วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5 กรอบวงเงิน รวม 21,200 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 26.5 ล้านคน ระยะเวลาดำเนินการ 4 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยให้ประชาชนใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2565

โครงการคนละครึ่ง เฟส 5 นั้น ภาครัฐร่วมชำระค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการทั่วไป รวมถึงบริการขนส่งสาธารณะที่กำหนด ในอัตรา 50% แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 800 บาทต่อคนตลอดโครงการฯ

นอกจากนี้ ภาครัฐยังร่วมชำระค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการทั่วไปจากร้านที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนเงินในส่วนค่าอาหาร และ/หรือเครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมค่าจัดส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งประชาชนที่ได้รับสิทธิ

สำหรับสินค้าและบริการที่ไม่เข้าร่วมโครงการฯ นั้น ได้แก่ สลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกำนัลบัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า

คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 นั้น ต้องเป็นประชาชนสัญชาติไทย อายุ 18 ปี ขึ้นไป มีบัตรประชาชน ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือไม่ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ต้องการช่วยเหลือพิเศษ 

สำหรับประชาชนผู้ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 ต้องยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 และใช้สิทธิครั้งแรก ภายในวันที่ 14 กันยายน 2565 หรือภายในระยะเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด

ในส่วนของประชาชนทั่วไปจะต้องใช้สิทธิ โครงการคนละครึ่ง เฟส 5 เป็นครั้งแรก ภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้รับข้อความผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือข้อความ SMS แจ้งยืนยันสิทธิ หรือตามระยะเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด

ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินสนับสนุนที่ภาครัฐร่วมจ่ายตามโครงการดังกล่าวนี้ด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การดำเนินโครงการฯ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานรากอย่างต่อเนื่อง เพิ่มอุปสงค์ในการบริโภค กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ เกิดการลงทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้กับประชาชนในสถานการณ์ที่ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าจะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพิ่มเติม 42,400 ล้านบาท และ GDP ขยายตัวร้อยละ 0.12 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการฯ”

ที่มา : สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี