หลังจากเราถือใช้ iPhone 14 Pro ใช้มา 1 สัปดาห์ในอุณหภูมิไทย เราสรุปความเห็นได้ว่า ถ้าคุณใช้ iPhone 13 Pro อยู่แล้ว อย่าไปเสียเงินซื้อใหม่เลยครับ iPhone 14 Pro มันมีบางอย่างสู้รุ่นเก่าไม่ได้ ผมจะเล่าให้ฟังใน Beartai Original คลิปนี้ครับ

ดีไซน์

เริ่มต้นด้วยรูปร่างหน้าตาก่อนเลย ผมรวบรัดตัดความเลยว่าใกล้เคียงกับ iPhone 13 Pro มาก ๆ แตกต่างแค่ความสูงเครื่อง ที่ iPhone 14 Pro จะสูงกว่า 0.8 mm และกล้องหลังที่นูนมากขึ้นอีก 0.2 mm แถมตำแหน่งกล้องหลังเปลี่ยนไปอีกนิดหนึ่ง

คือคุณใช้เคสเดิมของ iPhone 13 Pro มาใส่ใน iPhone 14 Pro ไม่ได้ครับ ต่างจาก iPhone 14 ที่ใช้เคสของ iPhone 13 ได้นะ แน่นอนว่าเพิ่งเริ่มขาย iPhone 14 Pro ก็ต้องมี 4 สีก่อน แล้วเดี๋ยวกลางปีหน้าจะออกสีใหม่เป็นสีที่ 5 มากระตุ้นตลาดอีกทีตามสไตล์แอปเปิ้ล

4 สีในปีนี้คือ เงิน, ทอง, ดำ Space Black ที่ปรับเฉดให้เข้มกว่าสีกราไฟต์เดิมใน iPhone 13 Pro และสีใหม่เลยคือม่วง Deep Purple ตัวนี้ครับ คือเป็นม่วงที่เข้มมาก ให้ความรู้สึกสุขุม ก็สวยดีครับ

Dynamic Island

มาดูจุดเด่นที่สุดของ iPhone 14 Pro อย่าง Dynamic Island กันครับ เจ้ารูกล้องรูปเม็ดยา ที่แอปเปิ้ลเรียกเป็น Island หรือเกาะ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ผมจะเล่าให้ฟัง

เริ่มจากเรื่องดี ๆ ที่นับเป็นเกาะหรรษาก่อน คือมันก็สนุกจริงครับ กับความไดนามิกของมัน

เช่นใช้แอปฟังเพลง หรือ Youtube แล้วออกจากแอป ก็จะเห็นเป็นปกอัลบั้มเล็กๆ แล้วมีคลื่นเสียงเด้งๆ อยู่ หรือเวลาเปิด-ปิดโหมดสั่น ก็จะมาขึ้นตรงนี้ หรือเวลานำทางด้วย Apple Maps ก็จะชี้เส้นทางบนนี้ได้ หรือเวลาสายโทรเข้าออก ก็แสดงบนนี้ได้เช่นกัน

นอกจากนี้นักพัฒนาก็ยังสรรหาลูกเล่นใหม่ ๆ มาเล่นกับเจ้าเกาะหรรษานี้อีก เช่นมีสัตว์เลี้ยงเล็ก ๆ มาอยู่บนเกาะ นี้ของแอป Apollo for Reddits หรือใช้เกาะเป็นเป้าในการดีดลูกบอลของเกม Hit The Island ซึ่งก็คงมีแอปลักษณะนี้ออกมาเรื่อยๆ ครับ

ส่วนที่นับว่า Dynamic Island เป็นเกาะเกะกะ ผมเปิด Netflix กับเนื้อหาจอยาว ๆ อย่าง Living with yourself เทียบระหว่าง iPhone 13 Pro กับ iPhone 14 Pro ให้ดู

จะเห็นชัดเจนว่าในขนาดภาพที่แสดงบนจอเท่ากัน จอของ iPhone 14 Pro จะเห็นเจ้าเกาะเกะกะ ส่วน iPhone 13 Pro จะไม่เห็นรอยบาก นั้นก็เพราะว่าตำแหน่งของ Dynamic Island นั้นย้อยลงมาต่ำกว่ารอยบากเดิมครับ ซึ่งถ้าคุณเปิดเนื้อหาที่เป็นสัดส่วน 16:9 จะไม่เห็น แต่ถ้าเปิดหนังที่สัดส่วนยาวกว่า จะเห็นตามนี้ ผมเอามาเทียบชัดๆ เลยว่ามันเตี้ยกว่าเยอะเลย

ซึ่งเร็ว ๆ นี้ Netflix น่าจะปรับปรุงแอปให้รองรับเกาะเกะกะของ iPhone 14 Pro แต่ก็คงต้องลดขนาดการแสดงผลภาพเต็มลง เพื่อถมพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นสีดำไปครับ

ถ้ามองดูชัด ๆ แล้วรูเม็ดยาของ iPhone 14 Pro นั้นมีขนาดเล็กกว่าบากใน iPhone 13 Pro แต่แอปเปิ้ลยอมเว้นพื้นที่ด้านบนให้ห่างลงมาจากขอบเครื่อง เพื่อใส่ลูกเล่น Eye candy ของ Dynamic Island เข้าไปเป็นจุดขายให้คนทั่วโลกว้าวกัน

ซึ่งคงชั่งน้ำหนักมาแล้วว่าถ้าทำให้ชิดขอบข้างบนเหมือนเดิม มันก็เป็นแค่รอยบากใหม่ที่เล็กลง ไม่ได้ว้าวน่าซื้อเหมือนทำเป็น Dynamic Island แหม่ ฉลาดจริง ๆ

เฉพาะฉะนั้นถ้าคุณเป็นคนที่เน้นดูหนัง ดูเนื้อหาจอใหญ่ ๆ iPhone 13 Pro จึงดีกว่า iPhone 14 Pro ครับ จอ 120 Hz ทั้งคู่ด้วย แม้ว่าหน้าจอของ iPhone 14 Pro จะเร่งความสว่างสูงสุดได้มากกว่า แต่เกาะเกะกะมันน่ารำคาญมากกว่าสำหรับคนดูหนัง

แล้วความเกะกะต่อมาที่ตลกมากคือเวลาบันทึกหน้าจอ เราจะเห็น Dynamic Island ทำงานนับเวลาอย่างสวยงามใช่ไหมครับ แต่ดูไฟล์ที่ได้สิครับ มันดันมี Dynamic Island นับเวลาติดมาด้วย โอ้ยแอปเปิ้ล ไม่เอาไม่เติมสิ

Always-on Display

iPhone 14 Pro น่าจะเป็นไอโฟนไม่กี่ตัวที่เราแยกรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ได้ทันทีจากหน้าจอ เพราะ Always-on Display นี้ครับ ถึงมาช้าแต่มานะ แล้วไหนๆ ทำช้าแล้ว ก็ต้องทำให้มันต่างจากมือถือทั้งตลาด โดยเป็นหน้าจอที่ติดตลอดทั้งแผ่นเลย เห็นไปยัน Wallpaper ต่างจากที่เห็นในโทรศัพท์รุ่นอื่น ๆ ที่มักปรากฎแค่นาฬิกากับไอคอนเล็ก ๆ เท่านั้น

ซึ่ง Alway-on Display จะใช้พลังงานน้อยกว่าการใช้จอปกติ เพราะมันไม่ได้อัปเดตข้อมูลที่หน้าจอตลอดครับ เราลองเปิดเพลงให้มันแสดงที่หน้าจอล็อก แล้วจับเวลาว่าแถบเล่นเพลงจะเปลี่ยนทุกกี่วินาที ก็ได้ประมาณ 20 วินาทีแถบเวลาเพลงถึงจะเปลี่ยน ซึ่งระบบจะวิเคราะห์เองว่าควรเปลี่ยนหน้าจอเร็วหรือสั้นกว่านี้ครับ

เราชอบหน้าจอ Always-on ของ iPhone 14 Pro เพราะดูข้อมูลได้ตลอดเวลาจริงๆ ทั้งเวลาและ Widget ที่ตั้งไว้ใน iOS16 เช่นพยากรณ์อากาศ นอกจากนี้เวลาเล่นเพลง ยังเห็นปกอัลบั้มและชื่อเพลงที่กำลังเล่นตลอดเวลาอีกด้วย

โดยหน้าจอจะดับเมื่อเข้าโหมดประหยัดแบต หรือมีอะไรไปปิดบริเวณส่วนหัวของ iPhone แบบเวลาใส่ในกระเป๋า หรือเวลาคว่ำจอลงพื้นโต๊ะ นอกจากนี้ไอโฟนก็จะเรียนรู้ว่าเวลาไหนที่ไม่ต้องโชว์จอ เช่นเวลาใช้โหมด Sleep Focus หรือเวลาเสียบกับ CarPlay จอก็จะดับไปด้วย

เราทดสอบ iPhone 14 Pro โดยเปิดหน้าจอ Always-on ตลอดเวลา และเวลาทำงานก็วางเครื่องบนโต๊ะเพื่อให้เห็นจอตลอดด้วย ก็ถือว่าใช้งานได้ตลอดทั้งวันครับ แม้แบตจะลดเยอะกว่าการปิด Always-on บ้าง แต่ยังโอเค

ส่วนถ้าใครไม่ชอบ ก็ปิดได้จาก Settings ซึ่งมีตัวเลือกแค่ปิดกับเปิดเท่านั้น ไม่เหมือนฝั่ง Android ที่ตั้งได้ละเอียดกว่า เช่นจะให้โชว์ในเวลาไหนบ้าง

ซึ่งเราก็อยากให้มีการตั้งค่าแบบเมื่อ Noti ใหม่เข้า หน้าจอไม่ต้องเร่งแสงขึ้นมา แต่โชว์ไปใน Always-On ไปเลย ก็น่าจะประหยัดแบตได้มากขึ้นนะครับ

กล้อง

ดูเรื่องกล้องกันต่อครับ เป็นครั้งแรกที่ iPhone ขยับกล้องหลักจาก 12 ล้านพิกเซลเป็น 48 ล้านพิกเซลนะครับ ซึ่งแม้ว่าโหมดมาตรฐานจะใช้การเอา 4 พิกเซลมารวมเป็น 1 จึงได้ภาพถ่าย 12 ล้านพิกเซลเหมือนเดิม แต่การที่ความละเอียดเซ็นเซอร์เพิ่มขึ้นก็ช่วยเรื่องการซูมได้ครับ

ผมเทียบช่วงการซูมนาวลิ้ม ทาเลนต์แบไต๋จากกล้อง 3 ตัวให้ดูกันคือ iPhone 13 Pro, iPhone 14 Pro และ Samsung Galaxy S22 Ultra ครับ

เริ่มต้นที่ช่วงซูม 15 เท่ากันก่อน ที่ Galaxy S22 Ultra ได้เปรียบกว่าตรงมีเลนส์ Periscope 10 เท่า ทำให้ได้ภาพที่คมกว่า iPhone แต่ที่น่าสนใจคือ iPhone 14 Pro ให้ภาพซูมดิจิตอลคมชัดกว่า iPhone 13 Pro อย่างรู้สึกได้ทันทีครับ น่าจะเป็นเพราะเอาข้อมูลจากเซนเซอร์ 48 ล้านพิกเซลไปร่วมประมวลผลกับกล้องซูม 3 เท่าด้วย

ต่อไปภาพซูมเลนส์ 3 เท่า อันนี้ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ส่วนซูม 2 เท่าที่ทุกรุ่นเอาภาพจากกล้องหลักมาขยาย อันนี้ดูภาพเต็มไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าซูม 100% จะเห็นว่ากล้องแต่ละตัวเก็บรายละเอียดมาไม่เท่ากัน ซึ่งรายละเอียดจาก iPhone 14 Pro ดีกว่า 13 Pro จริงๆ ครับ

