เสน่ห์ที่น่าสนใจของภาพยนตร์ ‘Barbie’ ไม่ใช่เพียงแค่การเป็นหนังไลฟ์แอ็กชันที่ถ่ายทอดเรื่องราวของของเล่นเด็กหญิงในตำนานอย่างตุ๊กตาบาร์บี้ให้มีชีวิตขึ้นมาเท่านั้น แต่ ผู้กำกับและผู้เขียนบทร่วมอย่าง เกรต้า เกอร์วิก (Greta Gerwig) ยังได้สอดแทรกเรื่องราววัฒนธรรมที่เป็น Easter Egg ในหนังเอาไว้มากมาย ทั้งภาพยนตร์ที่ถูกนำมาอ้างอิง รวมทั้งการหยิบเอาประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดของตุ๊กตาบาร์บี้ และบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง แมตเทล (Mattel) มาใส่เอาไว้เต็มไปหมด และนี่คือส่วนหนึ่งของ Easter Egg ที่ปรากฏอยู่ในหนังเรื่องนี้
คำเตือน: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาและบทสรุปของภาพยนตร์ ‘Barbie’
ภาพยนตร์
‘2001: A Space Odyssey’ (1968)
![2001 A Space Odyssey](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/2001-A-Space-Odyssey-1024x576.jpg)
ซีนแรกของตัวหนังเริ่มต้นด้วยฉากการยั่วล้อซีนแรกของหนังไซไฟดิสโทเปียในตำนานอย่าง ‘2001: A Space Odyssey’ (1968) หนึ่งในผลงานเอกของผู้กำกับ สแตนลีย์ คูบริก (Stanley Kubrick) ซึ่งฉากที่มีชื่อเรียกว่า ‘The Dawn of Man’ หรือฉาก ‘จุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ’ นี้ ในต้นฉบับจะเป็นฉากที่เหล่าวานรในยุคโบราณก่อนการกำเนิดของมนุษย์ ได้ค้นพบแท่งหินสีดำประหลาดตั้งอยู่กลางทะเลทราย ลิงเหล่านั้นจึงได้เริ่มต้นวิวัฒนาการตัวมันเองจนเป็นมนุษยชาตินับตั้งแต่นั้น
ส่วนในหนัง ‘Barbie’ ลิงเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยเด็กหญิงที่เล่นตุ๊กตาเด็กทารก ก่อนที่จะได้พบกับ บาร์บี้ (มาร์โกต์ ร็อบบี – Margot Robbie) ในภาพลักษณ์เดียวกับบาร์บี้เวอร์ชันแรกสุดที่เปิดตัวในปี 1959 โดยสวมชุดว่ายน้ำวันพีซลายแถบขาวดำ รองเท้าส้นสูงสีดำ แว่นกันแดดทรงวินเทจกรอบสีขาว และต่างหูห่วงสีทอง เด็กหญิงยุคเก่าเหล่านั้นได้พบกับบาร์บี้ ซึ่งเปรียบเสมือนความก้าวหน้าทางวิวัฒนาการระหว่างเด็กหญิงกับของเล่นรูปแบบใหม่ไปตลอดกาล
‘Clueless’ (1995)
![Clueless](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Clueless-1024x576.jpg)
บาร์บี้เริ่มต้นชีวิตในบ้าน หรือ Barbie Dreamhouse ของตัวเองในทุก ๆ วันด้วยการตื่นนอน อาบน้ำทิพย์ และแต่งตัวทิพย์ในตู้เสื้อผ้าสีชมพูที่มีเครื่องแต่งกายครบชุดในบ้านที่ไม่มีผนัง กำแพง หน้าต่าง ที่สื่อถึงความไร้ความลับ และไร้เดียงสาในโลกของบาร์บี้
