รีวิวเกม Persona 3 Reload การกลับมาของตำนาน Turn Based RPG ที่มีอาร์ตสุดเท่ เนื้อเรื่องสุดตึง เกมเพลย์สุดมันส์
Our score
9.2

Persona 3 Reload

จุดเด่น

  1. นี่คือหนึ่งในเกมที่มีระบบ Turn Based ดีที่สุด
  2. ระบบเกมเพลย์สุดละเมียดละไม
  3. เนื้อเรื่องที่เป็นทีเด็ดอยู่แล้ว ถูกขับเคลื่อนด้วยระบบ และเกมเพลย์ให้อร่อยเหาะ
  4. เป็นหนึ่งในเกมที่มี Art Direction สุดเท่ สุดเก๋

จุดสังเกต

  1. ตัวเกมยังขาดฟีเจอร์ Optimize สำหรับ PC เช่น Upscaling และการรองรับ Ultrawide
  • เกมเพลย์

    9.5

  • ระบบ

    9.0

  • เนื้อเรื่อง

    10.0

  • เนื้อหา

    8.0

  • กราฟิก

    9.5

  • ประสิทธิภาพ

    9.0

ประทับใจแรก

หยิบ Evoker ขึ้นมาแล้วตะลุยปราบชาโดว์กันอีกครั้งใน Persona 3 Reload เกมจากตระกูล Shin Megami Tensei ที่แยกออกมาเป็นแฟรนไชส์ของตัวเองเต็มตัวแล้ว ซึ่งภาคนี้เป็นการรีเมกภาค ‘Persona 3’ บนเครื่อง PS2 ที่ออกจำหน่ายในปี 2006 ใหม่หมดจด ด้วย Unreal Engine และทำการยกเครื่องระบบการเล่นใหม่ โดยยังคงเนื้อเรื่องให้เหมือนเดิมทุกระเบียบนิ้ว เรียกได้ว่าเด็กที่โตขึ้นมากับเกมนี้ ยิ้มหวานกันถ้วนหน้า

ใครที่เคยเล่น Persona 5 หรือเกม Persona ยุคใหม่กันมาก่อนน่าจะเข้ามือกับเกมนี้กันได้ไม่ยาก เพราะคอร์หลัก ๆ ของเกมถูกหยิบยกมาใช้ในภาค Persona 3 Reload เยอะมาก แต่ยังคงใช้แนวทางภาพเป็นของภาค 3 ดั้งเดิม และมีหลายระบบที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากภาค Persona 5 Royal และทำได้ดีกว่ามากในหลายจุด

กราฟิกยังคงเป็น Anime Style อยู่ แต่ด้วยความที่เป็น Unreal Engine ก็ได้มีการเพิ่มส่วนของ Reflection เข้ามา ทำให้ภาพดูสวยงามขึ้นกว่าเดิมพอสมควร แต่ที่จะโดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นสไตล์อาร์ตของภาคนี้ที่แต่ละจุดทำออกมาได้สวยงามมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างเมนู หน้าต่างโชว์ค่าความสัมพันธ์ต่าง ๆ เป็นแนวอาร์ตที่โดดเด่น และเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากของเกมนี้

เนื้อเรื่อง

เนื้อเรื่องของ Persona 3 ยังคงดำเนินเรื่องแบบเดิม แบบที่ว่าไดอะล็อกพูดยังคงของเดิมแบบเป๊ะ ๆ โดยเนื้อเรื่องของ Persona 3 Reload นั้นจะเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้เป็นพระเอกของภาคนี้ถูกย้ายมาโรงเรียนใหม่ ‘โรงเรียนมัธยม Gekkoukan’ ซึ่งก็เจอเรื่องประหลาดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางคืนที่มีสภาพแปลกไป ผู้คนถูกเปลี่ยนเป็นโลงศพ รวมไปถึงสัตว์ประหลาดที่ออกมาเพ่นพ่านอย่างชาโดว์ เนื้อเรื่องก็เริ่มจากการที่พระเอกของเราต้องเข้าไปพัวพันกับอะไรแบบนี้หลังจากย้ายเข้ามาอยู่หอพักใกล้โรงเรียน

หากใครเคยเล่นเกม Persona มาก่อน ก็จะทราบกันดีว่าเนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเกี่ยวเนื่องกับการสานสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ และแก๊งตัวละครหลัก เพื่อทำให้ตัวเราเก่งขึ้นจากการใช้พลังจากความสัมพันธ์ของเพื่อนพ้อง และในภาคนี้แก๊งเพื่อนของพระเอกจะเป็นเหมือนชมรมลับ ๆ ที่ชื่อว่า S.E.E.S. (Specialized Extracurricular Execution Squad) ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อกำจัด และทำวิจัยกับเรื่อง ‘Dark Hour’ หรือชั่วโมงรัตติกาล หลังเที่ยงคืนที่กลายเป็นว่า หนึ่งวันจะมีเวลามากกว่า 24 ชั่วโมงเกิดขึ้นในชั่วโมงรัตติกาล ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมาย รวมถึงมีสัตว์ประหลาดอย่าง ชาโดว์ออกมาเพ่นพ่านด้วย

ทิศทางของเนื้อเรื่องยังคงดาร์ก และมีเนื้อหาที่หนักไม่ต่างจากตระกูล SMT มากนัก แต่ก็ถูกปรับลดลงไปพอสมควรจนได้รสชาติประมาณนุ่มนอก แน่นใน พอให้เจาะกลุ่มวัยรุ่นได้บ้าง เนื้อหายังคงเหมาะแก่บุคคลอายุ 17 ปี ขึ้นไป กับ Rating ESRB M เพราะมีเนื้อหาที่รุนแรง ซึ่งก็รุนแรงตั้งแต่ท่าในการเรียก Persona แล้ว

ตัวเกม Persona 3 Reload ยังคงเป็นแนว JRPG Turn Based ที่มีหัวใจเป็นแบบ Calendar Based ซึ่งกิจกรรมจะดำเนินไปแบบวันต่อวัน และเราต้องบริหารว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างในฐานะนักเรียนม.ปลาย และในฐานผู้ที่ต้องคอยกำจัดชาโดว์ และหยุดหายนะครั้งนี้เอาไว้ ทำให้ตัวเกมเป็นกึ่ง ๆ Life-Sim และ Visual Novel ด้วย แต่ก็ไม่ได้ไปทำให้ส่วนของระบบ Dungeon ที่เป็น Turn Based มีเสน่ห์น้อยลง แต่ทุกอย่างทั้งสองฝั่งสามารถร้อยต่อกันได้แบบลงตัว และมีความต่อเนื่องกันอย่างมาก

พูดถึงในส่วนของ Turn based นิดนึง เรียกได้ว่าหยิบยกเอาของภาค Persona 5 Royal มาหลายอย่างมาก และมีการปรับปรุงให้เข้ากับภาค 3 ดั้งเดิมพอสมควร อย่างเช่นระบบ Theurgy ที่เป็นการเอาจุดเด่นอย่างท่า Showtime ของภาค 5 Royal มาทำให้มีเหตุผลในการใช้งานที่สนุกขึ้น และเป็นท่าประจำตัวไปเลย รวมไปถึงมีเงื่อนไขเป็นการเก็บเกจแทน และมีเงื่อนไขในการเร่งเก็บเกจไม่เหมือนกัน รวมไปถึงผลประโยชน์จากการใช้ไม่เหมือนกันในแต่ละคน เรียกได้ว่าเป็น Mechanic ใหม่ที่ทำได้ดีกว่าภาค 5 Royal เลยทีเดียว

นอกระบบ Dungeon ก็ยังเป็นระบบ Calendar Based แบบภาคดั้งเดิมที่ดำเนินเรื่อไปในแต่ละวัน โดยที่ยังมีฉากหลังเป็นสถานที่ต่าง ๆ อ้างอิงมาจากภาคเดิม และมีอีเวนต์เกิดขึ้นในวันต่าง ๆ อยู่เช่นเดิม ซึ่งก็ยังคงเป็นเกมที่เราไปมาหาสู่ในแต่ละสถานที่แล้วจะพบเจอกับผู้คน และสิ่งอำนวยต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายได้ในเกม โดยส่วนใหญ่เกมจะไม่ค่อยบอกเราตรง ๆ ว่าตรงนี้มีใครอยู่ หรือตรงนี้มีอะไร แต่จะสามารถสังเกตได้จากการอ่านจากบทพูด หรือการคุยกันของตัวละครตามฉาก ยังคงเป็นเกมที่ยิ่งเราสังเกตเราก็จะทราบข้อมูลที่นำมาใช้เป็นประโยชน์ได้อยู่เรื่อย

