![[รีวิว] SAMSON แซมซั่น โคตรคนจอมพลัง – อีพิกจากคัมภีร์..เหมือนพี่สร้างช้าไป 50 ปี](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2019/04/5f95991371ef8034f12c3ad9e12ac503-780x414.jpg)
Our score
5.6SAMSON
จุดเด่น
- หนังเล่าเรื่องในคัมภีร์ฮิบรูผสานแฟนตาซีทำให้ติดตามเรื่องได้ง่าย
- มีฉากอภินิหารเยอะ ผู้ชมที่ชอบหนังแบบเฮอร์คิวลิสอาจถูกใจจุดนี้
จุดสังเกต
- หนังสร้างตัวละครได้แบนทุกตัว
- ตัวแซมซั่นเองไม่ชวนให้เอาใจช่วยเท่าไหร่
- ตรรกะพังๆของเหตุการณ์จากคัมภีร์ทำให้เรื่องราวดูขาดเหตุผล
-
คุณภาพงานสร้าง
6.0
-
ตรรกะความสมบูรณ์ของบทภาพยนตร์
5.0
-
ความแปลกใหม่
5.0
-
ความสนุก น่าประทับใจ
6.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
6.0

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex
แม้หน้าหนังของ SAMSON จะดูคล้ายคลึงกับหนังแนวเทพจอมพลังอย่าง เฮอร์คิวลิส มาก แต่ความจริงแล้วพลอตเรื่องได้เอามาจาก คัมภีร์ไบเบิลของชาวฮิบรู ที่กล่าวถึง แซมซัน ตุลาการในยุคอิสราเอลโบราณซึ่งถูกอ้างถึงในส่วนของบุ๊คออฟจัดจ์ (Book of Judge) ซึ่งเคยมีหนัง Samson and Delilah (1949) ที่เคยดัดแปลงสู่จอภาพยนตร์โดยซีซีล บี เดอมิลล์ มาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งหนังเวอร์ชั่นนี้ก็ดูจะดึงเอาเหตุการณ์หลายส่วนมาจากคัมภีร์ไม่น้อยทั้งการฉีกปากสิงโต กินน้ำผึ้งจากซี่โครงสิงโต สังหารทหาร 30 นาย แต่โดยภาพรวมคือการทำให้ภาพลักษณ์ของแซมซั่นดูเป็นซูเปอร์ฮีโร่มากกว่าบุคคลในประวัติศาสตร์ ซึ่งข้อดีสำคัญเท่าที่สังเกตได้เลยคือเรื่องราวอภินิหารต่างๆทำให้เราดูเรื่องราวเชิงศาสนาได้อย่างเพลิดเพลินเหมือนซีรีส์โคแนนทางทีวีสมัยก่อน ซึ่งด้วยคุณภาพโปรดักชั่นในปัจจุบันก็เอื้อเฟื้อให้ภาพจินตนาการถูกรังสรรค์ได้ง่ายขึ้นมากด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิก แต่ปัญหาสำคัญกลับไปตกที่บทภาพยนตร์ การสร้างตัวละคร และงานกำกับของหนังแทน
ปัญหาสำคัญของบทหนัง SAMSON คือการต้องร้อยเรียงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตแซมซั่นที่ถูกกล่าวอ้างในคัมภีร์ให้ได้ครบถ้วนและเสริมแต่งเรื่องราวให้มีสีสันมากขึ้น แต่ไอ้ที่ใส่เพิ่มเข้ามากลับไม่ได้ช่วยให้เรารู้จักแซมซั่นนัก มิหนำซ้ำเหตุการณ์จากคัมภีร์เองก็ยังดูไม่มีตรรกะมากพอ เราเลยได้เห็นแซมซั่น ตัดสินใจพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า หลายเหตุการณ์เข้าขั้นโง่บัดซบแบบต้องกุมขมับเลยล่ะ ตั้งแต่การหลงรักผู้หญิงฟีลิสตีนที่เป็นทาสรับใช้เจ้าชายชั่ว ตัวเองก็ดันไปตกหลุมแผนของเจ้าชายทั้งที่รู้ว่าเป็นคนชั่วขนาดไหนแบบไม่เอะใจเลยเหรอ มิหนำซ้ำตอนท้ายเรื่องที่แซมซั่นไปหลงรัก เมียของเจ้าชายก็ไม่เอะใจอีกว่านางอยู่ตอนเมียคนแรกตาย เรียกได้ว่าตกม้าตายเพราะความหื่นแท้ๆเลย 555
ส่วนการสร้างตัวละครในหนัง SAMSON เรียกได้ว่าแบนสนิท ตั้งแต่แซมซั่นเองที่เราก็ไม่ได้เห็นด้านที่ฉลาดหรือเป็นผู้นำสักนิดนอกจากความหื่นและพละกำลังมหาศาลแล้ว เราเลยไม่มีอะไรให้เอาใจช่วยพระเอกคนนี้ซักเท่าไหร่ ยิ่งตัวเจ้าชายราลลาห์เนี่ย โห..คือชั่วแบบบริสุทธิ์ ทั้งเรื่องหวังแต่จะเคลมบัลลังก์พ่อ รีดนาทาเร้นกับชาวฮิบรู แถมคิดแต่จะกำจัดแซมซั่นทั้งเรื่อง สงสัยทีมบทน่าจะยึดละครหลังข่าวบ้านเราเป็นต้นแบบการเขียนบทซะหละมั้ง?
และในเมื่อบทจอดสนิท งานกำกับเองก็พลอยมีปัญหาไปด้วยเพราะบรูซ แมคโดนัลด์กับเกเบรียล เซบลอฟ ไม่สามารถคุมจังหวะหนังได้เลย มีหลายช่วงที่หนังเล่าไปแบบไม่มีทิศทางและขัดขากันเอง ฉากหนึ่งเป็นฉากรักหวานซึ้ง อีกฉากตัดไปให้เห็นความชั่วของเจ้าชาย ราลลาห์ แล้วก็ตัดมาเล่าฉากรักหวานซึ้งของคู่เดิมอีก จนเห็นเลยว่าส่วนโรแมนติกกลายเป็นส่วนเกิน ยิ่งการพยายามจะปูภาพลักษณ์หนุ่มโรแมนติกสุดหล่อให้ เทย์เลอร์ เจมส์ ในบทแซมซั่นที่หน้าผมเสื้อผ้าดูพังยับ แทนที่คนดูจะได้เคลิ้มกลับขำแทนซะงั้น หรือการกำกับฉากแอ็คชั่นที่ไม่ได้มีความสมจริงแต่อย่างใด แถมยังดูสับสน ชวนมึน แถมยังลากยาวจนดูน่าหัวเราะอีก แล้วพอตัดสลับไปเล่าฉากดราม่าก็ไม่ได้ชวนให้เกิดอารมณ์ร่วมแต่อย่างใด จนมันกลายเป็นแค่หนังศาสนาที่เอาแอ็คชั่นแฟนตาซีมาบังหน้าเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าหนังสร้างตามหลังหนังอย่าง Ben-Hur ฉบับปี 1959 หรือพวกหนังอีพิกยุคสตูดิโอรุ่งเรืองหนังอาจประสบความสำเร็จก็ได้นะ แต่เอ๊ะ! นั่นมัน 50 กว่าปีแล้วนี่หว่า
ทีนี้มากันที่ เทย์เลอร์ เจมส์ ผู้รับบทแซมซั่น จากที่หาผลงานที่ผ่านมาแล้วก็พบว่า เขาคือนักแสดงตัวประกอบอดทนอย่างแท้จริงเรียกได้ว่านับผลงานที่มีชื่อตัวละครของเขาได้น้อยมาก ซึ่งถ้าหากหนัง SAMSON ได้รับการตอบรับที่ดีอาจทำให้ เทย์เลอร์ เจมส์ ได้รับโอกาสดีๆได้แน่นอน แต่ขอโทษเถอะบทมนุษย์จอมพลังในปัจจุบันนี่แจ้งเกิดดาราได้น้อยมาก ขนาดบทเฮอร์คิวลิสยังไม่ทำให้ใครดังได้เลย แม้แต่มีเดอะร็อคเล่นหนังก็ยังแป๊กอ่ะ 555 เลยทำให้นี่อาจเป็นโอกาสได้รับบทนำครั้งสุดท้ายแล้วล่ะสำหรับบุรุษกล้ามใหญ่คนนี้ เพราะหนังแทบไม่ให้โอกาสเขาได้แสดงอย่างอื่นเลยนอกจากหน้าหื่นกับหน้าเหยเกตอนเบ่งพลัง ส่วนนักแสดงคนอื่นก็ยังถือว่าโนเนมมาก ที่สำคัญการได้เห็น บิลลี เซน ที่เคยรับบทเศรษฐีจาก Titanic (1997) มากลายเป็นคิงบวมเบียร์ก็ชวนให้อเนจอนาถใจหนักเข้าไปอีก