ร็อบบีได้เปิดเผยว่า ตู้เสื้อผ้าสุดเก๋ไก๋นี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากตู้เสื้อผ้า และระบบลองชุดด้วยคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในคฤหาสน์ของ แชร์ ฮอโรวิตซ์ คุณหนูสุดคูลจาก ‘Clueless’ (1995) หนังวัยรุ่นสุดฮิตยุค 90s นอกจากนี้หากสังเกตให้ดี ๆ จะพบว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และบรรดา Accessories ของบาร์บี้ทุกชิ้นล้วนเป็นแบรนด์ Chanel แทบทุกชิ้น เพราะเนื่องจากร็อบบีเป็น Brand Ambassador ของแบรนด์มาตั้งแต่ปี 2018 แจ็กเกอลีน เดอร์แรน (Jacqueline Durran) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย จึงได้ออกแบบชุดบาร์บี้แบรนด์ Chanel ขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ
‘The Wizard of Oz’ (1939)
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-8.jpg)
หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังผจญภัยสุดคลาสสิก ‘The Wizard of Oz’ โดยเฉพาะเวอร์ชันที่ฉายในปี 1939 ที่ถือเป็นเวอร์ชันที่โด่งดังที่สุดตอนที่ออกฉายเมื่อ 84 ปีที่แล้ว แรงบันดาลใจที่เห็นได้ชัดก็คือฉากของบาร์บี้แลนด์ ที่ใช้วิธีการสร้างฉากขึ้นมาจริง ๆ โดยมีฉากหลังที่เกิดจากการวาดขึ้นด้วยมือโดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกแต่อย่างใด
รวมทั้งฉากที่บาร์บี้นั่งรถผ่านถนนสีชมพูผ่านทุ่งดอกไม้ ก็ชวนให้นึกถึงถนนสีเหลืองผ่านทุ่งดอกป๊อปปี้ที่อยู่ใน ‘The Wizard of Oz’ รวมทั้งโครงเรื่องของหนูน้อยโดโรธี ที่ต้องเดินทางไปหาพ่อมดแห่งออซ ก็เหมือนกับเรื่องราวของบาร์บี้ที่ต้องออกไปผจญภัยในโลกจริงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ช็อตที่บาร์บี้นั่งรถผ่านโรงภาพยนตร์ในบาร์บี้แลนด์ ก็จะเห็นโปสเตอร์ของตัวละครหลักจาก ‘The Wizard of Oz’ ติดอยู่ที่หน้าโรงด้วยเช่นกัน
‘The Godfather’ (1972)
![The Godfather](https://assets.beartai.com/uploads/2020/10/GODFATHER-696x348-1.jpg)
หลังจากที่เคน (ไรอัน กอสลิง – Ryan Gosling) ได้เรียนรู้การปกครองแบบปิตาธิปไตยจากโลกจริง เขาได้นำเอามาปรับใช้และยึดครองบาร์บี้แลนด์เพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็น Kendom เปลี่ยนบ้านของบาร์บี้ตามมาตรฐานให้กลายเป็น Mojo Dojo Casa House บาร์บี้และเหล่าผองเพื่อน รวมทั้งเพื่อนจากโลกจริงได้แฝงตัวเข้าไปเรียกร้องความสนใจจากบรรดาเคน ๆ ทั้งหลาย หนึ่งในนั้นก็คือ เคน (คิงสลีย์ เบน-อาดีร์ – Kingsley Ben-Adir) ซึ่งได้แนะนำให้บาร์บี้รู้จักหนังมาเฟียอาชญากรรมสุดคลาสสิก ‘The Godfather’ (1972) ในระหว่างที่นั่งคุยกันหน้าจอโทรทัศน์
‘Pride and Prejudice’ (1995)
![Pride and Prejudice](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Pride-and-Prejudice-1024x576.jpg)
หลังจากที่เดินทางไปยังโลกจริง และได้พบกับความจริงบางอย่างที่สั่นสะเทือนความเชื่อของตัวเอง เธอได้เดินทางไปหา เวียร์ด บาร์บี้ (เคต แม็กคินนอน – Kate McKinnon) เพื่อค้นหาสาเหตุแห่งอาการเศร้าสร้อยของเธอที่ดูผิดจากบาร์บี้ปกติ ระหว่างนั้น หนังตัดเข้าโฆษณาปลอม ๆ ของบาร์บี้รุ่นใหม่ ‘Depression Barbie’ หรือบาร์บี้เวอร์ชันซึมเศร้า ที่มีบุคลิกถอดแบบมาจากคนที่กำลังสิ้นหวัง เช่น นั่งไถ Instagram 7 ชั่วโมง เจอภาพถ่ายชีวิตดี ๆ ของเพื่อนที่ห่างเหินกำลังจัดงานหมั้น และนั่งดูละครทีวี ‘Pride and Prejudice’ ฉบับปี 1995 ของ BBC ที่แสดงนำโดย คอลิน เฟิร์ธ (Colin Firth) ซึ่งในหนังจะเห็นซีนสั้น ๆ จากละครด้วย
‘The Matrix’ (1999)
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-1.jpg)
อีกซีนที่อ้างอิงมาใช้แบบเต็ม ๆ และเรียกเสียงฮาได้อย่างดีก็คือ ฉากที่บาร์บี้ได้เข้าไปขอคำปรึกษาจาก เวียร์ด บาร์บี้ (Weird Barbie) หลังจากที่พบความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของตัวเอง ทั้งความรู้สึกร้อนหนาว เท้าแบน และมีเซลลูไลต์ที่ต้นขา เวียร์ด บาร์บี้ ได้ให้คำแนะนำให้บาร์บี้ออกไปเผชิญกับความเป็นจริงในโลกจริง โดยมีสัญลักษณ์คือรองเท้า 2 คู่ ระหว่างรองเท้าส้นสูงสีชมพู ที่หมายถึงการเลือกที่จะอยู่ในโลกแฟนตาซีต่อไป กับรองเท้าแตะ Birkenstocks สีน้ำตาล ที่สื่อถึงโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นฉากที่จงใจล้อเลียนฉากที่มอร์เฟียสได้ยื่นเม็ดยาสีแดง และสีน้ำเงินให้นีโอเลือกใน ‘The Matrix’ ภาคแรก แต่ความต่างมันอยู่ที่ นีโอเลือกยาเม็ดสีแดง แต่บาร์บี้ชอบรองเท้าสีชมพู
‘Rocky’ (1976)
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-3.jpg)
อีก Easter Egg ที่ซ่อนเอาไว้แบบเนียน ๆ ก็คือ ชุดเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวของเคน (ไรอัน กอสลิง) สวมใส่หลังจากที่ได้เผยแพร่การปกครองแบบปิตาธิปไตยในเคนดอม โดยเคนเลือกสวมใส่ชุดนี้เพราะประทับใจบทบาทนักมวย ร็อกกี้ บัลบัว ที่แสดงโดย ซิลเวสเตอร์ สโตอลโลน (Sylvester Stallone) ในหนัง ‘Rocky’ ที่เคยสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวในแบบเดียวกัน
‘The Shining’ (1980)
![the-shining](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/the-shining.jpg)
อีก Easter Egg จากหนังของคูบริกที่ใส่มาแบบแอบ ๆ ไว้อย่างแนบเนียนก็คือ ฉากที่บาร์บี้ได้เจอกับ กลอเรีย (อเมริกา เฟอร์เรรา – America Ferrera) พนักงานบริษัทแมทเทล อดีตเด็กหญิงผู้มีความผูกพันกับบาร์บี้ในโลกจริงเป็นครั้งแรก ทั้งคู่เกิดความสนิทสนมเข้าขากันอย่างรวดเร็วทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก จนทำให้ ซาชา (อาเรียนา กรีนแบลตต์ – Ariana Greenblatt) ลูกสาววัยรุ่นของกลอเรียถามแม่ของเธอแบบจิก ๆ ว่า “แม่มี Shining กับบาร์บี้หรือเปล่าเนี่ย ? ” ซึ่ง Shining ที่ว่าก็หมายถึงญาณที่เป็นความสามารถวิเศษในการสัมผัสดวงวิญญาณ ในแบบเดียวกับที่ แดนนี ลูกชายของแจ็กมีอยู่ในหนังสยองขวัญระดับตำนาน ‘The Shining’
‘Zack Snyder’s Justice League’ (2021)
![](https://assets.beartai.com/uploads/2019/01/justice-league-1024x544.jpg)
อีกฉากเรียกเสียงฮาที่เซอร์ไพรส์สุด ๆ ก็คือ ฉากที่ บาร์บี้นักเขียน (อเล็กซานดรา ชิปป์ – Alexandra Shipp) ได้กล่าวขึ้นหลังจากที่เหล่าบาร์บี้สามารถปลดแอกอำนาจปิตาธิปไตย และยืดคืนบาร์บี้แลนด์กลับมาได้สำเร็จ เหล่าบาร์บี้รู้สึกราวกับว่าเป็นอิสระจากการถูกล้างสมอง เธอได้กล่าวกับเพื่อน ๆ บาร์บี้ของเธอว่า “มันเหมือนกับว่าฉันถูกปลุกจากความฝันตอนที่ฉันกำลังดู ‘Zack Snyder’s Justice League’ อยู่เลย” ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า นี่คือหนังรวมทีมซูเปอร์ฮีโรของ DC ภายใต้ชายคา Warner Bros. ซึ่งเป็นเวอร์ชัน Director’s Cut ของ ‘Justice League’ เวอร์ชันแรกที่ออกฉายในปี 2017
‘Singin’ in the Rain’ (1952) และ ‘Grease’ (1978)
![Grease](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Greased-Lightnin.jpg)
หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ‘Barbie’ โดยเฉพาะฉากบาร์บี้แลนด์ จะให้ความรู้สึกที่อ้างอิงจากบรรดาหนังฮอลลีวูดยุคทอง โดยเฉพาะฉากที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีต และฉากหลังท้องฟ้าที่เขียนขึ้นด้วยมือ ซึ่งหลายคนอาจชวนให้ถึงหนังยุคเก่า ๆ ฉากเวทีดนตรีในอดีต หรืออาจนึกถึงฉากกึ่งจริงกึ่งปลอมในหนัง ‘The Truman Show’ (1998) รวมทั้งวิธีการนำเสนอเรื่องราวที่มีความเหนือจริง
โดยเฉพาะฉากที่บรรดาเหล่าเคนกำลังต่อสู้บนชายหาด ก่อนจะเปลี่ยนฉากเป็นสีพาสเทล ซึ่งอาจชวนให้นึกถึงฉากเต้นรำ “Broadway Melody” ของ จีน เคลลี (Gene Kelly) และ ซิด ชาริสส์ (Cyd Charisse) ใน ‘Singin’ in the Rain’ (1952) นอกจากนี้ จังหวะการเต้นแบบปะทะกันแบบแมน ๆ ของเหล่าเคน รวมทั้งการแต่งชุดสีดำล้วนก็ชวนให้นึกถึงฉาก “Greased Lightnin'” ของ จอห์น ทราโวลตา (John Travolta) ในหนัง ‘Grease’ (1978) ได้เช่นกัน
‘Playtime’ (1967)
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-2.jpg)
หลังจากที่บาร์บี้ถูกเชิญตัวเข้าไปยังตึกสำนักงานของบริษัท Mattel ในแคลิฟอร์เนีย (โลกจริง) บาร์บี้จึงได้มีโอกาสพบเห็นสำนักงานบริษัทที่ให้กำเนิดตัวเธอเป็นครั้งแรก และยังเป็นที่ทำงานของ ซีอีโอแมทเทล (วิล เฟอร์เรล – Will Ferrell) และ แอรอน ดิงกินส์ (คอนเนอร์ สวินเดลล์ส – Connor Swindells) พนักงานของบริษัทด้วย ออฟฟิศของ Mattel ถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นพาร์ทิชันสี่เหลี่ยมขนาดเท่า ๆ กันที่เรียงกันอย่างสมมาตร ให้อารมณ์แข็งกระด้างและดูหม่นหมอง พาร์ทิชันสี่เหลี่ยมนี้มีความคล้ายคลึงกับตึกสำนักงานในปารีส จากหนังตลกเหนือจริงสุดคลาสสิก ‘Playtime’ (1967) ที่กำกับและแสดงนำโดยนักแสดงตลกตำนาน ฌาร์ก ตาติ (Jacques Tati)
‘Gotta Kick It Up!’ (2002)
![Gotta Kick It Up!](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Gotta-Kick-It-Up-1024x576.jpg)
ในฉากสุดท้ายของหนัง กลอเรียและซาชาได้พา บาร์บารา แฮนด์เลอร์ หรือบาร์บี้ในร่างมนุษย์ขึ้นรถของเธอเอง โดยมีสามีของเธอเป็นคนขับรถ ในระหว่างนั้น สามีของกลอเรียที่กำลังหัดพูดภาษาสเปนเบื้องต้นด้วยการพูดคำว่า “¡Sí se puede!” ที่แปลว่า “เราทำได้!” (Yes, We Can!) ซึ่งประโยคนี้สื่อไปถึงหนังทีวีแนววัยรุ่นของ Disney เรื่อง ‘Gotta Kick It Up!’ ที่เกี่ยวกับเรื่องของชมรมเชียร์ลีดเดอร์ในโรงเรียนมัธยม โดยทีมเชียร์ลีดเดอร์จะพูดว่า “¡Sí se puede!” ในระหว่างบูมเชียร์ ซึ่ง อเมริกา เฟอร์เรรา ผู้รับบทกลอเรีย ก็เป็นหนึ่งในนักแสดงของหนังเรื่องนั้นด้วย นอกจากนี้ สามีของกลอเรีย เจ้าของประโยคนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ ไรอัน เพียรส์ วิลเลียมส์ (Ryan Piers Williams) สามีในชีวิตจริงของเฟอร์เรรานั่นเอง
ประวัติศาสตร์ตุ๊กตาบาร์บี้ และบริษัท Mattel
แบรตซ์ (Bratz)
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-7.jpg)
ในฉากที่บาร์บี้ในชุดคาวบอยได้พบกับเด็กหญิงวัยมัธยมที่กำลังนั่งจับกลุ่มอยู่ในโรงเรียน ซึ่งพวกเธอได้พูดความจริงบางอย่างที่โหดร้าย จนทำให้บาร์บี้รู้สึกสะเทือนใจ ซึ่งเด็กหญิงทั้ง 4 คนมีชื่อว่า ซาชา (Sasha), โคลอี (Cloe) จัสมิน (Yasmin) และ เจด (Jade) ซึ่งชื่อเล่นของพวกเธอนั้นตั้งตามชื่อคาแรกเตอร์ของตุ๊กตาที่มีชื่อว่า แบรตซ์ (Bratz) ตุ๊กตาหัวโตลุคเฉี่ยวที่ Mattel วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2001 และเสมือนเป็นคู่แข่งของบาร์บี้แบบกลาย ๆ
แทนเนอร์ (Tanner)
![barbie and Tanner](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/230721111457-barbie-and-tanner-dog-file-1024x576.jpg)
นอกจากบรรดาสมาชิกบาร์บี้ที่อ้างอิงจากตุ๊กตาคอลเล็กชันที่ไม่ได้ผลิตต่อแล้ว ก็ยังมีตุ๊กตาสัตว์ด้วย นั่นก็คือหุ่นน้องหมาที่ปรากฏในบ้านของ เวียร์ด บาร์บี้ ที่อ้างอิงมาจากตุ๊กตาน้องหมา สัตว์เลี้ยงของบาร์บี้ที่มีชื่อว่า แทนเนอร์ (Tanner) ในคอลเล็กชัน ‘Barbie and Tanner’ ซึ่งมีจุดเด่นคือ สามารถอ้าปาก คาบกระดูกได้ ป้อนอาหารได้ และขับถ่ายออกมาเป็นก้อนที่มีแม่เหล็ก ที่สามารถใช้ที่ตักแม่เหล็กเก็บกวาดได้ด้วย แต่สุดท้ายของเล่นนี้ถูก Mattel เรียกเก็บคืนในปี 2007 เนื่องจากพบชิ้นส่วนแม่เหล็กหลุดออกมา และเสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็กได้
มิดจ์ (Midge)
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-10.jpg)
ในขณะที่บาร์บี้คนอื่น ๆ ล้วนแต่มีชื่อว่าบาร์บี้ แต่มีบาร์บี้ตัวหนึ่งมีชื่อว่า มิดจ์ (Midge) ที่แสดงโดย เอมเมอรัลด์ เฟนเนลล์ (Emerald Fennell) จุดเด่นของมิดจ์คือ เป็นตุ๊กตาบาร์บี้ตั้งครรภ์ ผมยาวสีแดง ใบหน้าตกกระ มีแฟนชื่อว่า อลัน (Alan) เปิดตัวครั้งแรกในปี 1963 และกลายเป็นที่ถกเถียงของผู้ปกครองบางส่วนถึงความเหมาะสม ที่มองว่ามิดจ์ดูเด็กเกินกว่าที่จะตั้งครรภ์ ก่อนจะมีการอัปเดตประวัติของมิดจ์ให้เป็นสาวโสด ยังไม่ตั้งครรภ์ ยังไม่แต่งงาน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับอลันในปี 2013
อลัน (Alan)
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-9.jpg)
ในบรรดาตัวละครชายที่ล้วนแล้วแต่รับบทเป็นเคน มีตัวละครชายตัวเดียวในบาร์บี้แลนด์ที่ไม่ได้มีชื่อว่าเคน ซึ่งนั่นก็คือ อลัน หรือ อัลลัน (Allan) รับบทโดย ไมเคิล เซรา (Michael Cera) ซึ่งอัลลันเปิดตัวครั้งแรกในปี 1964 ถูกวางคาแรกเตอร์ให้เป็นเพื่อนสนิทของเคน แต่ที่ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร จึงโดนยกเลิกการจำหน่ายไปในปี 1966 ก่อนจะกลับมาในบทบาทแฟนของมิดจ์ พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นอลันในปี 1991 ในระยะเวลาหนึ่ง และนำมาจำหน่ายในคอลเล็กชันพิเศษในวาระต่าง ๆ ในภายหลังแทน
‘Video Girl Barbie’
![Video Girl Barbie](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Video-Girl-Barbie-1024x576.jpg)
อีกหนึ่งคอลเล็กชันบาร์บี้ที่เลิกผลิตและอาศัยอยู่ในบ้านของ เวียร์ด บาร์บี้ นั่นก็คือ วิดีโอเกิร์ล บาร์บี้ (Video Girl Barbie) ที่วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 2010 ความพิเศษของบาร์บี้เวอร์ชันนี้คือสามารถใช้เป็นกล้องถ่ายวิดีโอสั้น ๆ ได้ โดยจะมีเลนส์ฝังอยู่ในสร้อยคอ และมีจอ LCD สีที่สามารถดูวิดีโอได้ที่ด้านหลัง ตัวกล้องสามารถบันทึกคลิปวิดีโอสั้น ๆ ได้ 30 นาที และมีซอฟต์แวร์สำหรับตกแต่งภาพได้ในตัว แต่สุดท้ายก็จำต้องเลิกผลิตไป หลังจากที่ FBI ออกหนังสือเตือนว่า Video Girl สามารถเป็นหลักฐานในการบังคับใช้กฏหมาย รวมถึงยังมีประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัยด้วย
‘Earring Magic Ken’
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-5.jpg)
หลังจากที่ตุ๊กตาเคนเวอร์ชันแรกวางขายในปี 1961 ต่อมาในปี 1993 ก็มีการปล่อยตุ๊กตาเคนในเวอร์ชันอัปเกรดรูปแบบใหม่ให้ดูเท่กว่าเดิม เคนเวอร์ชันนี้จะเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อตาข่าย สวมทับแจ็กเก็ตสีม่วง สวมสร้อยคอสีเงิน และมีจุดเด่นคือ เจาะหูที่ข้างซ้ายข้างเดียว โชคไม่ดี ที่ตุ๊กตาเคนเวอร์ชันเจาะหูนั้นไม่ได้รับความนิยม เพราะในยุคนั้นโดนวิจารณ์ว่ามีความดูล่อแหลมในเชิงรักร่วมเพศ ทำให้ตุ๊กตาตัวนี้ถูกเรียกคืนหลังจากจำหน่ายไปได้เพียงแค่ 6 เดือน Earring Magic Ken ในหนังแสดงโดย ทอม สตอร์ตัน (Tom Stourton) ปรากฏตัวคู่กับ Sugar Daddy Ken
‘Sugar Daddy Ken’
![Sugar Daddy Ken](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Sugar-Daddy-Ken-1024x576.jpg)
อีกหนึ่งคอลเล็กชันตุ๊กตาเคนที่ปรากฏในหนัง แสดงโดย ร็อบ ไบรดอน (Rob Brydon) โดยเคนในรูปลักษณ์ผมสีบลอนด์ทอง ใส่ชุดเบลเซอร์สีเขียว กระดุมสีชมพู สแล็กจับจีบสีขาว มาพร้อมกับลูกสุนัขสีขาวที่มีปลอกคอและสายจูงสีชมพู Sugar Daddy Ken ที่ Mattel ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของบาร์บี้ในปี 2009 ซึ่งด้วยความที่ชื่อมีความล่อแหลม Mattel จึงต้องออกแถลงการณ์ว่าชื่อดังกล่าวมีที่มาจากลูกสุนัขพันธ์ุ West Highland Terrier ที่ถูกตั้งชื่อว่า ชูการ์ (Sugar) ซึ่งชื่อ Sugar Daddy Ken หมายความว่า เคนคือพ่อ (Daddy) ของเจ้าชูการ์
‘Growing Up Skipper’
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-4.jpg)
ในหนัง กลอเรียได้เปิดเผยว่าเธอเองมีตุ๊กตาบาร์บี้อีกเวอร์ชัน นั่นก็คือ สคิปเปอร์ (Skipper) ซึ่งสคิปเปอร์ ถูกวางให้มีคาแรกเตอร์เป็นน้องสาวของบาร์บี้ และวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1964 จนกระทั่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบอีกครั้งในปี 1975 ในชื่อ ‘Growing Up Skipper’ โดยมีกลไกพิเศษคือ เมื่อยกแขนขึ้น ความสูงของตุ๊กตาจะสูงเพิ่มขึ้น 1 นิ้ว และหน้าอกจะพองเพิ่มขนาดขึ้น ซึ่งภายหลังโดนโจมตีเนื่องจากถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ทางเพศ จนทำให้ได้รับความนิยมน้อยลง และได้รับการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ในเวลาต่อมา
