ไม่น่าเชื่อนะครับคุณผู้อ่าน ผมเขียน “หนุ่ยรู้โลกรู้” คอลัมน์ที่คุณกำลังถืออ่าน (หรือนั่งอ่านก็แล้วแต่) มาถึงฉบับนี้นับเป็นชิ้นงานที่ 100 แล้ว! ..อย่าว่าแต่คุณผู้อ่านงงเลยครับ ผมยังแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเหมือนกันว่าจะสามารถเขียนอะไรต่อเนื่องยาวนานได้ขนาดนี้! สมัยผมเป็นนักเรียนทำรายงานส่งครูแค่ 4-5 หน้า บ่นแล้วบ่นอีก ขี้เกียจเขียน ขี้เกียจเรียบเรียง เห็นผมเป็นคนพูดเร็วอย่างนี้ แต่สปีดการเขียนงานผมต่ำมากครับ ยิ่งเป็นงานเขียนที่ต้องอ้างอิงและรับผิดชอบต่อคนอ่านเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ผมรีเสิร์ชซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบนะกว่าจะจบชิ้นงานแต่ละครั้งได้ ..ขอบคุณกองบก.ที่(ทน)รอต้นฉบับและขอบคุณคุณผู้อ่านที่ทนอ่านกันมาถึงชิ้นงานที่ 100 ครับ ฉบับนี้ผมขอมอบสิ่งดีๆให้ “คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองที่มีลูกติดเกม” โดยสังเคราะห์ข้อมูลจริงจากปากครอบครัวที่ประสบความสำเร็จในการพาลูกกลับมาจากภาวะติดเกมซะจนเสียผู้เสียคนมาแล้ว

เรื่องเล่าวันนี้อาจพลิกโผจากสิ่งที่ผมมักเขียนถึงนั่นคือการ “เชียร์เทคโนโลยี” นะครับ มันเกิดจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสกลับไปดำเนินรายการคุณภาพคับจอแก้วแต่ไม่ค่อยฮิตติดแก้วหูคนดูซักเท่าไหร่นั่นคือรายการ “ครอบครัวเดียวกัน” ทางไทยพีบีเอส … รายการนี้เป็นรายการเดียวที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องไอทีที่ผมทำงานให้ เนื่องจากหลายปีก่อนเคยตกหลุมรักทีมงานคุณภาพตอนพวกเขามาสัมภาษณ์ครอบครัวผม ..เลยไม่ปฏิเสธไมตรีตอนเขาชวนทำพิธีกร แม้ไม่ใช่เรื่องไอทีแต่ก็ทำให้มาหลายปีแล้ว ทำแบบสลับเวียนหมุนเปลี่ยนไปตามเนื้อหาที่ตนเองมีประสบการณ์ร่วมบ้างไม่ร่วมบ้าง เทปที่เพิ่งบันทึกไปเป็นเรื่องของ “อดีตเด็กติดเกม” ..ซึ่งนั่นคงเป็นเหตุผลที่โปรดิวเซอร์สั่ง ว.2 เรียกตัวผมมาสัมภาษณ์แขกรับเชิญ

กว่ารายการจะออนแอร์ก็ตั้งวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน เวลา 18.00น. มีรึ? ที่ผมจะเก็บเรื่องนี้ไว้ในอกคนเดียว หึหึ ขอแชร์ให้คุณผู้อ่านรู้เดี๋ยวนี้เลยดีกว่า!

10505270_350090291809048_1644076446020247535_n

แขกที่มาให้สัมภาษณ์คือครอบครัว “คุณากรไพบูลย์ศิริ” ครอบครัวฐานะดีมีกิจการใหญ่โตเป็นโรงงานผลิตตู้บรรจุภัณฑ์พลาสติกอย่างหนาที่เราเห็นพ่อค้าแม่ค้าใช้บรรจุน้ำแข็งตามท้องตลาด … คุณพ่อคุณแม่ดูใจดีน่ารักตามสไตล์ครอบครัวไทยเชื้อสายจีน บ้านนี้ส่งลูกชายไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่วัยมัธยมปลาย (15ปีที่แล้วในยุคฟองสบู่แตก) เขายอมแลกเงินปอนด์สเตอริงด้วยเงินไทย 93บาทมาแล้วเพื่อส่งลูกเรียน ซึ่ง “คุณแม่เพียงเพ็ญ” ท่านเป็นกังนัมสไตล์คือเท่าไหร่เท่ากัน แพงเท่าไหร่ไม่ว่า ขอเพียงโอกาสได้มอบการศึกษาสุดล้ำเลิศให้ลูกได้ (วัยเด็กของคุณแม่เล่าว่าต้องช่วยเหลือการงานบุพการีอย่างเดียวไม่มีโอกาสได้เรียนดีๆ) ก็เป็นธรรมดาของคนที่สู้แล้วรวยครับ เมื่อมีความสามารถแล้วก็ใส่ไม่ยั้งเพื่อลูก คุณแม่เธอมีทั้งลูกชายและลูกสาวในวัยไล่เลี่ยกัน เธอส่งทั้งคู่ไปเรียนในสถาบันระดับ Top10 ของสหราชอณาจักรด้วยทุน พ.ก. (พ่อกู) คุณพ่อจัดหา คุณแม่จัดให้ จัดซะ 10 ล้านบาทต่อคน เธอโอนเงินก้อนทั้งปีเข้าบัญชีลูกเพื่อฝึกนิสัยการบริหารจัดการเงินเอง ซึ่งเหตุที่กล้าฝึกลูกอย่างนี้ก็เพราะ “ไว้ใจลูก” ครับ โดยพื้นฐานลูกชายเป็นเด็กเรียนดี เรียนสาธิตปทุมวัน หัวสมองไม่เป็นรองใคร ผลการเรียนชื่นอกชื่นใจพ่อแม่มาโดยตลอด 5 ปีแรกของการศึกษาที่อังกฤษ โรงเรียนส่งทรานสคริปต์กลับมาทีไร ม่าม๊าก็ปลื้มอกปลื้มใจ …

แต่แล้วจู่ ๆ หนุ่มน้อยอนาคตไกลในรั้ว Warwick University ก็ได้พาลพบเพื่อนเกาหลีผู้บ้าคลั่งเกม StarCraft เกมวางแผนการรบระดับ AAA ของวงการเกมโลก และดูเหมือนมันจะกลายเป็นเกมประจำชาติเกาหลีไปซะแล้วด้วย ซึ่งตัวเกมนี้เป็นเกมระบบการเล่นดีจริงครับ ถูกใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกของชาวเกมอย่าง World Cyber Games มาโดยตลอด แถมแชมป์โลกก็เป็นชาวเกาหลีที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้จากเกมนี้

เกมเมอร์ฝรั่งยังทึ่งความสามารถในการเล่น ช่องทีวี Discovery ต้องมาทำสารคดีวิจัย “ความเร็วนิ้วในการออกคำสั่ง” ของเจ้าหนุ่มคนนี้ที่ทำสถิติ 300คำสั่ง/นาที (เรียกว่าเพียง 1วินาที เด็กมันคิดแผนการกดสั่งได้ 5แบบ สวดยวดไปเลยลวกเพี้ยะ!)

เพื่อนเกาหลีของ “เคี้ยง” บุตรคุณแม่เพียงเพ็ญ แม้ไม่ใช่แชมป์โลก แต่ก็เกรียนพอที่จะพาเด็กเรียนเข้าสู่ความเสียผู้เสียคนได้ เคี้ยงเตลิดเปิดเบิงแบบกู่ไม่กลับ นั่งเล่น StarCraft ทั้งวันทั้งคืนเพื่อเป้าหมายใหม่ที่ไม่ใช่การเรียนคือหวังจะโค่นไอ้เพื่อนเกาหลีนี้ให้ได้ จากเด็กขยันเรียนจริงจังก็หันมาจับคีย์บอร์ดตลอดวันไม่ลุกไปไหน หิวก็โทรสั่งพิซซ่า ไก่ทอด Delivery มาเสิร์ฟหน้าโต๊ะคอม ส่งผลให้อ้วนขึ้นอย่างพรวดพราด ผลการเรียนก็พลาดตกวูบทันที 2 เทอมซ้อน แม่รู้ก็ถึงกับปรี๊ดกรี๊ดจากย่านเพชรเกษมดังไปไกลถึงเกาะอังกฤษ ..พอหนุ่มเคี้ยงถูกรบเร้ามาก ๆ เข้าก็เลือกที่จะ “เลิกรับสายโทรศัพท์จากแม่” นานนับเดือน ปล่อยแม่ให้ทุรนทุรายติดต่อลูกชายไม่ได้ แม่ร้อนรนทนไม่ไหว ได้รับการช่วยเหลือจากองค์การโทรศัพท์และสถานทูตไทยตามหาหอพักใหม่ลูกชายที่ย้ายเงียบไม่บอกแม่ เมื่อได้พิกัดก็บินลัดฟ้าไปเคาะประตูเรียกหน้าห้อง เห็นสภาพลูกรักแปลงร่างกลายเป็นจอมมารบูในห้องหับที่รกดั่งนรกหลังโดนระเบิดปรามาณู

แม่ยังใจดีสู้เสือ แงะลูกออกจากหน้าจอพาเที่ยวสก็อตแลนด์ แต่เผลอเป็นหลบมาเล่นเกมต่อเพราะหนุ่มน้อยบอก “เข้าขั้นหลอน” หลับตาเห็นแต่เมนูเกมและตัวละครที่ตะวัดนิ้วเรียกชวนกลับให้ไปเล่น

สุดท้ายแม่ยอมทิ้ง 10 ล้านที่ส่งลูกเรียนไปและ “เอาลูกกลับไทย” โดยไม่ยอมให้เรียนอีกต่อไป ใครรู้ก็แอบเสียดายอนาคต หนุ่มน้อยเคี้ยงกลับเมืองไทยแบบมึน ๆ ไปอยู่กินนอนอังกฤษตั้งหลายปี สุดท้ายได้แค่วุฒิ High School (รู้งี้ออกมาเล่นเกมซะตั้งแต่แรก..ฮา)

สัมภาษณ์มาถึงตรงนี้อารมณ์คุณแม่ขึ้นมาก โกรธเกลียดเกมแบบชนิดถ้ารู้ว่าผมจัดงาน Thailand Game Show มา 8 ครั้ง ท่านคงไล่ตะเพิดผมออกจากบ้านเดี๋ยวนั้นแน่นอน
ผมพยายามนำเสนออีกมุมว่าการติดเกมยังไงก็ดีกว่าติดยาเสพติดหรือการพนัน แต่คุณแม่ท่านยืนยันเสียงกร้าวว่าผลร้ายที่ครอบครัวเขาได้รับมันแย่ยิ่งกว่า เลยต้องขอฟังต่อซักหน่อย…

สรุปเคี้ยงติดเกมเข้าขั้นระดับที่จิตแพทย์วินิจฉัยว่า “ป่วย” ครับ เขาถลำเข้าไปแบบโงหัวไม่ขึ้นและละทิ้งทุกอย่างรวมถึงความสามารถในการจัดการด้านอารมณ์ถึงขั้นจะกระโดดตึกตาย ตัวเขาเองเล่าอาการว่าชีวิตช่วงนั้นมันมึน ๆ จำแก่นสารไม่ได้เลย ครั้งหนึ่งคุณพ่อเคยพยายามดึงตัวให้กลับบ้าน ปรากฏแกหงุดหงิดระดับพีคสุดสลัดพ่อซะกระเด็นหงายเงิบถึงขั้นต้องไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาล

แต่บ้านนี้เขาเข้าใจโลกตรงที่ “กล้าไปหาจิตแพทย์” ครับ.. คนไทยส่วนใหญ่มักปฏิเสธการหาหมอด้านนี้เพราะกลัวคนจะมองว่าป่วยเป็นโรคจิต .. ด้วยความที่คุณแม่เธอมีกัลยานมิตรเยอะและเป็นคนระลึกบุญคุณคนเสมอ จึงได้หมอดี คำแนะนำดี ๆ จนก้าวพ้นเรื่องนี้มาได้ โดยสรุปเป็นข้อๆให้พ่อแม่ท่านอื่น ๆ ท่องจำได้ดังนี้

  1. เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น อย่าเอาลูกออกห่างตัว : ความคิดเรื่องส่งลูกไปเรียนต่อเมืองนอกแต่เล็ก ๆ เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ควรให้จบ ป.ตรี เสียก่อนค่อยไป ไม่มีอะไรสาย
  2. เมื่อลูกกลายเป็นเด็กมีปัญหา ให้เอาลูกกลับมาไว้กับตัว : อย่าไปเสียดายเงินทองที่ส่งเสียไป ถ้ามัวเสียดายลูกอาจตายหรือไม่ก็กู่ไม่กลับ
  3. กล้าเดินหน้าไปหาจิตแพทย์เพื่อให้รู้วิธีดีลกับสถานการณ์ : จะจัดการเรื่องนี้บางทีความรู้ตนเองไม่พอก็ให้ผู้ที่ศึกษาร่ำเรียนมาเขาบอกก็ได้ผลดีกว่า
  4. มีปัญหาครอบครัวให้หมั่นปรึกษากันทั้งครอบครัว : ก็มันเรื่องของครอบครัวเรานี่เน๊อะ พ่อกับแม่เล่าว่านอนจับมือปรึกษากันทุกคืน โรแมนติกชะมัด 🙂

และสิ่งสัมฤทธิ์ที่สุดคือ “ใช้ความรัก” มนุษย์เราถูกออกแบบมาให้รักอยู่แล้วครับ พ่อแม่ลูก บอกรักกันได้ไม่ต้องอายปาก … จุดเลี้ยวกลับของเคี้ยงคือในนาทีที่ตนเองกำลังจะโดดตึกลงมาจากชั้น 10 (หลังทำรีเสิร์ชมาอย่างดีว่าตนเองจะตายที่ไหน) พ่อโทรศัพท์เข้ามาพอดีและพูดคำที่ไม่เคยเอ่ยออกจากปากพ่อสไตล์จีนคือ “พ่อรักลูกนะ” .. คำ ๆ นี้เปลี่ยนหลังเท้ากลับมาเป็นหน้ามือครับ!
เคี้ยงคิดได้ และกลับกลายเป็นเด็กดีของครบครัวอีกครั้งหลังป่วยเป็นโรคติดเกมอยู่ 7 ปีเต็ม ๆ

ปัจจุบันเคี้ยงรับบทบาทเป็นวิทยากรในนาม “โค้ชเคี้ยง ผอมด้วยใจ” (ค้นได้จาก Facebook) นำประสบการณ์ดิ่งสู่ก้นเหวมาสร้างแรงกระตุ้นให้เยาวชนเปลี่ยนแปลงตนเองและสร้างเป้าหมายชีวิต

ดีใจด้วยที่แฮปปี้เอนดิ้งครับ…

จากเด็กติดเกมตลับ Famicom (อาการหนักน้อยกว่าเย๊อะ~)

หนุ่ยรู้โลกรู้ #100 เขียนให้พ่อแม่อ่านดีกว่าเขียนให้ลูกคุณติดเกม

ขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก