[รีวิวเกม] The Evil Within 2: ฝันร้ายไม่เคยจบ  สยองต่อเนื่องกับดีไซน์สุดเจ๋ง
Our score
8.4

The Evil Within 2

จุดเด่น

  1. เนื้อเรื่องสานต่อจากภาคเดิม เก็บปริศนาเก่าที่ทิ้งไว้ดี ดราม่าเยี่ยม
  2. มิชชั่นหลัก มิชชั่นเสริมทำได้ดีแม้มิชชั่นเสริมจะน้อยไปหน่อย
  3. ปริศนาและความยากของมอนสเตอร์มีทั้งยากง่าย เกมเพลย์มีความหลากหลายแล้วแต่สไตล์การเล่น
  4. แก้ไขสิ่งที่บกพร่องจากภาคแรกได้ดี ทั้งกราฟฟิก เกมเพลย์ ดีไซน์และเนื้อเรื่อง

จุดสังเกต

  1. กราฟิกดีขึ้นจากภาคแรก แต่รายละเอียดเท็กเจอร์ยังไม่ดีมากนัก
  2. มีบั๊กเล็กน้อยแต่ไม่กระทบกับการเล่น
  3. ถ้าไม่เคยเล่นภาคแรกมาจะงงพอสมควร
  • กราฟิก

    7.5

  • เกมเพลย์

    8.5

  • เนื้อเรื่อง

    9.0

  • ความคุ้มค่า

    8.5

  • ภาพรวม

    8.5

The Evil Within 2 เป็นเกมภาคต่อจากปี 2014 ซึ่งสร้างชื่อจากการกลับมาทำเกมแนวสยองของ มิคามิ ชินจิ ผู้ให้กำเนิดเกมซอมบี้ขึ้นหิ้งอย่าง Biohazard หรือ Resident Evil ภายหลังถูกอัปเปหิจาก Capcom แล้วหันมาซบ Bethesda Softworks ที่มีเกมสร้างชื่ออย่างตระกูล Fallout และ The Elder Scrolls เป็นต้น ซึ่งมิคามิก็ใส่ไอเดียสยอง ๆ ที่ไม่ได้ใช้ใน Resident Evil ผสมกับแนวเกมเพลย์ที่ทุกคนคุ้นดี มาสร้างเกมแนวเอาตัวรอด/สยองขวัญสั่นประสาทได้อย่างดี

แม้ภาคแรกจะไม่ออกมาเปรี้ยงปร้างสมการการรอคอยของแฟน ๆ ด้วยปัญหาหลายอย่างซึ่งส่วนใหญ่คือกราฟิกที่ไม่ถึงระดับเน็กซ์เจน ภาพที่ทำสัดส่วนแบบภาพยนตร์จนมีคาดดำปิดบนล่างตลอดการเล่น เป็นหลักนั่นเอง ส่วนด้านเนื้อหาในภาคแรกนั้นใครที่ตามมาเล่นเพราะเกมอย่าง Resident Evil นั้น น่าจะปวดกบาลพอควร เพราะว่ากันตามเนื้อผ้าเกมมันออกจะไปทางจิตวิทยา + มิติหลอนกับโลกจริง คล้าย ๆ เกมอย่าง Silent Hill เสียมากกว่า ส่วนด้านเกมเพลย์ก็นำมาจาก Resident Evil ผสมกับ Outlast ทำให้มีความหลากหลายในการเล่นขึ้นไม่ได้เน้นลุยยิงอย่าง Resident Evil ในภาค 4 5 6 แม้บรรยากาศบางฉากจะชวนให้นึกถึง Resident Evil 4 อยู่ไม่น้อยก็ตาม

