เมื่อพูดถึงตลาดเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่อดีตมาจนถึงตอนนี้ เราคงจะคิดถึงประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับต้น ๆ เพราะแม้ประชากรชาวญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วอาจจะน้อยกว่ามาก แต่กำลังการบริโภคจับจ่ายของคนในประเทศนี้ก็สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเฉพาะเรื่องราวของวิดีโอเกมที่ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นเบอร์ต้น ๆ ในการผลิตเกมดี ๆ ออกมาสู่ตลาด รวมถึงคนที่ซื้อเกมมาเล่นก็เยอะกว่าหลายประเทศรวมกันเสียอีก จนบางทีเราก็คิดไปเองว่าคนญี่ปุ่นนั้นสามารถเล่นเกมได้ทุกแนวชอบเกมทุกแบบ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยเพราะคนญี่ปุ่นเองก็มีการเลือกเล่นเลือกชอบเหมือนเรา และมีหลายเกมที่ตัวเกมมีเนื้อหาระบบการเล่นที่คนญี่ปุ่นหลายคนไม่ชอบ เราจึงไปรวบรวมเกมเหล่านั้นมาให้อ่านกัน โดยอ้างอิงจากบทความของนักเขียนชาวญี่ปุ่นที่รวบรวมเอาไว้ จะมีเกมอะไรที่คนญี่ปุ่นรู้สึกสิ้นหวังตอนเล่นบ้างมาดูพร้อมกันเลย

หมายเหตุ. เนื้อหาในบทความเป็นเพียงความคิดบางส่วนของคนญี่ปุ่น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

Sekiro Shadows Die Twice

Sekiro Shadows Die Twice

เริ่มต้นเกมแรกที่ชาวญี่ปุ่นมองว่ามันคือเกมที่เล่นแล้วทำให้รู้สึกสิ้นหวังเป็นอันดับต้น ๆ นั้นคือเกม ‘Sekiro Shadows Die Twice’ เกมแนวแอ็กชันเดินหน้าฆ่าแหลก กับการรับบทเป็นอดีตนินจาไร้นาย ที่มีภารกิจช่วยนายน้อยจากการถูกซามูไรจับไป เพราะเลือดของเด็กชายจะเป็นกุญแจในการสร้างกองทัพอมตะ ซึ่งเราที่เป็นนินจากึ่งซามูไรต้องใช้ทักษะที่มีในการต่อสู้กับศัตรูเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งความสิ้นหวังที่คนเล่นเกมชาวญี่ปุ่นได้รับไม่ใช่เนื้อเรื่องของเกม แต่เป็นระบบของเกมที่ยากจนชนิดที่ว่ามือใหม่หรือคนที่ไม่พร้อมจะไม่สามารถเล่นเกมนี้ได้  เพราะแค่ทหารยามธรรมดาที่เราเจอตัวแรกในเกม ก็สามารถฆ่าเราตายได้ด้วยการฟันไม่กี่ดาบ  แถมระบบเกมก็เน้นการป้องกันที่ต้องกดปุ่มให้ตรงจังหวะที่ศัตรูโจมตีมา ซึ่งมันยากถึงยากมาก ๆ พอตายต้องไปเริ่มจากจุดกองไฟล่าสุดที่เราได้ทำไว้ จนหลายคนรู้สึกท้อเพราะขนาดลูกน้องยังยากขนาดนี้หัวหน้าจะยากขนาดไหน ใครที่คิดอยากท้าทายก็ลองดูได้ตัวเกมมีวางจำหน่ายทั้งบน ‘PC’ และ ‘PlayStation 4’