ปกติเกม Persona จะมีฉากอนิเมะในเนื้อเรื่องด้วยบางฉาก ที่พิเศษคือในภาคนี้ฉากอนิเมะเหล่านั้นจัดทำขึ้นโดยทีม WIT Studio ผู้ผลิตอนิเมะชื่อดังอย่าง Spy x Family, Attack on Titan และล่าสุดอย่าง One Piece Remake ที่พึ่งประกาศไป ซึ่งมีซีนเท่ ๆ สวยงาม เยอะมากที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิม เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำได้ดี

ระบบ และเกมเพลย์

ส่วนของ Gameplay จะแบ่งได้หลัก ๆ สองส่วนคือส่วนชีวิตประจำวัน (Life Sim) และ Dungeon (Turn-Based) ตามรูปแบบการเล่นของแฟรนไชส์นี้เลย และยังคงยืนยันคำเดิมว่าตัวเกมพยายามคงเนื้อหาทุกอย่างจากภาคดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างดี

พาร์ตของชีวิตประจำวัน ตัวเกมยังคงมีความลึกในเรื่องกิจกรรม และสานสัมพันธ์ แต่พื้นที่ที่ให้เล่นจะไม่ได้เยอะแบบในภาค Persona 5 Royal ก็เป็นเพราะว่าภาค Reload ต้องอ้างอิงมาจากภาคดั้งเดิม เลยไม่ได้เพิ่มสถานที่ใหม่ ๆ เข้ามาด้วย แต่ในพาร์ตของสถานที่ก็มีการเพิ่มลูกเล่นใหม่เข้ามาพอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่จะไปส่งผลกับ Social Stats ที่ทำให้เราดำเนินตัวเกม และเพิ่มความสามารถให้ตัวละครได้หลากหลายขึ้นนั่นแหละ

หลัก ๆ ในพาร์ตนี้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากตัวเกมในภาคต้นฉบับหรือภาคก่อนเลย การเลือกทำกิจกรรมในเวลากลางวัน และกลางคืนยังคงเหมือนเดิม แต่จุดแตกต่างที่สำคัญของเกมภาคนี้คือเราจะเข้า Dungeon ได้ในตอนกลางคืนเท่านั้น คล้ายกับภาค 4 ซึ่งเป็นปัจจัยที่มาจากตัวของเนื้อเรื่อง ใครที่เคยเล่นภาค 5 มาก่อนอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง

พาร์ตของ Dungeon เป็นพาร์ตที่ได้รับการปรับปรุงเยอะมาก ทั้งระบบใหม่ แมป Tartarus ดีไซน์ใหม่ และส่วนที่ทำให้เกมสมเหตุสมผลขึ้น ซึ่งในส่วนของระบบใหม่ค่อนข้างทำให้ตัวเกมสนุกกว่าเดิมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบที่เพิ่มชนิดของชาโดว์ขึ้นมา ทำให้การรับมือก่อนเข้าไปโจมตีต้องคิดมากขึ้น หรือแม้แต่การดีไซน์แมปของ Tartarus ที่เอื้อต่อการ Stealth วนไปมา แตกต่างจากภาค 5 ที่แก๊งตัวเอกสามารถหลบมุมได้ ก็ทำให้ได้ฟีลในการเล่นที่แตกต่างกว่าเดิม

แน่นอนว่าระบบ Turn Based ได้รับการปรับปรุงไปเยอะมาก มากเสียจนส่วนตัวชอบมากกว่าภาค 5 Royal เช่นระบบ Theurgy เป็นของใหม่ที่ไม่มีในภาคดั้งเดิม แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการเอาระบบท่าไม้ตาย Showtime มาเพิ่มเงื่อนไขในการใช้ ตอนเล่นจะมี Animation เท่ ๆ และแต่ละคนจะเล่นได้มากกว่า 1 ท่าด้วย ปลดล็อกตาม Story เช่นเดียวกันกับ 5 Royal และเพิ่มเหตุผลในการใช้มากขึ้น มันทำให้เราต้องคิดเยอะขึ้น และวางแผนเยอะขึ้นเวลาจะใช้ และยังทำให้การวางแผนก่อนไปตีบอสต้องคิดมากกว่าเดิมอีก เพราะเกจของ Theurgy จะเก็บข้ามไปอีกไฟต์นึงได้ แถมเงื่อนไขการใช้มองว่าเป็นการทำให้ระบบนี้เล่นสนุกมาก เพราะการเก็บเกจของแต่ละตัวละครจะมีวิธีเก็บไม่เหมือนกัน ทำให้การแพลนในแต่ละเทิร์นต้องคิดให้เยอะขึ้นเพื่อให้แต่ละเทิร์นทำประโยชน์ให้มากที่สุดทั้งในพาร์ตดาเมจ และการบัฟ ถือว่าเป็นจุดเด่นเลยของภาคนี้ ใครที่ชอบวางแผน ชอบคิดหาทางรีดประโยชน์ในแต่ละไฟต์ แต่ละเทิร์นให้ออกมามากที่สุด น่าจะถูกใจกันเลย

ภาคนี้ยังมีระบบคล้าย ๆ กับ Burton Pass ในภาค 5 คือการส่งต่อเทิร์น แต่จะถูกลดบทบาทลงไม่ได้มีการเพิ่ม หรือบัฟอะไร แต่เป็นการทำ Weak Attack และจะสามารถส่งเทิร์นให้เพื่อนในทีมได้ ก็จะเป็นการข้ามเทิร์นไปหาตัวละครนั้นเลย ซึ่งยังเป็นการเพิ่มรอบ action ในตานั้นด้วย ทำให้ระบบมันมีความยืดหยุ่นในการเล่นมากขึ้นไปอีก

ประสิทธิภาพ

ด้านประสิทธิภาพตัวเกมไม่ได้กินสเปกมากมายกว่าเดิมจากภาค 5 Royal ถึงแม้จะใช้ Unreal Engine แทน Proprietary Engine แล้ว ตัวเกมมีประสิทธิภาพที่ดีมาก พร้อมกับ Visual ที่สวยงามมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเกมยังคงจะไม่ใส่เทคโนโลยีพื้นฐานอย่างเทคโนโลยีจำพวก Upscaling เข้ามา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นฐานของเกมยุคใหม่แล้ว และตัวเกมเองก็ใช้ Unreal Engine ที่น่าจะ implement เทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไปได้ไม่ยาก รวมถึงยังไม่มีการซัพพอร์ตหน้าจอแบบ Ultrawide ด้วย

จริง ๆ เรื่องที่ติเหล่านี้ถ้ามองเทียบกลับไปถึงเกมของค่ายนี้ก็จะเข้าใจได้ว่าตัวเกมส่วนใหญ่จะไม่ได้ลงแพลตฟอร์ม PC เป็นหลักก่อน แต่จะลงคอนโซลแล้วพอร์ตมาลง PC ในภายหลัง ซึ่งแน่นอนว่าตัวเกมจะไปโฟกัสการพัฒนาบนคอนโซลเป็นหลัก แต่ในภาคนี้ตัวเกมลงทุกแพลตฟอร์มพร้อมกันหมด กลับไม่มีฟีเจอร์ที่เกม PC น่าจะมี แต่จริง ๆ ถึงแม้จะขาดฟีเจอร์เหล่านั้น โดยรวมก็เป็นเรื่องดีเพราะปกติเกมค่ายนี้นอกจากจะลงเวอร์ชันคอนโซลก่อนแล้ว เวอร์ชันแรกที่ลงจะเป็นเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น และอีกประมาณ 1 ปีถึงจะปล่อยเวอร์ชันภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น

โดยรวม

Persona 3 Reload เป็นการหยิบเอาเกมหนึ่งในภาคที่โด่งดังมากในสมัย PS2 กลับมาทำใหม่ที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ (เกือบที่สุด) แต่ก็อย่างที่ทราบกันตัวเกมไม่ได้มีเนื้อหาของ The Answer ซึ่งเดิมทีอยู่ในภาค Persona 3 FES แต่จากการยืนยันจากทาง Atlus เนื้อหาเสริมของ The Answer จะถูกใส่เข้ามาในรูปแบบ DLC ซึ่งก็จะเติมเนื้อหาของ Persona 3 ให้สมบูรณ์ แต่ในตอนนี้ นี่คือเกม Remake ที่ดีงาม และครบครันมากทั้งในเรื่องของเนื้อหา ระบบการเล่น และกราฟิก