ซึ่งการกลับมาในภาค 2 นี้เหมือนทีมงานจะปรับปรุงจากบทเรียนเดิมได้ดีทีเดียว

เนื้อเรื่องของ The Evil Within 2

ว่าด้วยเหตุการณ์ต่อเนื่องหลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในโรงพยาบาลบีคอนของภาคแรก ผ่านไปได้ 3 ปี เซบาสเตียน คาสเตลาโน่ พระเอกของเราซึ่งตอนนี้ออกจากการเป็นตำรวจสายสืบเรียบร้อยด้วยปัญหาทางจิตจากความเครียดทั้งคดีเมื่อ 3 ปีก่อน และการสูญเสีย ลิลลี ลูกสาวไปในเหตุเพลิงไหม้ที่เขาโทษตัวเองเป็นสาเหตุ ด้านภรรยาของเขา ไมรา ก็ทนรับความจริงไม่ได้จนทิ้งเขาไป วันหนึ่งขณะที่เซบาสเตียนฟื้นจากเมาค้างและฝันร้ายที่เสียลูกสาวไปเขาก็ได้พบใบหน้าคุ้นเคย นั่นก็คือ จูลี คิดแมน หนึ่งในสมาชิกกลุ่มโมเบียสที่อยู่เบื้องหลังคดีโรงพยาบาลบีคอนซึ่งแฝงตัวมาเป็นสายสืบฝึกหัดในภาคแรก เธอมาบอกความจริงกับเขาว่า ลิลลี ลูกสาวของเขายังมีชีวิตอยู่ แท้จริงเธอถูกช่วยไว้โดยโมเบียสเพื่อนำไปเป็นแก่นกลางของเครื่องเชื่อมสมองนาม สเต็ม ตัวใหม่ที่พัฒนามาจากที่เราเจอในท้ายภาคแรก แต่ตอนนี้ลิลลีได้หายไปจากกลุ่มข้อมูล ทำให้โลกภายในสเต็มเกิดความไม่เสถียรหากปล่อยทิ้งไว้ทุกคนในสเต็มรวมถึง ลิลลี จะตายในไม่ช้า

เซบาสเตียนแม้ไม่ไว้ใจโมเบียสนักแต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะต้องการช่วยลูกสาวอีกครั้ง หลังจากคราวก่อนเขาช่วยเธอช้าไป เขาจึงยินยอมเข้าสู่โลกของสเต็ม ซึ่งคราวนี้ถูกจำลองเป็นเมืองแสนสุขนามว่า ยูเนี่ยน เขาต้องตามหาสมาชิกทีมกู้สถานการณ์ทั้ง 5 คนของโมเบียสที่ถูกส่งเข้ามาก่อนแล้วและหายตัวไป รวมถึงต้องตามหาร่องรอยของลิลลี รวมถึงเขาจะค่อย ๆ รับรู้ความจริงของเรื่องราวทั้งหมดมากขึ้นว่า เขายังคงเป็นบ้าอยู่หรือทั้งหมดเกิดขึ้นจริง โมเบียสคืออะไร สเต็มมีไว้ทำไม ชายปริศนาที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือใคร เป้าหมายของคิดแมนคืออะไรแน่ รวมถึงการพบเจอคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจออีกครั้งด้วย

เรียกว่าเก็บรายละเอียดจากภาคหลักและเสริมใน The Evil Within มาสานต่อได้เข้มข้นมาก ๆ มีจุดหักมุมหลายครั้ง เมื่อความจริงค่อย ๆ เผยออกมาเรื่อย ๆ จนเห็นภาพรวมว่าไม่มีเรื่องบังเอิญและทุกอย่างถูกร้อยเรียงไว้แต่ต้นด้วยเจตนาของใครบางคนอยู่แล้ว รวมถึงดราม่าของตัวละครทั้งตัวหลักและตัวสมทบที่ทำเอาหดหู่หลายรอบเลย ตรงนี้ทำได้ดีครับไม่ค่อยงงมากเท่าภาคแรกที่ปริศนาเยอะเกินและกั๊กไว้ทำภาคต่อไม่ค่อยเฉลยเท่าไหร่ ส่วนภาคนี้ก็ยังมีกั๊กอีกนิดหน่อยแต่ส่วนหลักนั้นค่อนข้างเคลียร์หมดครับไม่คาใจ ข้อเสียก็คงเป็นควรเล่นภาคแรกมาก่อนนั่นล่ะ ไม่งั้นมีงงเวลามันอิงเรื่องบีคอนในภาคแรก รวมถึงพวกการทดลองเครื่องสเต็มนี่ด้วย ส่วนตัวค่อนข้างประทับใจเนื้อเรื่องครับ มีความเป็นหนังไซไฟจิตวิทยาหลอน ๆ สนุก ๆ เรื่องหนึ่งเลย

“นอกจากลิลลี ยังมีบางคนรอคุณอยู่ในนั้นนะ” คำพูดปริศนาทิ้งท้ายของคิดแมนก่อนเข้าสู่สเต็ม

อ่อ เกมทิ้งท้ายหลังเครดิตไว้ เหมือนจะมีภาคต่อได้ครับ เพราะก็ยังมีปริศนาที่ยังไม่เฉลยอยู่อีกล่ะนะ โดยเฉพาะเรื่องของ “พ่อหนุ่ม” คนนั้น

เกมเพลย์ของ The Evil Within 2

ด้วยการออกแบบให้ฉากมีขนาดใหญ่ขึ้นมากจนเรียกได้ว่าเป็นกึ่ง ๆ เกมโลกเปิดเลยทีเดียว ทำให้เรามีทางเลือกในการเล่นมากขึ้นว่าจะเน้นที่ภารกิจหลัก หรือทำภารกิจเสริม โดยใช้วิทยุสื่อสารแกะสัญญาณในฉากได้ รวมถึงการออกแบบการเล่นและสัตว์ประหลาดที่หลากหลายมาก จุดอ่อน จุดแข็งต่างกันไป ทำให้เราสามารถเลือกเล่นได้ทั้งแนวลอบเร้น ยิงปะฉะดะ วางกับดัก หรือใช้มีดเล่มเดียวลุยก็ทำได้ การควบคุมนั้นยังคงไม่ซับซ้อนทำให้เล่นได้ไหลลื่น มีปัญหาบ้างตรงจังหวะการใช้มีดสู้นั้นจะไม่ตอบสนองกับการกดของเราแบบต่อเนื่อง แต่จะเน้นจังหวะฟันแล้วหน่วงหยุดนิดหนึ่ง ทำให้อาจหงุดหงิดนิดเวลาหัวร้อนเพราะโดนรุม และต้องกะจังหวะฟันให้ดีครับ ไม่งั้นจะโดนพวกซอมบี้เคาท์เตอร์ได้

ยินดีต้อนรับสู่เมืองยูเนียน รูปต้นไม้สัญลักษณ์ประจำเมืองก็มีสัญญะถึงการรวมเซลล์สมองทุกคนเป็นหนึ่งเดียว

พื้นที่ค่อนข้างใหญ่พอประมาณ จึงต้องมีวิทยุคอยจับสัญญาณทิศของภารกิจ นอกจากนี้ในหน้าต่างแผนที่ยังกำหนดจุดหมายที่ต้องการไปได้ด้วย

ด้านอาวุธมีการปรับจากภาคเดิมอยู่เหมือนกัน ที่สังเกตุชัดคือพวกอาวุธหนักอย่างอาร์พีจี หรือระเบิดนั้นไม่มีแล้ว ทำให้การเล่นนั้นผาดโผนน้อยลงและเน้นการเล่นแบบมีสติมากขึ้น กระสุนต่าง ๆ ที่เก็บในฉากนั้นเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2 – 10 นัดต่อครั้ง แต่มีให้เก็บตลอดทั้งฉากก็เยอะเหลือ ๆ ครับ แค่ต้องตระเวนหาหน่อย ก็ดูเหมือนยังคงเน้นให้เก็บพวกวัสดุเพื่อไปคราฟท์ของและกระสุนในเซฟเฮ้าส์ หรือคราฟท์ของภายนอกที่ต้องใช้วัสดุมากกว่าในเซฟเฮ้าส์นั่นเอง หรือจะเน้นการเล่นแบบลอบฆ่าไปเรื่อย ๆ ประหยัดกระสุนก็เป็นทางเลือกที่ดี นอกจากนั้นในบางช่วง หรือโดยเฉพาะฉากหลัง ๆ นั้นจะมีพวกกดปุ่มให้ทันเวลาอยู่บ้างแต่ไม่ได้มากจนทำลายจังหวะการเล่นครับ

