[Review] The Division 2: Warlords of New York กลับคืนสู่มหานครที่คุ้นเคยกันอีกครั้ง
Our score
7.7

The Division 2: Warlords of New York

จุดเด่น

  1. ออกสำรวจแผนที่เก่า ในรูปแบบใหม่
  2. Level ที่สูงขึ้น พร้อมกับ Gear ใหม่ ๆ มากมาย

จุดสังเกต

  1. ราคาสูงเกินไปหน่อยสำหรับ Content แรกเริ่มเพียงแค่นี้
  2. เนื้อหาภายในส่วนเสริมที่น้อยมาก (ประมาน 10 ชั่วโมง)
  3. การเล่าเรื่องที่ยังคงทำได้ไม่ดีตามเดิม
  • GAMEPLAY

    8.0

  • GRAPHICS

    8.0

  • STORY

    7.0

  • PERFORMANCE

    8.5

  • VALUE

    7.0

The Division เป็นเกมในชุดของ Tom Clancy’s ที่วางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2016 พร้อมกับเสียงกระแสตอบรับที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรนักในเกมภาคแรก แต่ถึงแบบนั้นตัวเกมก็ยังมี Update อยู่ต่อเนื่อง จนสามารถกู้ชื่อตัวเองขึ้นมาได้ ก่อนที่ภาคต่ออย่าง The Division 2 จะวางจำหน่ายในปี 2019 โดยครั้งนี้ทีมงานได้ออกมาบอกว่าพวกเขาเรียนรู้จากตัวเกมภาคแรกมามาก และพร้อมจะปรับปรุงแก้ไขทุกอย่างในตัวเกมภาค 2 ให้กลายเป็นเกมที่ Perfect และเมื่อถึงเวลาที่มันวางขาย The Division 2 ก็ได้รับคำชมจากสื่อหลายสำนัก ถือว่าเป็นการ Comeback ที่ดีเลยทีเดียว

Aaron Keener พร้อมกับพรรคพวก

และเมื่อการที่ตัวเกมประสบความสําเร็จอยู่ในระดับหนึ่ง Ubisoft ก็ได้เข็นเอา Expansion ใหม่มาออกวางขายที่เป็นเกมธรรมเนียมทั่วไปของเกมแนว ๆ นี้ไปแล้ว “Warlords of New York” เป็น Expansion ชุดแรกของ The Division 2 ที่คราวนี้ตัวเกมจะพาผู้เล่นกลับไปเยือนมหานคร New York สถานที่ในเกมภาคแรกอีกครั้ง พร้อมกับการออกตามล่า “Aaron Keener” Division Agent ชุดแรกที่ถูกส่งเข้าไปปฏิบัติการหลังจากเกิดเหตุ Outbreak ขึ้น โดยเขาเป็นตัวร้ายหลัก ๆ เลยทีเดียว ผู้เล่นจะได้เจอเขาในเกมภาคแรก และถ้าหากใครที่เล่นมาตั้งแต่ภาคแรก ก็น่าจะรู้ถึงวีรกรรมของเขาดี โดยคราวนี้เราจะเป็นฝ่ายไล่ล่าเขาใน New York อีกครั้งครับ

ถ้าหากเราจะสรุปกันตรงนี้เลยว่า Expansion “Warlords of New York” นั้นมันทำออกมาได้ดีมากไหม ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ Review นี้ก็คงจบไปตั้งแต่ 10 บรรทัดแรกแล้ว แต่สิ่งที่ผมบอกท่านผู้อ่านได้ก่อนสรุปช่วงท้าย ก็คือ Ubisoft นั้น ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลยครับ


The Story


ตัวผู้เล่นเอง และ Agent Kelso เมื่อมาถึง New York

แน่นอนว่าเกม MMORPG อย่าง The Division เองมันก็มีเนื้อเรื่องให้ผู้เล่นได้เสพกันอยู่เช่นกัน หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก Division Agent นายหนึ่ง (ผู้เล่นเอง) ก็ได้มาเป็นกำลังเสริมต่อสู้กับศัตรูและยับยั้งสถานการณ์ใน Washington D.C ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา และหลังจบเนื้อเรื่องในภาค 2 ผู้เล่นก็ได้รับการติดต่อจากทาง New York เพื่อขอความช่วยเหลือในการตามล่าตัว Aaron Keener โดยคราวนี้เราจะต้องบินกลับไปที่ New York อีกครั้ง โดยเราจะได้สำรวจในพื้นที่ในตอนใต้ของ Manhattan

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า The Division นั้นเป็นเกมที่เล่าเรื่องได้จืดชืดมาก ตลอดทั้งเกมผู้เล่นจะได้รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านบทพูด และฟังเทป หรือการตรวจสอบ ECHO เพื่อย้อนดูเหตุการณ์ในอดีต มี Cutscreen ให้ดูอยู่บ้างเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้ชวนให้ผู้เล่นรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับมันสักเท่าไรนัก

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะ The Division เองเป็นเกมที่มีเนื้อหา และ Lore ที่น่าสนใจมาก ๆ ตัวเกมมีองค์ประกอบพร้อมที่จะกลายเป็นสุดยอดเกมที่มีเนื้อเรื่องยอดเยี่ยมเกมหนึ่งได้เลยสบาย ๆ แต่ทีมงานดันไม่ให้ความใส่ใจมันสักเท่าไร ถึงแม้จะมีเนื้อหามากขนาดไหน ผมก็ยังมองว่าทีมงานเอามันมาใช้ไม่เป็นอยู่ดีครับ

และแน่นอนว่าจุดนี้มันก็ส่งผลถึงเนื้อเรื่องใน Warlords of New York อีกด้วย ตัวเกมจะให้เราตามล่า Rogue Agent ทั้งหมด 4 คน ก่อนที่จะได้จัดการกับ Aaron Keener โดยในด้านการออกแบบ Mission นั้นมันก็ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน แต่ปัญหาก็คือการเล่าเรื่อง หรือเนื้อหานี่ล่ะครับ การออกตามล่า Rogue Agent 1 คนนั้นไม่ได้มีอะไรมากเลย ก็แค่เข้า Mission ฟังเทป พูดคุยกับ NPC และจบที่การเปา Rogue Agent คนนั้นให้กระจุย ทั้ง ๆ ที่ทีมงานสามารถเอาจุดนี้มาเล่าเรื่องต่อ หรือสร้าง Character ได้ แต่ก็ไม่ทำ กลายเป็นเหมือน Mission ทั่วไป ที่มีมาขั้นเอาไว้ก็แค่นั้น

และถ้าหากจะบอกผมว่า “ก็มันเป็นเกมแนวนี้ จะให้เล่าเรื่องยังไง” คือจริง ๆ ผมก็ต้องบอกเลยครับว่ามันมีเกม MMORPG หลายเกมมาก ๆ ที่เล่าเรื่องได้ดีกว่าเกมนี้มาก หรือถ้าจะให้นับเกมประเภทเดียวกันอย่าง Destiny ที่เล่าเรื่องได้ดีกว่าเกมนี้มาก และนำเอาทรัพยากรมาใช้ได้พอดี โดยไม่เสียความเป็น RPG ไป หรือจะเป็นเกม MMORPG ประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ทำได้ดีกว่ามาก แต่มันก็อาจจะไม่แฟร์ถ้าจะให้เอามาเปรียบเทียบกับ Division ครับ


Gameplay & Content


บรรยากาศใน New York

The Division เป็นเกม Cover-Based Shooter ทีผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะ ยังแยกไม่ออกระหว่าง Cover-Based Shooter กับ Third-Person Shooter (TPS) ทั่ว ๆ ไป โดยถ้าจะให้ยกตัวอย่างกันง่าย ๆ เกมแนว TPS ก็จะเป็นเกมอย่าง Resident Evil 5, Max Payne, Fortnite แต่เกมที่เป็นแนว Cover-Based Shooter นั้นก็จะเป็นเกมอย่าง Spec Ops: The Line, Binary Domain, Gears of War และแน่นอน The Division โดยแนวเกมทั้ง 2 นี่มันก็อาจจะเหมือน ๆ กัน แต่จริง ๆ มันมีความแตกต่างกันอยู่มากครับ ทั้งในเรื่องของ Mechanics ภายในเกมที่ไม่เหมือนกัน ทำให้มีความรู้สึกต่างกันเวลาเล่นเกม 2 ประเภทนี้

เช่นใน Resident Evil 5 หรือ Max Payne ผู้เล่นสามารถควงปืนยิงศัตรูภายในเกมได้โดยที่ไม่ต้องมาคอยหลบหลังที่กำบังกันบ่อย ๆ แตกต่างจากเกมอย่าง Gears of War หรือ The Division ที่การที่คุณจะออกไปยืนยิงศัตรูตรง ๆ คุณก็อาจจะจบไม่สวยก็ได้ โดยผู้เล่นต้องอาศัยเทคนิค ความแม่นยำ การวางแผน รวมไปถึง Teamwork โดยอาศัยที่กำบังเป็นตัวช่วยเหลือเรานั้นเอง อีกจุดหนึ่งที่ผมชื่นชม The Division มาตลอดตั้งแต่ภาคแรก ก็คือระบบ Cover ของเกมนี้ที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ จนเกมอืน ๆ ควรจะทำตาม และยึดไว้เป็นมาตรฐานเลยทีเดียว

สำหรับเกมอื่น ๆ อย่าง Sprinter Cell, Metal Gear Solid, Hitman เกมประเภทนี้ผมจะยกให้เป็นแนว Tactical Third-Person Shooter ที่เน้นการเล่นแบบ Tactical จัด ๆ ไม่ได้อิงทั้งจาก 2 ประเภทที่กล่าวมา แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเราจะมาพูดถึงแนวเกมชนิดอื่น ๆ อีก Review วันนี้ก็คงยังไม่จบกันล่ะครับ

The Division ถ้าจะบอกว่ามันเป็นเกมแนว MMORPG ก็คงไม่ผิด แต่มันก็คงจะไม่ใช้ “MMO” อย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าทีมงานเองก็น่าจะตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ติดเรื่องความสามารถของ Server ล่ะก็นะ (แซว) แต่เราก็คงเรียกมันว่าเป็นเกมแนว MMORPG ไม่ได้ เพราะเราไม่ได้พบเจอกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ตลอดเวลานอกจากอยู่ใน Safe Zone แต่ถ้าจะเรียกว่ามันเป็นเกม MMORPG ก็ไม่ผิด โดยบางคนอาจจะเรียกมันว่าเป็นเกม Action RPG, Third Person Shooter, Squad-based, หรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้ว The Division เองมันก็ยังมีความเป็น MMORPG อยู่สูงมากทีเดียวครับ

และแน่นอน ด้วยการที่มันเป็นเกมแนว MMORPG เมื่อมีการออก Expansion ใหม่เข้ามา สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ ระดับ Level ที่สูงขึ้น และ Gear ที่เปลี่ยนไป ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติมาก ๆ สำหรับเกมแนวนี้ครับ ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า เกมแนวนี้ เมื่อเราเล่นจน Level ตันแล้ว จบเนื้อหาหลักครบ ตัวเกมก็จะเข้าสู่ช่วง End Game ที่จะเป็นการ Farm หา Item ระดับสูงมาใส่เพื่อเพิ่มระดับ Item Level ของตัวเอง โดยใน Division นั้นจะเรียกว่า “Gear Score” และยังมีการแบ่งระดับ Tier ตาม Gear Score ของผู้เล่น โดยเราจะหา Gear สูง ๆ ได้จากการทำ Mission (หรือเกมอื่น ๆ ก็เช่นลงดันเจี้ยน) การคราฟ หรือการ Raid ระดับสูงนั้นเอง

แน่นอน ว่าทั้งหมดนี้คือ MMORPG Elements พื้นฐานเลยทีเดียว ถ้าใครที่เล่นเกม MMORPG มาตลอดก็จะเข้าใจระบบมันได้ไม่ยาก และเมื่อ Division 2 มี Expansion ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นระดับ Tier ไหนก็ตาม เมื่อมาเจอ Gear ใหม่ ๆ ที่ใส่ได้ตั้งแต่ Level 31 ขึ้นไป นั้นก็จะดีกว่าของตัวเองหมดเลย รวมไปถึงผู้เล่นใหม่ ที่บางคนอาจจะยังไม่ได้เก็บสะสม Gear Score ของตัวเองเลย เมื่อมาเล่น Expansion ผู้เล่นใหม่ก็จะตามผู้เล่นเก่าได้ทันตั้งแต่วันแรกที่วางขายเลยนั้นเองครับ

สกิลใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามา

แน่นอนว่านอกจาก Gear ใหม่ ๆ แล้ว ผู้เล่นก็จะได้ใช้อาวุธ หรือ Gadjet ใหม่ ๆ อีกด้วย มาพร้อมกับสกิลใหม่ ที่มันจะสร้าง Build ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายสำหรับผู้เล่นหลาย ๆ ประเภท แต่ก็ขอแอบแซวนิดหนึ่งว่า Skill บางอันก็เรียกได้ว่า Copy & Paste มาจาก Rainbow Six Siege กันแบบชัด ๆ จนทำเอาคนที่เล่นอยู่ทุกวันแบบผมถึงกับกุมขมับเลยว่าเอ็งจะเอางี้จริงดิ!!

และเมื่อมาถึงช่วง End Game ของ Warlord of New York สิ่งที่ผู้เล่นจะได้สัมผัส มันก็ไม่ต่างอะไรกับของเดิมเลยครับ แน่นอนว่ามันก็กลับมาสู้ Loop เดิม End Game ฟาร์มของ สร้าง Build ของตัวเอง ตั้งตี้ลง Dark Zone หรือท้าทาย Raid ระดับสูง ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่สนุกนะ แน่นอนว่ามันสนุกมาก การ Grinding เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเกมแนวนี้ และผมเองก็ไม่มีปัญหาอะไรกับมันเลย โดยผู้เล่นจะได้พบเจอกับ Raid ใหม่ การออกไล่ล่า Rogue Agent ระดับสูง ผ่านเนื้อหา Manhunt ของ Season 1 ใน Expansion นี้

สำหรับบรรยากาศใน New York เองนั้นทำออกมาได้ค่อนข้างดีครับ เราจะได้พบเจอกับฉากใหม่ ๆ สถานที่แปลกใหม่ แน่นอนว่าเรื่องนี้จะส่งผลถึงการออกแบบ Mission ใหม่ ๆ ให้น่าสนใจ และแตกต่างไปจากของเดิมได้ รวมไปถึง Raid ใหม่ ๆ ที่กำลังจะมา แต่น่าเสียดายที่การไป New York ครั้งนี้ เราจะไม่ได้เข้าไปใน Dark Zone ของที่นั่นและนอกเนื้อจากนี้แล้ว ตัว Expansion ก็ไม่ได้มีโหมดการเล่นใหม่ ๆ ที่น่าสนใจอีกเลยครับ


End Game


The Division 2: Warlords of New York นั้น “สอบตบ” ความเป็น Expansion ของเกมไป เพราะว่านี่มันไม่ใช่แค่ “DLC” ที่จะเพิ่มฉากใหม่ ๆ หรือศัตรูใหม่ ๆ เข้ามา การที่จะเป็น Expansion ที่สมบูรณ์แบบได้ มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าแผนที่ ตอนใต้ของ Manhattan ใน New York นั้นจะมีขนาดที่ใหญ่อยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วทีมงานก็ไม่รู้จักนำเอาทรัพยากรมาใช้ให้อย่างคุ้มค่าสักเท่าไรนัก

แน่นอนว่าในอนาคต เราน่าจะได้เห็นการ Update ใหม่ ๆ ที่จะเพิ่ม Content เนื้อหาเพิ่มเติมสำหรับ Expansion นี้กันอย่างแน่นอน เพราะอย่างที่ผมบอกว่ามันเป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับเกมแนวนี้เมื่อเวลามี Expansion ใหม่ออกมา ก็มักจะมีการ Update กันอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม การที่ Ubisoft นั้นบังคับให้ผู้เล่นต้องจ่ายเงินกว่า 800 บาท สำหรับส่วนเสริมที่มีเนื้อหาไม่มากสักเท่าไร เพื่อที่จะปลดล็อก Level 40 พร้อมกับแผนที่ใหม่ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก เพราะว่าเนื้อหาของมันน้อยมาก ๆ ไม่ถึง 10 ชั่วโมงนั้นล่ะครับ

สำหรับ Review ในวันนี้ ผมก็พยายามที่จะจำกัดเนื้อหาให้อยู่แค่สำหรับ Expansion Warlords of New York เท่านั้น และนั้นก็คือทั้งหมดของส่วนเสริมนี้ครับ สำหรับผมแล้วมองว่ามันเป็นส่วนเสริมที่มี “ศักยภาพมาก” แต่ยัง “ขาดการขัดเกลาที่ดี” ครับ สำหรับวันนี้ลาก่อน พบกันใหม่ใน Review ฉบับหน้า สวัสดีครับ