ส่วนซูม 1 เท่า อันนี้เห็นชัดเจนว่ากล้องของ iPhone 14 Pro จะให้ภาพมุมกว้างกว่า iPhone 13 Pro อยู่ ถ้าเทียบระยะโฟกัสคือ iPhone 14 Pro จะเป็นกล้อง 24 mm ส่วน iPhone 13 Pro เป็นกล้อง 26 mm ครับ

และการใช้เลนส์มุมกว้างมาก ก็ให้ผลงานออกมาใกล้เคียงกันครับ จะต่างกันที่โทนสีภาพนิดหน่อยเท่านั้น ภาพจาก iPhone ทุกภาพ ทุกรุ่น เราถ่ายด้วยโหมดสี Vibrant รวมถึงภาพ Portrait ชุดนี้ด้วย

ภาพ Portrait ซูม 1 เท่า ซัมซุงก็ได้ภาพสีอมชมพูเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน ส่วนไอโฟนทั้ง 2 รุ่นให้ภาพรวมไม่แตกต่างกัน แต่ถ้าซูมเข้าไป 100% จะเห็นว่า iPhone 14 Pro ให้รายละเอียดที่ใบหน้าได้ชัดเจนกว่า ส่วน Portrait แบบซูม 3 เท่า ก็ให้ภาพโทนแบบเดียวกันครับ

ภาพถ่ายมาโครที่เปิดใช้อัตโนมัติ iPhone ทั้ง 2 รุ่นก็ให้ผลงานไม่แตกต่างกัน สามารถถ่ายวัตถุระยะประชิดให้ขยายออกมาเต็มภาพได้ทั้งคู่ แต่จุดที่แตกต่างกันอยู่ที่ถ้าคุณปิดโหมดมาโครอัตโนมัติ แล้วใช้กล้องหลักถ่ายมาโครเท่านั้น จะเห็นว่าถ้า iPhone 14 Pro ถ่ายในระยะเดียวกับ iPhone 13 Pro จะให้ภาพเบลอ เพราะกล้องหลักไม่สามารถโฟกัสวัตถุในระยะใกล้เท่าไอโฟนรุ่นเดิม

ใครต้องการถ่ายมาโครที่แสงน้อย หรือถ่ายอาหาร ถ่ายวัตถุระยะใกล้ๆ แบบต้องการให้มีระยะชัดตื้น ซึ่งต้องใช้เลนส์หลักถ่าย ก็ต้องใช้ซูม 2 เท่าเข้าช่วยนะ

ภาพถ่ายในที่แสงน้อยที่แอปเปิ้ลเคลมว่ามี Photonic Engine วิธีประมวลผลภาพที่ช่วยให้การถ่ายในที่แสงน้อยดีขึ้น แต่ภาพออกมาก็ไม่ได้ต่างจาก iPhone 13 Pro มากนัก รวมถึงการถ่ายโหมด Portrait ในที่แสงน้อย ก็ให้ภาพที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนการถ่ายภาพเปิดแฟลชที่แอปเปิ้ลก็เคลมอีกว่าแฟลชใน iPhone 14 Pro สว่างขึ้น สม่ำเสมอขึ้น เราถ่ายเทียบจากกล้องหลัก และกล้องมุมกว้าง ดูยังไงแฟลชของ iPhone 13 Pro ก็ให้แสงออกไปได้กว้างกว่าอีก

มาดูพลังของเซ็นเซอร์ 48 ล้านพิกเซลจากไฟล์ RAW กันบ้างครับ ได้ไฟล์ใหญ่ระดับ 50 MB ต่อภาพขึ้นไปทั้งนั้น ทีมงาน beartai FLASH ที่ทำงานกับไฟล์ RAW มาทั้งชีวิตรีวิวไฟล์ RAW จาก iPhone 14 Pro ว่าดีใช้ได้ สามารถนำมาขุดความสว่าง หรือดึงความมืดได้เยอะ เก็บรายละเอียดเล็กๆ ได้มาก แถมภาพ RAW จาก iPhone 14 Pro ดูเป็นธรรมชาติกว่า iPhone 13 Pro

(แต่ใครถ่ายแล้วขี้เกียจแต่งภาพต่อก็ใช้โหมดปกติเถอะ ไฟล์ RAW ทำให้พื้นที่เต็มเร็ว ส่งไฟล์ยาก ทำงานช้าด้วย)

กล้องหน้า

มาดูกล้องหน้ากันบ้างครับ หลายคนคงเพิ่งรู้ว่ากล้องหน้าของไอโฟนเพิ่งมี Auto Focus นี่เราอยู่กับกล้องหน้า Fixed Focus มาตลอดหรือนี้ ไปชมผลงานกันครับ

ภาพ Selfies ในระยะยืดสุดแขน จะเห็นว่าลักษณะภาพแทบไม่ต่างกันเลยระหว่าง iPhone 13 Pro และ iPhone 14 Pro ครับ แต่พอเปลี่ยนระยะเป็น Selfie ใกล้หน่อย จะเห็นว่าภาพจาก iPhone 14 Pro นั้นมีรายละเอียดบนใบหน้ามากกว่าชัดเจน (ส่วนใครจะชอบไม่ชอบหน้าที่เห็นริ้วรอยชัดๆ อันนี้แล้วแต่คนเลย) แล้วการถ่ายวิดีโอใน Action Mode เป็นยังไง ไปดูนาวลิ้มวิ่งกันครับ

เราเทียบ iPhone 13 Pro ในโหมดวิดีโอธรรมดากับ iPhone 14 Pro ใน Action Mode และ S22 Ultra ในโหมดป้องกันภาพสั่นไหวเป็นพิเศษนะครับ จะเห็นว่า iPhone 14 Pro ให้วิดีโอได้นิ่งกว่าชัดเจน แม้ช่วงที่กล้องสั่นไหวมาก ๆ

ซึ่ง Action Mode จะทำให้โดยถ่ายวิดีโอจากกล้อง Ultra Wide มาครอปเฟรมเพื่อให้ภาพนิ่ง แต่จุดอ่อนของโหมดนี้คือต้องใช้แสงมากหน่อย ถ่ายกลางคืนไม่เวิร์ค และถ่าย 4K ไม่ได้ครับ

ส่วนวิดีโอ Cinematic หน้าชัดหลังเบลอ ใน iPhone 14 Pro ทำได้สูงสุดที่ 4K แล้ว ก็จะให้ภาพที่คมชัดกว่า iPhone 13 Pro ชัดเจนครับ

และวิดีโอ 4K ในที่แสงน้อยมากๆ ก็ทำได้ดีทั้งคู่แบบนี้ครับ แทบไม่แตกต่างกันเลย

สรุปกล้องของ iPhone 14 Pro ก็ดีกว่า iPhone 13 Pro อย่างที่ควรจะเป็นครับ ซึ่งจุดที่ปรับปรุงหลักๆ เลยคือความคมชัด ที่ซูมไปจะเห็นรายละเอียดเสื้อ รายละเอียดหน้าชัดเจน แต่ถ้าคุณไม่ได้โพสต์รูปแบบซูม 100% ลงเฟซบุ๊ก รายละเอียดพวกนี้ก็ไม่ค่อยเห็นครับ จึงถือว่ากล้องในปีนี้ปรับปรุงไม่เยอะ Smart HDR ก็ยังเวอร์ชัน 4 เหมือนเดิม Photonic Engine ก็ไม่ได้ทำให้ภาพในที่แสงน้อยดูแตกต่างจากเดิมมากมายเลย

กล้องของ iPhone 14 Pro จึงเหมาะสำหรับช่างภาพที่ขยันแต่งไฟล์ RAW หรือคนที่ถ่ายวิดีโอแอคชันบ่อย ๆ

พอร์ต

มาดูรอบเครื่องกันบ้าง เหมือนเดิมครับ พอร์ตก็ยังเป็น Lightning ที่ใช้มา 10 ปี และเป็นพอร์ตความเร็ว USB 2.0 ที่ใช้กันมา 22 ปีแล้วเหมือนเดิม คือทุกอย่างในเครื่องล้ำสมัยหมด ยกเว้นพอร์ตที่ยังไงแอปเปิ้ลก็ไม่ยอมเปลี่ยนเพราะจะได้เก็บเงินค่าใช้ Lightning ได้ต่อ ในกล่องก็มีสาย USB-C to Lightning มาเส้นเดียวเหมือนเดิม

ส่วนลำโพงสเตอริโอบนล่าง ให้เสียงได้ดังใกล้เคียงกับรุ่นเดิม แต่รุ่นใหม่เสียงจะไม่เสียดแหลมเท่ารุ่นเดิม ทำให้เสียงที่ออกจากเครื่องละมุนละไมขึ้น

ประสิทธิภาพเครื่องจากแอป Geekbench 5 ได้คะแนน Multicore ไป 5374 คะแนน สูงกว่า iPhone 13 Pro เดิมที่ได้ 4777 คะแนน ส่วน 3Dmark ชุด Wild Life Stress Test ได้คะแนนสูงสุด 12337 คะแนน มากกว่าของเดิมที่ 11726 อยู่นิดหน่อย ส่วนคะแนนต่ำสุดหลังจากเครื่องร้อนก็ตกลงไปอยู่ที่ 7894 คะแนน มากกว่ารุ่นเดิมที่ 7553 อยู่นิดหน่อยเช่นกัน

ซึ่งเราได้นำ iPhone 14 Pro ไปเล่น Genshin Impact ใน Patch ล่าสุด พบว่ายังไม่สามารถเปิด Frame rate ระดับ 120 Hz ได้เหมือน iPhone 13 Pro นะครับ ก็ต้องรอผู้พัฒนาอัปเดตแอปอีกที และความร้อนของเครื่องนั้นขึ้นไปเฉียด 40 องศาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และขอบเครื่องสแตนเลสก็จะร้อนจนไม่สบายตัวเวลาเล่นเกมครับ แต่แม้เครื่องจะร้อน เกมก็ยังคงเล่นได้ลื่นไหลอยู่ดี

จุดสังเกต

จุดสังเกตของ iPhone 14 Pro นอกจากเรื่องพอร์ต Lightning แสนโบราณ ก็อยู่ที่ Dynamic Island ครับ ที่ยังต้องรอแอปต่างๆ จูนให้เข้าที่กับเกาะหรรษาหรือเกาะเกะกะนี้ อย่างใครเล่นเกมแนวนอน หลายครั้งที่เจ้าเกาะเกะกะก็ไปบังปุ่มหรือข้อมูลสำคัญ แต่เชื่อผมเถอะว่าคุณจะต้องอยู่กับเจ้าเกาะนี้ไปอีกหลายปี แอปต่างๆ ก็ต้องปรับตัวไปเองครับ
สรุปเลยนะครับ ถ้าคุณใช้ iPhone 13 Pro อยู่ iPhone 14 Pro ไม่ได้แตกต่างมากมายขนาดที่คุณจำเป็นจะต้องอัปเกรด รออีกสักปี เผื่อปีหน้าจะได้เห็น iPhone ที่ใช้ USB-C แถม iPhone 14 Pro ยังไม่เหมาะกับคนที่ชอบดูหนังใน iPhone เท่ารุ่นเดิมด้วย

แต่ถ้าใครต้องการกล้องที่ให้รายละเอียดเล็กๆ ชัดขึ้น (ซึ่งเป็นรายละเอียดที่แชร์ลงโซเซียลไม่ค่อยเห็น) หรือชอบแต่ง RAW File ก็จัดไปครับ