Sekiro Shadows Die Twice

Resident Evil 1 Remake

Resident Evil 1 Remake

คำจำกัดความของคนที่ได้ลองเกม ‘Resident Evil 1 Remake’ ครั้งแรกคือ “ความกลัว” เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่เคยเล่นเกม ‘Resident Evil’ มาแล้วตั้งแต่สมัยเครื่อง ‘PlayStation 1’ หรือเพิ่งเคยเล่นเกมนี้ครั้งแรก ต่างต้องรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เห็นในเกมนี้  เพราะทุกอย่างที่เราเคยคิดและกลัวทั้งหมดผู้สร้างได้ใส่อยู่ในเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่แคบ ทางเดินที่มีแสงสลัว สถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคย มุมกล้องที่ตายตัว ไปจนถึงเสียงที่ร้องมาไกล ๆ ของอะไรก็ไม่รู้ มันคือความรู้สึกกดดันของคนที่ชอบความหลอนสยองขวัญ แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบแต่อยากลองเล่นมันคือความท้าทายที่ทำให้หลายคนยอมแพ้กันมาแล้ว เพราะนอกจากความน่ากลัวของฉากกราฟิกแล้ว ระบบการเล่นของเกมก็ค่อนข้างยาก เพราะศัตรูที่เจอนั้นจะอึดถึกตายยาก แถมปริศนาในเกมก็ค่อยข้างซับซ้อน ยิ่งเมื่อคุณไม่มีกระสุนแต่เจอศัตรูตรงหน้ามันยิ่งบีบคั้นคุณจนต้องถามตัวเองว่าเรามานั่งเล่นเกมนี้ให้ตัวเองเครียดไปทำไมเลยทีเดียว และถ้าคุณรอดจากภาคนี้ไปได้เราก็ขอแนะนำความหลอนคูณสองของเกม ‘Resident Evil 0’ ต่อเลย หลังจากนั้นคุณก็จะรู้ตัวเองว่าจะเป็นแฟนเกมนี้ต่อไปหรือจะเลิกเล่นมันตรงนี้ ก็วัดจาก 2 ภาคนี้นั่นเอง

Resident Evil 1 Remake

Undertale

Undertale

เกมที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นเกมที่มีกราฟิกสวย ขอแค่เกมนั้นเล่นสนุกเนื้อเรื่องดีเพียงเท่านี้ก็เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมได้ แต่เกมที่ดีที่มาพร้อมกับความยากมันก็ดูไม่ค่อยเข้ากัน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกม ‘Undertale’ เกมแนว RPG ที่เราจะได้รับบทเป็นเด็กน้อยที่หลงมายังโลกใต้ดินที่เต็มไปด้วยปีศาจ ตัวเกมจะไม่เน้นความรุนแรงแต่จะมีเนื้อหาที่ลึกซึ้งกินใจกับระบบการเล่นที่จะไม่ใช่การต่อสู้แต่จะเป็นการแข่ง ‘Mini Game’ แบบต่าง ๆ แทนการต่อสู้ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ดีแต่มันก็มาพร้อมความยาก โดยชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งบอกว่าเขาใช้เวลาเกือบครึ่งปีเพื่อผ่านบอสตัวสุดท้ายของเกม ซึ่งเขาไม่สามารถรอดจากการโจมตีครั้งสุดท้ายได้ของบอสตัวนี้ไปได้ นี่ยังไม่นับความพยายามในการผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ที่ใช้เวลากว่า 3 สัปดาห์กับการแพ้แล้วแพ้อีกเกินกว่า 300 ครั้ง แต่ถ้าถามว่าเกมนี้ดีไหมก็บอกเลยว่าดี แต่ถามว่ายากไหมเพื่อจะไปสู้กับหัวหน้าตัวสุดท้ายของเกมบอกเลยว่ายากสุด ๆ

Undertale

Ghosts ‘n Goblins

Ghosts 'n Goblins

ว่ากันว่าเกมเก่าในอดีตนั้นจะค่อนข้างยากจนถึงยากมาก ๆ ก็เพื่อให้คนเล่นเกมสามารถอยู่กับเกมนั้น ๆ  ให้นานที่สุด แต่บ้างครั้งความยากที่มากเกินไปก็ทำให้คนเล่นเกมในยุคนั้นเลิกเล่น  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกม ‘Ghosts ‘n Goblins’ หรือเกมที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักในชื่อ ‘Makaimura’ เกมแอ็กชันเดินหน้าไปเรื่อย ๆ เพื่อไปช่วยเจ้าหญิงที่ถูกปีศาจจับไป ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกม ‘Ghosts ‘n Goblins’ ชวนทำให้ชาวญี่ปุ่นรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังตอนเล่นคือตัวระบบเกมที่ควบคุมยาก แถมด้วยระบบการบันทึกเกมในยุคนั้นที่ยังไม่ทันสมัยเท่าตอนนี้ การตายในเกมนี้มันจึงหมายถึงการเริ่มเล่นใหม่ตั้งแต่ต้นฉาก เรียกว่าไม่มีความปราณีต่อผู้เล่นเลยโดยเฉพาะเจ้า ‘Red Arremers’ ศัตรูตัวร้ายที่ไม่ว่าคุณจะเตรียมตัวมาดีขนาดไหนก็เตรียมตัวตายได้เมื่อเจอกับมันในเกม (และเมื่อตายก็ไปเริ่มต้นใหม่) ใครที่สนใจก็ลองไปหามาเล่นดูเพราะตอนนี้ตัวเกมได้ทำฉบับใหม่มาให้เล่นกับเพื่อนได้ด้วย ไม่รู้ว่าจะง่ายขึ้นหรือทำให้ยากขึ้นก็ลองไปหามาเล่นดูได้

Ghosts 'n Goblins

(อ่านต่อหน้า 2)

Alien Isolation

Alien Isolation

ไม่ใช่แค่ชาวญี่ปุ่นแต่เป็นทั่วโลกที่ได้เล่นเกม ‘Alien Isolation’ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเกมนี้ค่อนข้างโหดกับคนเล่น แถมยังพกพาความน่ากลัวหลอนสยองขวัญแบบในภาพยนตร์ยุคปลาย 80s ถึงต้น 90s ได้เป็นอย่างดี แม้เราจะรู้ว่าสิ่งที่ต้องเจอนั้นมันคือตัว ‘Xenomorph’ เอเลี่ยนที่มีเลือดเป็นกรดเพียงตัวเดียว แถมหน้าตาของมันก็ไม่ได้น่ากลัวจนขนหัวลุก แต่ด้วยบรรยากาศของเกมความมืดและความไม่รู้ จึงทำให้เกมนี้ไปติดอันดับเกมที่คนญี่ปุ่นรู้สึกสิ้นหวังตอนเล่น เพราะด้วยระบบ AI ของตัวศัตรูที่มันจะมีความคิดมีชีวิตเป็นเหมือนสัตว์นักล่าที่ไม่ใช่ระบบตายตัวแบบเกมในอดีต เราจึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้เจ้าสัตว์ประหลาดนั้นอยู่ตรงไหน และมันจะมาหาเราเมื่อใดที่ไหนก็ได้ในเกม ซึ่งไม่ใช่แต่เจ้าสัตว์ประหลาดเท่านั้นที่เป็นศัตรู แต่เรายังมีพวกหุ่นที่เกิดความผิดพลาดจนมาทำร้ายเรา รวมถึงกลุ่มโจรที่มายึดยานด้วย เรียกว่าทุกอย่างสุ่มรวมมาให้เราเอาชีวิตรอดชนิดที่ไม่ปราณีคนเล่น ที่จนถึงตอนนี้เกมขายไปได้หลักล้านแต่คนที่เล่นเกมนี้จบกลับไม่ถึงแสนคนด้วยซ้ำ เท่านี้ก็เป็นคำตอบแล้วว่าเกมนี้โหดรึไม่

Alien Isolation

Yu-Gi-Oh! Forbidden Memories

Yu-Gi-Oh! Forbidden Memories

ว่ากันว่าสิ่งที่มนุษย์เราหวาดกลัวมากที่สุดแต่เรากลับคิดถึงมันน้อยที่สุด นั่นคือ “ความไม่รู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า” เหมือนที่เกม ‘Yu-Gi-Oh! Forbidden Memories’ ทำกับผู้เล่น กับสิ่งที่เรียกว่าความไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเล่นเกม เพราะถ้าใครที่เคยเล่นเกม ‘Yu-Gi-Oh!’ ภาคนี้มาแล้วจะทราบเลยว่าความไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมันเป็นได้ทั้งความสนุกและความสิ้นหวังไปพร้อม ๆ กัน โดยเกม ‘Yu-Gi-Oh! Forbidden Memories’ นี้เราจะได้เล่นการ์ด ‘Yu-Gi-Oh!’ เหมือนเกมภาคอื่น ๆ ปกติ แต่ความพิเศษของเกมนี้คือระบบรวมร่างโดยที่ไม่ต้องใช้การ์ดรวมร่าง เพียงแค่เรามีการ์ดตัวละคร 2 ตัวก็สามารถเอามารวมร่างเป็นมอนสเตอร์ตัวใหม่ได้แล้ว ซึ่งเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าการ์ดใบนี้จะผสมกับตัวนี้ได้ไหม และถ้าผสมได้จะเป็นมอนสเตอร์ตัวไหนแบบใด นั่นคือสิ่งที่น่าชวนให้สนุกและอยากเลิกเล่น เพราะแฟนเกม ‘Yu-Gi-Oh!’ ต่างพากันสาปส่งเกมนี้เพราะมันทำลายทุกกฎของเกมการ์ดไปจนหมด ยิ่งชาวญี่ปุ่นที่เป็นแฟนการ์ด ‘Yu-Gi-Oh!’ คงไม่แปลกใจที่จะสิ้นหวังกับเกมภาคนี้

Yu-Gi-Oh! Forbidden Memories

Dark Souls Remaster

Dark Souls Remaster

ต่อเนื่องมาจากเกม ‘Sekiro Shadows Die Twice’ กับความยากที่ชวนสิ้นหวังที่กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของการ Remaster  ใหม่ในเกม ‘Dark Souls’ เกมที่เสียงแตกออกไป 2 ทางที่บอกว่าเกมนี้จะยากในช่วงแรก ๆ เท่านั้น แต่พอเล่นไปได้ไกล ๆ เกมก็จะง่ายขึ้น กับอีกเสียงที่ร้องโอดครวญว่ามันง่ายตรงไหนมันยากเสมอต้นเสมอปลาย จนทำเอาเล่นไม่จบได้เลยทีเดียว และเสียงเหล่านั้นก็มาจากประเทศญี่ปุ่นที่เป็นต้นกำเนิดเกมยากชวนเลิกเล่นซีรีส์นี้ โดยเฉพาะหัวหน้าประจำด่านอย่าง ‘Ornstein’ และ ‘Smough’ ที่ตัวเดียวก็ยากจนแทบเลิกเล่นอยู่แล้ว แต่ในฉากนี้เราจะต้องสู้กับศัตรูระดับหัวหน้าถึงสองตัวพร้อมกัน  แถมหลายครั้งการตายในเกมนี้ก็มาจากความผิดพลาดของคนเล่นเองที่ประมาทเลินเล่อระหว่างเล่น เรียกว่าต้องใช้สมาธิในการเข้าถึงระดับเดียวกับ ‘Sekiro Shadows Die Twice’ เลยทีเดียว ใครมี ‘PlayStation 5’ ก็ไปหามาเล่นดูแล้วคุณจะรู้เลยว่าตัวเองจะไปอยู่ฝั่งไหนของเกมนี้

Dark Souls Remaster

The Legend of Zelda Majora’s Mask

The Legend of Zelda Majora's Mask

เครียด กดดัน ลุ้นระทึก รีบเร่ง นั่นคือคำจำกัดความของเกม ‘The Legend of Zelda Majora’s Mask’ เกมภาคต่อระดับตำนานที่นักเล่นเกมฝั่ง ‘Nintendo’ ชื่นชมอย่าง ‘The Legend of Zelda Ocarina of Time’ ที่คราวนี้เรื่องราวจะสานต่อแต่เปลี่ยนแนวมาเป็นการเดินทางย้อนเวลาเพื่อแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่พระจันทร์จะพุ่งมาชนโลกในเวลา 3 วัน ซึ่งสิ่งที่ผู้เล่นต้องทำนั่นคือการเร่งรีบแก้ไขปริศนารีบเดินรีบวิ่ง ที่ตัวเกมจะมีนาฬิกาที่คอยกดดันเราตลอดเวลาตอนเล่น แถมการย้อนเวลากลับไปช่วง 3 วันก่อนเกิดเหตุก็จะลดเวลาการย้อนกลับทุกครั้ง นั่นก็หมายความว่าตัวเกมจะมีพื้นที่ในการผิดพลาดน้อยมาก จนคุณจะไม่มีเวลาทำอะไรที่นอกเรื่องเลยแม้แต่อย่างเดียว แถมปริศนาด่านก็ยากและยาวจนชวนให้คนเล่นรู้สึกท้อแท้ แต่ถ้าถามว่าสนุกไหมบอกเลยว่าสนุก ใครมีเครื่อง ‘Nintendo 3DS’ ก็ลองไปหามาเล่นได้ แต่ก่อนจะเล่นภาคนี้ก็ไปเล่นภาค ‘Ocarina of Time’ ก่อนถ้าสนุกถ้าชอบคุณค่อยมาเล่นภาค ‘Majora’s Mask’ เพราะมันไม่ง่ายสำหรับมือใหม่ที่เริ่มครั้งแรกอย่างที่หลายคนคิด

The Legend of Zelda Majora's Mask

Fatal Frame II Crimson Butterfly

Fatal Frame II Crimson Butterfly

เชื่อว่าหลายคนที่ได้เล่นเกมสาวน้อยถ่ายรูปสู้ผีคงจะรู้จักเกมในซีรีส์นี้ในชื่อ ‘Project Zero’ มากกว่าชื่อ ‘Fatal Frame’ แต่นักเล่นเกมในยุค ‘PlayStation 2’ จะคุ้นกับชื่อภาษาญี่ปุ่นอย่าง ‘Fatal Frame’ มากกว่า โดยเฉพาะภาคที่ 2 ของซีรีส์อย่าง ‘Fatal Frame II Crimson Butterfly’ ก็เป็นภาคที่ดีที่สุดในซีรีส์ที่หลายคนทั้งต่างหลงรักและหวาดกลัวเกมนี้ไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นที่หลายคนต่างลงความเห็นว่าเกมนี้เป็นเกมที่น่ากลัวชวนหลอนมาก ๆ เพราะพื้นฐานของผีในเกมนี้ก็มาจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น เหมือนที่เราได้เจอผีไทยในเกม ‘Home Sweet Home’ จึงไม่น่าแปลกอะไรที่คนญี่ปุ่นจะกลัวเกมภาคนี้มากกว่าภาคอื่น ๆ เพราะในภาค ‘Crimson Butterfly’ จะไม่ได้อยู่แค่ในสถานที่ปิดแบบภาคอื่น แต่เกมนี้เราจะได้เดินในหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่อิงความจริงและใกล้เคียงกับหมู่บ้านจริง ๆ ในญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเกมภาคนี้จะทำให้คนญี่ปุ่นหวาดกลัวสิ้นหวังตอนเล่นเกมภาคนี้

Fatal Frame II Crimson Butterfly

The Last of Us Part II

The Last of Us Part II

ปิดท้ายกับเกมที่ชาวญี่ปุ่นเล่นแล้วชวนสิ้นหวัง จะเป็นเกมอะไรไปไม่ได้นอกจากเกมที่ทิ้งความหวังของคนเล่นเกมตั้งแต่ต้นเกมกับ ‘The Last of Us Part II’ ที่ในภาคแรกนั้นตัวเกมเต็มอิ่มไปด้วยความหวัง การปกป้อง และความรัก แต่ในภาค 2 ของเกมกลับทำตรงข้ามทุกอย่าง ทั้งการทำลายความฝัน ความหวัง และทำลายสิ่งยึดเหนี่ยวของตัวละครรวมถึงผู้เล่น จนนักเล่นเกมชาวญี่ปุ่นและชาวโลกที่ได้เล่นเกมนี้ต่างคิดเหมือน ๆ กันว่าผู้พัฒนาเกมนี้ใจร้ายมาก ๆ ที่ทำกับคนเล่นเกมและตัวละครในเกมขนาดนี้ ส่วนใครที่ไม่เคยเล่นเกมซีรีส์ ‘The Last of Us’ จะเป็นแนวเอาชีวิตรอดที่เราต้องทำภารกิจในการเดินทางไปที่ต่าง ๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้หัวเห็ด และมนุษย์ที่คอยดักปล้นฆ่ากันเอง ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วไม่เคยเล่นก็แนะนำให้ไปหา ‘The Last of Us’ ภาคแรกมาเล่นก่อน แล้วคุณจะรู้สึกเต็มอิ่มสุขใจกับเกมภาคนี้ และคุณจะรู้สึกสิ้นหวังทันทีเมื่อมาเล่นในภาคที่ 2 ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นคุณจะรู้เลยว่าตัวเองจะยู่ฝั่งไหนของเกม ระหว่างฝ่ายที่เข้าใจตัวละครที่ทำลงไปและให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น  หรือรู้สึกเกลียดโกรธแค้นในสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่ให้อภัยในสิ่งที่ตัวละครทำ ซึ่งชาวญี่ปุ่นและคนเล่นทั่วโลกส่วนมากก็อยู่ฝ่ายไม่ให้อภัยกัน ตัวเกมภาค 2 มีซับภาษาไทยด้วยสำหรับคนที่ยังไม่ทราบ

The Last of Us Part II

ก็จบกันไปแล้วกับ 10 เกมที่ผู้เล่นเกมชาวญี่ปุ่นรู้สึกสิ้นหวังตอนเล่นเกมเหล่านี้ ซึ่งเราต้องขอย้ำอีกครั้งว่าเกมที่เราเอามานำเสนอในบทความนี้ ไม่ใช่แบบสำรวจที่เป็นทางการของชาวญี่ปุ่น แต่เป็นเพียงความเห็นจากชาวญี่ปุ่นที่พูดคุยและแสดงความเห็นออกมา จนเราได้ไปขอหยิบยืมความเห็นและรายชื่อเกมเหล่านั้นมานำเสนอ เพื่อให้หลายคนได้ทราบว่าในประเทศญี่ปุ่นเองก็ใช่ว่าจะเล่นเกมได้ทุกแนวทุกแบบเหมือนในบ้านเรา และนี่ก็คือมุมมองที่เรายังไม่ทราบมาก่อน ถือว่าเป็นการเปิดมุมมองใหม่ก็ได้ ส่วนใครที่อ่านแล้วอยากเล่นเกมไหนในบทความนี้ก็ลองไปจัดกันได้ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมคนญี่ปุ่นเขาถึงรู้สึกสิ้นหวังกับเกมเหล่านี้กัน

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส