นักลงทุนหลายคนคงกำลังตั้งคำถามถึงการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ในบ้านเราที่ผ่านมาจะครบเดือนแล้ว แต่ทำไมตลาดหุ้นไทยยังไม่ก้าวไกลไปไหนเสียที? เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 ดัชนี SET ปิดตลาดที่ 1,564.35 จุด ก่อนการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม

เช้าวันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2566 ตลาดหุ้นไทยกลับมาเปิดทำการซื้อขายอีกครั้งหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น โดยดัชนี SET ขึ้นมาให้ชื่นใจแค่ชั่วครู่ ก่อนจะร่วงกราวลงตลอดวันทำการ จนมาปิดตลาดที่ 1,541.38 จุด ลดลง 19.97 จุด และหลังจากนั้นตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยลงไปต่ำสุดที่ 1,491.12 จุด

ทั้งนี้ ภายหลังการเลือกตั้งดัชนี SET เคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวนตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยเฉพาะจากประเด็นการเมือง ทำให้ภาพรวมดัชนีในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมายังคงติดลบ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเป็นกลุ่มที่เทขายออกมามากสุด โดยระหว่างวันที่ 15 – 31 พฤษภาคม 2566 นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิ 28,193.73 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30%

โดยกลุ่มที่ถูกเทขายออกมาหนักที่สุดคือ ‘หุ้นโรงไฟฟ้า’ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลใหม่ที่ได้หาเสียงเอาไว้ เช่น การลดค่าไฟฟ้า, การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และการเปิดเสรีหลังคาโซลาร์

ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานที่เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้าให้ลดลงถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น GULF, PTT, BCP, SPRC, RATCH และ BGRIM โดยเฉพาะหุ้น GULF ที่โดนแรงกระแทกมากกว่าเพื่อน ทั้งจากนโยบายลดค่าไฟฟ้า และประเด็นที่รัฐให้สัมปทานก่อตั้งโรงไฟฟ้าเอกชนมากเกินความจำเป็น รวมไปถึงนโยบายทลายทุนผูกขาด

โดยวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม ซึ่งวันทำการซื้อขายสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ราคาหุ้น GULF ปิดตลาดที่ 52.50 บาท และต่อมาในเช้าวันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันทำการซื้อขายแรกหลังการเลือกตั้ง ราคาก็รูดลงมาปิดที่ 48 บาท ลดลง 9.37%

ราคาของหุ้น GULF ลงไปต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ที่ระดับ 46.50 บาท ระหว่างการซื้อขายเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม และล่าสุดวันที่ 2 มิถุนายน ราคาปิดที่ 47 บาท ซึ่งหากนับจากวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม ราคาของหุ้น GULF ปรับตัวลงแล้ว 11.70%

ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของ GULF ได้ทยอยเข้าเก็บหุ้นระหว่างวันที่ 17 – 19 พฤษภาคม เป็นจำนวนรวม 17.09 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 817.74 ล้านบาท แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ช่วยประคองราคาหุ้น GULF ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แม้หุ้น GULF จะถูกเทขายออกมาอย่างหนัก ในทางกลับกันนักลงทุนบางส่วนก็มองเห็นโอกาสเข้าซื้อ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็เห็นสอดคล้องว่า ราคาหุ้น GULF ปรับตัวลงสู่ระดับแนวต้านสำคัญและเป็นจังหวะที่เข้าลงทุนได้ 

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่การจัดตั้งรัฐบาลยังไม่เสร็จเรียบร้อย คาดว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยไปอีกระยะ โดยนักลงทุนยังคงจับตาการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง, การโหวตนายกรัฐมนตรี รวมถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำที่อาจทำให้ต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น

จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้าจึงยังมีความผันผวนสูง ซึ่งถึงตอนนี้ดัชนีก็ยังไม่สามารถกลับไปยืนที่จุดเดิมก่อนการเลือกตั้งได้เลย แม้ไทม์ไลน์ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะกำหนดไว้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ แต่ความรู้สึกของนักลงทุนกลับรู้สึกว่า แต่ละ “ก้าว” ยังอีก “ไกล” กว่าจะได้เห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส