกมาให้ดึงความสนใจของผู้เล่นให้อยากเล่นต่อไปได้เรื่อย ๆ จนจบได้(ซึ่งก็ต้องขอบคุณในส่วนของเกมเพลย์ที่ช่วยแบกเป็นส่วนใหญ่ด้วย) นอกจากนั้นแล้ว บทพูดของตัวละครต่าง ๆ ที่ตลกขบขันก็เป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้เล่นรู้สึกเพลินระหว่างที่ชม Cutscene ต่าง ๆ เช่นกัน แต่ก็มีส่วนที่น่าเสียดายเพราะเนื้อเรื่องของเกมนี้ไม่ค่อยมีอะไรที่น่าจดจำเป็นพิเศษเท่าไหร่นัก

Gameplay

เกมเพลย์โดยหลัก ๆ ของภาคนี้ยังคงความเป็นเกมเอาตัวรอดในโลกซอมบี้ด้วยการวิ่งปาร์กัวร์ในเมืองที่กว้างใหญ่เหมือนกับภาคแรกและยังสามารถเล่น CO-OP กับเพื่อนอีก 3 คนได้เหมือนเดิม และแน่นอนว่าจะต้องมีองค์ประกอบเกมเพลย์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาเพื่อให้เหนือกว่าภาคแรกอีกเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามานั้นได้แก่ เครื่องร่อน (Paraglider) ที่ทำให้ผู้เล่นสามารถออกสำรวจบริเวณต่าง ๆ ด้วยการบินเหินเวหา, ระบบการตัดสินใจในการดำเนินเนื้อเรื่อง และ ระบบเลือกผู้ครอบครองสิ่งก่อสร้างให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของชาวเมือง Villedor ที่ผู้เล่นจะได้รับรางวัลที่แตกต่างกันไป

ระบบการตัดสินใจในการดำเนินเรื่องของเกมนี้ จากที่ได้กล่าวไปข้างต้น บอกได้ว่าน่าผิดหวังพอสมควร เพราะจากที่เล่นมาการตัดสินใจของเรานั้นไม่ได้ส่งผลต่อเนื้อเรื่องมากเลย แค่มีฉากที่เพิ่มมาหรือเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย หรือ ส่งผลทำให้ตัวละครตายและการตายของพวกเขากลับไม่มีผลอะไรมากกับโครงหลักของเนื้อเรื่องแม้แต่นิดเดียวครับ

นอกจากเกมเพลย์ใหม่ ๆ แล้ว องค์ประกอบของระบบ Combat และสกิลการวิ่งออกสำรวจต่าง ๆ จากภาคแรกก็ถูกนำมาใช้และมีการปรับเปลี่ยนให้สมดุลในภาคนี้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น Grapping Hook ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าในภาคแรก, สกิลต่าง ๆ ที่มาจากภาคแรกถูกปรับให้ไม่โกงเกินไป และเรื่องของระบบ Stamina ที่ต้องใช้การปีนป่ายมีอย่างจำกัดครับ

Presentation

ในเรื่องงานภาพกราฟิกของเกมนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียวโดยเฉพาะเมือง Villedor ที่นอกจากจะมีการออกแบบที่สวยตระการตาแล้ว ก็ยังเป็นสนามวิ่งเล่นที่สนุกมาก ๆ เลยก็ว่าได้เช่นกัน นอกจากเรื่องการออกแบบแล้ว ตัวเมืองก็ยังมีขนาดที่กว้างขวางมากกว่าภาคแรก และยังมีสิ่งที่น่าสนใจ(พร้อมกับไอเทมปริศนาและ Easter Egg ที่คุ้นเคย) ให้ผู้เล่นได้สำรวจเป็นจำนวนมากอีกด้วย

ในส่วนของตัวละคร ก็มีจุดเด่นในเรื่องของแอนิเมชั่นแสดงสีหน้าและท่าทางในขณะที่กำลังคุยกับเรา อย่างไรก็ตามการแสดงสีหน้าค่อนข้างจะดูขัดใจในบางช่วง เพราะบางครั้งพวกเขาจะหันหน้ามองไปทางอื่นในขณะที่คุยกับเรา และในส่วนของความหลากหลายของการออกแบบตัวละครในเกมนี้ รูปลักษณ์ภายนอกและประวัติของพวกเขาดูมีความหลากหลายมาก เพราะจากที่เล่นมานอกจากคุณจะได้เจอกับเหล่าผู้รอดชีวิต, หน่วย Peace Keeper และเหล่าโจรข้างถนนแล้ว คุณจะได้เจอกับตัวละครที่มาพร้อมกับเนื้อเรื่องฮา ๆ หรือน่าเศร้าระหว่างดำเนินเรื่องอีกเช่นกัน

โดยรวมแล้ว ในส่วนของการนำเสนอของ Dying Light 2 คงต้องบอกว่าส่วนที่เยี่ยมที่สุดของเกมนี้คือเมือง Villedor ครับ เพราะเป็นเมืองที่กว้างใหญ่ที่เปิดให้ผู้เล่นสามารถวิ่งปาร์กัวร์หรือบินออกสำรวจได้หลายชั่วโมงได้อย่างไม่เบื่อเลย ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ อย่างเสียงเอฟเฟกต์, เพลงประกอบ และตัวละคร ถึงพวกเขาจะดูมีความหลากหลายก็ตาม แต่เรื่องราวของพวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าจดจำเป็นพิเศษมากนัก เพราะเรื่องราวของพวกเขามีความคล้ายกับตัวละครผู้รอดชีวิตในเกมซอมบี้อื่น ๆ เช่นกันครับ

Performance

แน่นอนว่าหลังจากที่ตัวเกมถูกรีวิวโดยสื่อเกมเจ้าใหญ่หลายแห่ง ก็ได้รับคำวิจารณ์อย่างหนักว่าตัวเกมนั้นมีบั๊กเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากที่ผมได้ลองเล่นเองตั้งแต่วันแรกที่ตัวเกมวางจำหน่ายก็พบว่าตัวเกมนั้นมีบั๊กเยอะจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของแอนิเมชันการเคลื่อนที่ของ NPC, เฟรมกระตุก, เสียงไม่ทันคำพูดของ NPC, บั๊กที่ทำให้ดำเนินภารกิจของเกมต่อไม่ได้ และบั๊กในส่วนของโหมดออนไลน์ต่าง ๆ

โชคดีที่ทางทีมงานได้พยายามอัปเดตตัวเกมด้วยแพตช์ใหม่ออกมาอยู่เรื่อย ๆ จนทำให้บั๊กต่าง ๆ ถูกลดลงไปเยอะแล้วในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน จากที่ผมเล่นออนไลน์ก็ยังพบบั๊กที่ส่งผลต่อการเล่นเกมอยู่ อย่างเช่นบั๊กที่เพื่อนผมกดเข้าไปที่ร้านค้า Craftmaster แล้วทำให้ตัวเกม Crash ถึงแม้จะเปิดเกมใหม่แล้วก็ตาม ตัวเกมก็ยัง Crash อยู่ทุกครั้งที่เขากดเข้าไป

โดยรวมแล้ว หากเล่นโหมด Single Player ในตอนนี้ ไม่น่าจะพบปัญหามากเท่ากับช่วง Day One แต่หากต้องการจะเล่นออนไลน์กับเพื่อนจริง ๆ ก็ต้องทำใจเจอบั๊กที่ทำให้หนักใจในบางช่วงไปก่อนครับ

Verdict

Dying Light 2 ก็ยังถือว่าเป็นเกมภาคต่อที่ทำออกมาได้สนุกพอสมควร แต่ก็ยังไม่สามารถไปถึงขั้นที่แฟนเกมหลาย ๆ คนคาดหวังเอาไว้ตั้งแต่ตอนประกาศ อย่างว่าล่ะครับ ยิ่งคาดหวังสูงก็ยิ่งผิดหวังได้ง่าย ถึงแม้ตัวเกมจะมีองค์ประกอบบางจุดที่สู้ภาคแรกไม่ได้ก็ตาม แต่ตัวเกมก็มีหลายจุดที่ทำออกมาได้ดีกว่าภาคแรกเช่นกัน ซึ่งโดยรวมแล้ว ถือว่าโอเคที่ตัวเกมสามารถดึงความสนใจให้เล่นจนจบได้โดยไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่นิดเดียว

ด้วยความที่ตัวเกมมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,899 บาท หากสงสัยสัยว่าคุ้มหรือไม่ที่จะซื้อตอนนี้? ก็บอกได้ว่าควรรอซื้อตอนตัวเกมเข้าร่วมโปรลดราคาจะดีกว่า เพราะในขณะนี้ตัวเกมยังอยู่ในช่วงอัปเดตแพตช์แก้ไขปัญหาบั๊กต่าง ๆ อยู่ (โดยเฉพาะโหมดออนไลน์) ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีหากคุณไม่ได้ต้องการที่จะรีบเล่นในตอนนี้

ทั้งนี้ Dying Light 2: Stay Human วางจำหน่ายแล้วบน PS4, PS5, Xbox One, Xbox Series และ PC บน Steam และ Epic Store แล้ววันนี้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส