เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ศูนย์การแพทย์ ลอสแองเจลิส ได้รายงานว่า ทางศูนย์ได้รักษาผู้ป่วยชายวัย 66 ปี จนหายขาดจาก HIV ไวรัสต้นเหตุโรค AIDS ด้วยวิธีการเปลี่ยนถ่ายสเต็มเซลล์ นับเป็นผู้ป่วยรายที่ 5 ที่หายขาดจาก HIV และนับเป็นผู้ป่วยที่มีอายุมากที่สุดที่ได้รับการรักษาจนหายขาด แต่ผู้ป่วยรายนี้ยังต้องอยู่ในกระบวนการรักษาต่อไปในระยะยาว

ทางศูนย์การแพทย์ไม่ขอเปิดเผยชื่อผู้ป่วยรายนี้ แต่ตั้งฉายาให้เขาว่า “City of Hope patient” ทางศูนย์ได้เล่าประวัติคร่าว ๆ ของผู้ป่วยรายนี้ว่าเขาตรวจพบอาการ ‘ภูมิคุ้มกันบกพร่อง’ มาตั้งแต่ปี 1988
“ตอนที่ผมได้รับการวินิจฉัยว่าพบเชื้อ HIV เมื่อปี 1988 ความรู้สึกตอนนั้นของผมก็เหมือนกับอีกหลาย ๆ คนล่ะครับ ผมคิดว่าผมต้องตายแน่ ๆ แล้ว”

เดชะบุญที่ 1 ปีก่อนหน้านั้น ในเดือนมีนาคม 1987 องค์การอาหาและยาของสหรัฐฯ (FDA) ได้รับรองยาต้านไวรัสชื่อ azidothymidine (AZT) ซึ่งผู้ป่วย City of Hope ก็รับยา AZT ต่อเนื่องมาตลอด 31 ปี เพื่อควบคุมอาการจาก HIV แล้วก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้หลายทศวรรษ จนถึงปี 2018 เขาก็ตรวจพบอาการแทรกซ้อนว่าป่วยเป็นโรค ‘มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน’ (acute myelogenous leukemia) ทางแพทย์จึงตัดสินใจใช้วิธีการรักษาทั้ง มะเร็งเม็ดเลือดขาว และ HIV ไปพร้อมกันด้วยการเปลี่ยนถ่ายสเต็มเซลล์ ที่ได้รับบริจาคจากผู้ใจบุญ ที่มียีนกลายพันธุ์ชนิดหายาก มีชื่อเรียกยีนชนิดนี้ว่่า CCR5 delta 32 ผู้ที่มียีนกลายพันธุ์นี้จะมีภูมิต้านทานต่อไวรัส HIV ยีนนี้จะไปทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนช่องทางที่ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายมาทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว

หลังได้รับการเปลี่ยนถ่ายสเต็มเซลล์แล้ว เซลล์ที่มีภาวะต่อต้านไวรัส HIV ก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการมาสร้างระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้ใหม่ ในเดือนมีนาคม 2021 ภายใต้การดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดของทีมแพทย์ ผู้ป่วย City of Hope ก็ไม่ต้องรับประทานยา AZT อีกต่อไป จวบจนถึงวันนี้ ผู้ป่วย City of Hope ก็ไม่แสดงอาการใด ๆ ว่ามีไวรัส HIV หลงเหลืออยู่ในร่างกายเขาอีกเลย

ทีมแพทย์ยังยืนยันว่า ผู้ป่วย City of Hope ยังคงต้องได้รับการฟื้นฟูสภาวะร่างกายในระยะยาวอยู่ดี แม้ว่าจะไม่มีร่องรอยไวรัสในระบบภูมิคุ้มกันของเขาต่อเนื่องมา 17 เดือนแล้วก็ตาม แต่ทีมแพทย์ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามอาการของเขาอย่างใกล้ชิดอีกต่อไป ถ้าอาการเขายังคงเสถียรแบบนี้ จึงจะประกาศว่าผู้ป่วย City of Hope “หายขาด” จากไวรัส HIV อย่างเป็นทางการ

ที่มา