จาก “หนุ่ย Talk & Chill” EP.1 พลังงานลมแรงไม่พอ หรือรัฐไม่ผลักดัน คอนเทนต์หนุ่ย Talk เดิมที่กลับมาใหม่ในรูปแบบที่ชิลขึ้น แต่เข้มกว่าเดิม เพราะ หนุ่ย พงศ์สุข เปิดบาร์กาแฟต้อนรับแขก ชงกาแฟ พร้อมชงประเด็นร้อนให้คนดูได้จิบกัน

ใน EP. แรกนี้ได้มีการเจาะลึกถึงประเด็นพลังงานลมในประเทศไทย ซึ่งดูเหมือนไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร และหัวข้อที่น่าสนใจนี้ก็ส่งผลต่ออนาคตด้านพลังงานและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในยุคที่ทั่วโลกมุ่งหน้าสู่พลังงานหมุนเวียนและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

หนุ่ย พงศ์สุข ได้เริ่มบทสนทนากับ คุณวัชรพงศ์ เข็มแก้ว นายกสมาคมพลังงานลมแห่งประเทศไทย และคุณวรณ สงวนวงศ์วาน รองนายกสมาคมพลังงานลมแห่งประเทศไทย ผ่านกาแฟภูเขาไฟจากปาปัวนิกินี ที่รสชาติเข้มพอ ๆ กับประเด็นในตอนนี้เลย มาดูกันว่าทั้งสองท่านจะสะท้อนปัญหาและมุมมองของผู้ที่อยู่ในวงการนี้โดยตรงให้เราฟังอย่างไรบ้าง

สถานการณ์พลังงานลม : ผู้นำที่เคยรุ่งโรจน์สู่ช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง

น่าเสียดายที่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมเพียง 1.4% ของพลังงานทั้งหมด ทั้งที่เคยเป็นผู้นำด้านนี้ในภูมิภาค โดยสมาคมพลังงานลมแห่งประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งมากว่า 10 ปี และรวบรวมผู้ประกอบการกว่า 80% ของอุตสาหกรรม ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทาย เมื่อภาครัฐหยุดการสนับสนุนการรับซื้อพลังงานลมไปนานถึง 10 ปี ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องเปลี่ยนทิศทางธุรกิจหรือย้ายฐานการลงทุนไปยังต่างประเทศ ทั้งที่ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้เป็นคนไทยถึง 80%

ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ : พลังงานลมผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าความต้องการของทั้งประเทศ

สิ่งที่น่าทึ่งคือศักยภาพของพลังงานลมในไทยที่ถูกประเมินไว้สูงมาก ในอดีตแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้า (PDP) แทบไม่ได้บรรจุพลังงานลมไว้เลย แต่ด้วยการผลักดันของภาคเอกชน ปัจจุบันมีการประเมินว่าไทยมีศักยภาพในการผลิตพลังงานลมได้ถึง 13,000-17,000 เมกะวัตต์

เมื่อผนวกกับเทคโนโลยีกังหันลมสมัยใหม่ที่ใช้ความเร็วลมต่ำ (Low speed wind turbine) ศักยภาพนี้สามารถพุ่งสูงถึง 300,000 เมกะวัตต์ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศที่อยู่ราว 50,000 เมกะวัตต์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานซึ่งเป็นที่ราบสูง ถือเป็นทำเลทองของการติดตั้งกังหันลม

มุมมองจากผู้ประกอบการ : ความท้าทายและคำถามถึงนโยบายภาครัฐ

คุณวัชรพงศ์ และคุณวรณได้ได้สะท้อนมุมมองของปัญหาด้านนโยบายสนับสนุนพลังงานลมผ่าน 3 ข้อ

  1. ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย : การประกาศรับซื้อพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้การวางแผนลงทุนในระยะยาวเป็นไปได้ยาก โครงการลงทุนในพลังงานลมต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 50-55 ล้านบาท ต่อ 1 เมกะวัตต์ และใช้เวลาคืนทุน 8-12 ปี ความไม่แน่นอนของนโยบายจึงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ
  2. กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค : ผู้ประกอบการเรียกร้องให้ภาครัฐเปิดเสรีมากขึ้น โดยเฉพาะการอนุญาตให้มีการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) ระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ภาคเอกชน โดยอาศัยโครงข่ายสายส่งของการไฟฟ้า (Third Party Access) ซึ่งจะช่วยให้บริษัทข้ามชาติที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด 100% (RE100) ยังคงฐานการผลิตในไทยต่อไปได้ นอกจากนี้ กฎระเบียบปลีกย่อย เช่น นิยามของ “ที่อยู่อาศัย” หรือข้อจำกัดกำลังการผลิตที่ติดตั้งยังขาดความชัดเจนและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงการ
  3. ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ : การขาดแคลนพลังงานสะอาดกำลังจะกลายเป็นประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจ เมื่อมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของยุโรปและประเทศอื่น ๆ จะทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีต้นทุนสูงขึ้น หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใช้พลังงานสะอาดในการผลิต สิ่งนี้ไม่เพียงกระทบผู้ส่งออกรายใหญ่ แต่ยังส่งผลเป็นลูกโซ่ไปยัง SME ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานด้วย

ทลายความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับพลังงานลม

ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นผ่านวงกาแฟนี้ ทำให้เราได้เห็นมิติใหม่ ๆ ของพลังงานลมในมุมที่คนทั่วไปอาจไม่เคยรู้ หรืออาจมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนชนิดนี้ เช่น

  • พลังงานลมราคาแพง : ในทางตรงกันข้าม ปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนถูกลงมาก โดยการไฟฟ้ารับซื้อที่หน่วยละ 3.10 บาท ซึ่งถูกกว่าค่าไฟที่ประชาชนจ่ายอยู่ที่ 4-5 บาทต่อหน่วย และเป็นราคาที่คงที่ตลอดอายุสัญญากว่า 25 ปี
  • พลังงานลมไม่เสถียร : แม้ลมจะไม่ได้พัดตลอดเวลา แต่พลังงานลมสามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และมีความสามารถในการผลิตไฟฟ้า (Capacity Factor) เฉลี่ยสูงกว่าโซลาร์เซลล์ ที่สำคัญ ลมในไทยมักจะมาในช่วงหัวค่ำและกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เสริมการทำงานของโซลาร์เซลล์ที่ผลิตไฟฟ้าได้ในตอนกลางวันได้อย่างลงตัว
  • กังหันลมทำลายทัศนียภาพ : ในบริบทของประเทศไทย กังหันลมกลับกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับชุมชนในอีกทางหนึ่ง

บทสรุปและคำถามถึงอนาคตพลังงานไทย

การสนทนาในวงกาแฟนี้ได้ทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้กับสังคมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาครัฐ ประเทศไทยจะเดินหน้าไปทางไหนในสมรภูมิพลังงานโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ?

การเพิกเฉยต่อศักยภาพของพลังงานลม ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้ แต่ยังอาจหมายถึงการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในเวทีโลกอย่างถาวร

เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ คือการเรียกร้องนโยบายที่ชัดเจน ต่อเนื่อง และเปิดกว้าง เพื่อปลดล็อกศักยภาพของพลังงานลมให้กลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาด ควบคู่ไปกับการรักษาฐานการลงทุนและสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ถึงเวลาแล้วที่แผนพัฒนาพลังงานของชาติจะต้องรับฟังเสียงจากภาคเอกชนอย่างจริงจัง และมองเห็น “ลม” เป็นสินทรัพย์อันมีค่าของประเทศที่สามารถใช้เพื่อประโยชน์ของคนในประเทศได้