เน้นลอบเร้นล่อศัตรูมาฆ่า หรือย่องไปแทงข้างหลังก็ประหยัดกระสุนแถมลุ้นดี

ต่อสู้ซึ่งๆหน้ามีทั้ง ยิงไกล ยิงลูกซองประชิด และใช้มีดฟันรัวๆ

การอัปเกรดมีสายอัพเกรดแบบเกม RPG มากขึ้น ทั้งความสามารถของตัวละคร และอาวุธ ที่ต้องปลดเป็นลำดับและเลือกสายการอัปเกรดไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องเก็บไอเท็มพิเศษอย่าง เจลสีแดง และ ชิ้นส่วนอาวุธพิเศษ เพื่อปลดล็อกชั้นความสามารถและขั้นอาวุธด้วย ในการอัปเกรดความสามารถตัวละครสามารถเก็บจาก เจลสีเขียว ที่เก็บได้ในฉากและจากการฆ่าสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ตรงนี้ต่างจากเกมโลกเปิดก็ตรงพวกสัตว์ประหลาดต่าง ๆ จะเกิดมาแบบแน่นอน ไม่มีเกิดเรื่อย ๆ ทำให้การฟาร์มและอัปเกรดนั้นจะเป็นไปตามลำดับเนื้อเรื่องพอสมควร ซึ่งเป็นจุดดีที่ไม่ทำให้เราเก่งจนกลายเป็นเกมเดินยิงเร็วเกินไป (แต่หลัง ๆ พอเทพมากพอก็เดินยิงแบบคำนวนกระสุนได้ล่ะ เพราะสัตว์ประหลาดเกิดขึ้นแบบจำนวนต่อฉากตายตัว) ส่วนพวกอาวุธนั้นอัปเกรดได้จากการเก็บ ชิ้นส่วนอาวุธ ซึ่งอยู่ทั่วไปในฉาก

เก็บเจลสีเขียวได้จากการฆ่าซอมบี้และสัตว์ประหลาด

เข้าสู่มิติในกระจก แล้วก็พบใบหน้าคุ้นเคยจากภาคก่อน คุณพยาบาลแว่นผู้จะช่วยเราอัปเกรดความสามารถ

สายการพัฒนาความสามารถมีหลากหลาย และต้องปลดล็อกเป็นขั้นๆไป

ส่วนตัวเน้นอัปเกรดสายลอบเร้นเพื่อประหยัดกระสุน และอัปเกรดปืนลูกซองกับปืนพกเพราะได้ใช้เยอะ ยิ่งหลัง ๆ จะเก็บปืนพกเก็บเสียงได้ช่วยได้มาก ส่วนปืนลูกซองมีประโยชน์มากเวลาเจอบอสต่าง ๆ ครับ ส่วนด่านหลัง ๆ ก็ควรอัปพวกปืนสไนเปอร์ไว้นิดหน่อยเพราะต้องใช้พอสมควร

ดีไซน์ และกราฟิกของ The Evil Within 2

คงเป็นจุดเจ๋งของซีรีส์นี้เลย คือการดีไซน์ที่หลอน สวย ประหลาดมาก จริง ๆ ทำได้ดีตั้งแต่ภาคแรกแล้ว พวกฉาก พวกปริศนาต่าง ๆ พวกสัตว์ประหลาด โดยเฉพาะบอสนี่น่ากลัวมากมีจุดเด่นที่ต่างกัน น่าจะได้แนวทางจาก Silent Hill มาพอสมควรแต่ก็แตกต่างเป็นตัวของตัวเองด้วยครับ ในภาคนี้ค่อนข้างประทับใจการดีไซน์ตัวละครฝั่งมนุษย์หลาย ๆ คน ดูมีเรื่องราวจับต้องได้มากขึ้น ฝั่งบอสตัวหลักทั้งหลายที่เป็นคนนั้นก็มีบุคลิกและดีไซน์ที่น่าจดจำเหมือนกันครับ โดยสะท้อนปมล้อไปกับเรื่องความผิดบาปในใจของตัวละครเซบาสเตียนได้ดีมาก ๆ จนพูดได้ว่าธีมของเกมภาคนี้คือการปลดปล่อยตัวละครก็ว่าได้ครับ

สัญญะที่นำมาใช้ออกแบบก็มีความสอดคล้องกับเนื้อหาไม่ได้เน้นว่าจะหลอน ๆ ไปอย่างเดียว อย่างบอสตัวแรกที่เป็นช่างภาพฆาตกร ก็เล่นกับเรื่องกล้อง การถ่ายภาพ ความเป็นศิลปิน การหยุดเวลาของภาพนิ่ง หรือบอสที่เป็นสาธุคุณก็เน้นเรื่องการตีตราบาป การสารภาพบาป และเล่นปมอดีตอันผิดบาปตลอดเวลา ทั้งยังสะท้อนภาพไฟนรกตามความเชื่อออกมาแบบยุคกลางได้น่ากลัวมาก ๆ และสุดท้ายบอสที่เป็นภาพของเหลวสีขาวบนปกของเกมก็เจ๋งมากเหมือนกัน ไม่อธิบายแล้วกันครับ เดี๋ยวสปอยล์ แต่ไม่ใช่น้ำสีขาวธรรมดาแล้วกัน พอเฉลยแล้วรู้สึกเกมมันดีไซน์มาดีมาก ๆ เลย

ศิลปินภาพนิ่งและฆาตกรต่อเนื่องที่ชอบฆ่าคนมาทำงานศิลปะ

สาธุคุณผู้มาพร้อมเพลิงชำระบาป

ปีศาจขนาดยักษ์ในธีมสีขาว

กราฟิกน่าจะดีขึ้นพอสมควร อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกกดด้วยคาดดำบนล่างแล้ว (แต่เล่นจบปลดล็อกโหมดซีเนมาติกได้นะครับ จะมีแถบคาดเหมือนเดิมโดยคาดทับภาพเฉย ๆ เลยไม่ได้ขยายสเกลมุมมองอย่างใด เพื่อ!!!) ความละเอียดของภาพก็ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ใช่ขนาดตัวท็อปของเกมเน็กซ์เจน ดูใกล้ ๆ เท็กเจอร์ฉากยังแตก ๆ ลวก ๆ อยู่เหมือนกันแต่พวกตัวละครหลายตัวทำได้ดี ยิ่งพวกผิวหนังที่ละลาย ซากศพเลือดเนื้อกระจุยกระจายนี่ โหด สยองพองขนตลอดเกม ใครเกลียดพวกนี้ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ เจอทั้งเกม 5555

สรุป 

ใครเล่นภาคแรกมา ไม่ควรพลาดครับ เกมปรับแต่งมาจากภาคก่อนได้ลงตัวดีมาก ยิ่งใครชอบพวกแนว Silent Hill นี่อยากให้ลองเลยครับ ทดแทนหายคิดถึงได้เลย ส่วนใครไม่เคยเล่นภาคแรกมา พอเล่นได้รู้เรื่องครับเพราะพลอตพ่อตามหาลูกมันแน่นพอให้ตามได้ทั้งเกม แต่ทางที่ดีไปเล่นภาคแรกมาก่อนจะดีมากครับ ไม่งั้นงงกับรายละเอียดหลายจุดอยู่ โดยเฉพาะฉากหลัง ๆ ที่มีการใช้ทริกบางอย่างจากภาคเดิมมาด้วยจะตายหลายรอบเสียเปล่า ๆ เพราะเกมไม่ใบ้ให้เท่าไหร่ครับ สรุปเลย คุ้มครับ

เกมลงให้กับทุกแพลตฟอร์มเลยครับทั้ง PC และคอนโซลอย่าง PS4 และ Xbox One ใครสะดวกเครื่องไหนก็จัดเลยครับ และขอขอบคุณ โซนี่ประเทศไทย สำหรับโค้ดเกมสำหรับรีวิวครั้งนี้ด้วยครับ