เท้าแบน
![](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Margot-Robbie-Barbie-2.jpg)
ในโลกของบาร์บี้แลนด์ บาร์บี้และเคนทุกตัวล้วนไม่มีปัญหาเกี่ยวกับร่างกายใด ๆ แต่ในฉากแรก บาร์บี้เริ่มค้นพบว่าต้วเองค่อย ๆ มีชีวิตเปลี่ยนไป สิ่งแรกที่พบเจอก็คือ อาการเท้าแบน ที่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงในบาร์บี้แลนด์ เพราะจะทำให้ใส่รองเท้าส้นสูงไม่ได้อีก ซึ่งนี่เป็นการอ้างอิงจากลักษณะกายภาพของบาร์บี้ที่มักจะมีฝ่าเท้าโค้งเพื่อให้สามารถเปลี่ยนรองเท้าส้นสูงได้ และเป็นตัวบ่งบอกถึงความงามสมบูรณ์แบบตามอุดมคติ บาร์บี้เท้าแบนจึงเป็นต้นกำเนิดที่ทำให้บาร์บี้เดินทางไปยังโลกจริงเพื่อค้นหาสาเหตุของความงามที่เริ่มผิดปกติในตัวเธอเอง โดยฉากถอดรองเท้าส้นสูงนี้ ร็อบบีได้แสดงโดยใช้เท้าของตัวเอง โดยไม่พึ่งนักแสดงแทนหรือใช้ CG ใด ๆ ทั้งสิ้น
รูธ แฮนด์เลอร์ (Ruth Handler)
![Barbie Greta Gerwig Margot Robbie Mattel](https://assets.beartai.com/uploads/2023/07/Barbie-Greta-Gerwig-Margot-Robbie-Mattel-6.jpg)
รูธ แฮนด์เลอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Mattel ร่วมกับสามี เอลเลียต แฮนด์เลอร์ (Elliot Handler) และผู้ให้กำเนิดตุ๊กตาบาร์บี้ ได้ถูกอ้างอิงในหนังด้วย โดย เรีย เพิร์ลแมน (Rhea Perlman) รับบทเป็นวิญญาณของ รูธ แฮนด์เลอร์ ที่อยู่ในซอกลับ ๆ ในอาคารสำนักงานของ Mattel บาร์บี้ได้มีโอกาสพบกับเธอครั้งแรกตอนที่เธอกำลังหลบหนีการควบคุมตัวของซีอีโอบริษัท Mattel (วิล เฟอร์เรล – Will Ferrell) และเหล่าพนักงาน
และในตอนท้ายเรื่อง รูธได้เล่าให้บาร์บี้ฟังว่า ชื่อของเธอมีที่มาจาก บาร์บารา แฮนด์เลอร์ (Barbara Handler) บุตรสาวของเธอเอง ก่อนที่บาร์บี้จะตัดสินใจเป็นมนุษย์ในภายหลัง (ส่วนฉากหญิงชราอ่านหนังสือพิมพ์ที่ปรากฏในตอนต้นเรื่องไม่ใช่บาร์บารา แต่เป็น แอน รอธ (Ann Roth) นักออกแบบเครื่องแต่งกายฮอลลีวูดเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ต่างหาก)
รูธ แฮนด์เลอร์ ได้ให้กำเนิดตุ๊กตาบาร์บี้ในปี 1959 และร่วมกับสามีของเธอเพื่อก่อตั้งบริษัท Mattel ขึ้นมา และดำรงตำแหน่ง CEO คนแรก ก่อนที่เธอและสามีจะโดนบีบให้ลาออกในปี 1975 เนื่องจากเธอโดนฟ้องร้องข้อหาฉ้อโกงจากการแจ้งบัญชีอันเป็นเท็จ ซึ่งมุกเกี่ยวกับภาษีที่เธอพูดกับบาร์บี้ก็อิงมาจากคดีความนี้ด้วย ในเวลาต่อมา รูธเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ เมื่อวันที่ 27 เมษายน ปี 2002 ในวัย 85 ปี
ที่มา: Total Film, Buzzfeed, People, Insider
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส