จากกรณีการร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในประเด็นการขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เนื่องจากการถือหุ้นไอทีวี จำนวน 42,000 หุ้นนั้น ล่าสุด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา

ส่วนประเด็นที่การถือครองหุ้นไอทีวีเป็นการถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดก ไม่ใช่ในนามส่วนตัวนั้น นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า นายพิธาได้แนบเอกสารคำสั่งศาลว่าเป็นผู้จัดการมรดกมาด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารกับศาล แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบว่ามีสถานะอื่น ๆ ด้วยหรือไม่

จากกรณีดังกล่าวทำให้เกิดข้อคำถามเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของผู้จัดการมรดก ซึ่งเรื่องนี้ทาง นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร ผู้บริหารของเคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง ธนาคารกสิกรไทย ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า การตั้งผู้จัดการมรดก ก่อนเกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวนั้นมีความสำคัญอย่างมาก และเป็นเรื่องที่ทายาทรวมถึงผู้รับมรดกต้องรู้ เพื่อให้การเก็บรักษาและส่งต่อทรัพย์สินของครอบครัวเป็นไปอย่างยั่งยืน

พีระพัฒน์ เหรียญประยูร
นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร
Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head,
Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

นายพีระพัฒน์ระบุว่า เมื่อเกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว นอกเหนือจากการแจ้งการเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงต่อสำนักเขตหรือที่ว่าการอำเภอเพื่อออกใบมรณบัตรแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีทรัพย์สินมากคือการตั้ง ‘ผู้จัดการมรดก’ โดยขั้นตอนในการตั้งผู้จัดการมรดกนั้น ให้ทายาทหรือผู้ร้อง ซึ่งอาจเป็นสมาชิกในครอบครัว หรือผู้มีส่วนได้เสีย เช่น เจ้าหนี้ ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ดำเนินการตั้งผู้จัดการมรดก โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

  1. กรณีที่ไม่มีพินัยกรรม อาจขอให้ตั้ง ทายาท / คู่สมรส คนใดคนหนึ่ง หรือร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดก หรือตั้งบุคคลอื่นที่ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย
  2. กรณีที่มีพินัยกรรมและมีการระบุผู้จัดการมรดกไว้แล้ว ให้ตั้งบุคคลที่ระบุไว้ในพินัยกรรมเป็นผู้จัดการมรดก

หลังจากศาลได้ประกาศเพื่อให้ทายาทคัดค้านและไต่สวนคุณสมบัติผู้ร้องแล้ว หากไม่มีการคัดค้าน ศาลจะมีคำสั่งให้ตั้งผู้จัดการมรดกภายในระยะเวลา 2-3 เดือน จากนั้นผู้จัดการมรดกจะมีหน้าที่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน และต้องแล้วเสร็จภายใน 1  เดือน หรือตามระยะเวลาที่ศาลขยายให้

รวมทั้งจะต้องดำเนินการทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกภายใน 1 ปี หรือตามระยะเวลาที่ทายาท / ศาล กำหนดไว้ด้วย โดยผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ดำเนินการ 4 เรื่องสำคัญ เกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้เสียชีวิต ได้แก่

  1. รวบรวมทรัพย์สินและหนี้สิน : อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางการเงิน เช่น บัญชีเงินฝาก ยานพาหนะ และทรัพย์สินประเภทอื่น ๆ เช่น ทองคำ เครื่องประดับ
  2. จัดการทรัพย์มรดก : ดูแล รักษา หรือจัดการทรัพย์มรดกตามที่จำเป็นหรือที่ระบุไว้ในพินัยกรรม
  3. จัดแบ่งทรัพย์มรดก : แบ่งสินสมรส (ถ้ามี) และแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท / ผู้รับพินัยกรรม
  4. ยื่นภาษีเงินได้ : ในปีแรกที่เสียชีวิตให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามผู้ตาย และในปีถัดจากปีที่เสียชีวิต หากยังไม่ดำเนินการแแบ่งทรัพย์สินให้ทายาท ให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามกองมรดก ซึ่งต้องขอเลขผู้เสียภาษีต่างหาก

ทั้งนี้ หากผู้จัดการมรดกไม่ทำตามหน้าที่หรือมีการทุจริต ทายาท ผู้รับพินัยกรรม หรือผู้มีส่วนได้เสียในมรดก สามารถดำเนินการกับผู้จัดการมรดกได้ เช่น ถอนผู้จัดการมรดก โดยทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกสามารถยื่นร้องต่อศาลขอให้ถอนผู้จัดการมรดกคนเดิม และตั้งคนใหม่ได้ ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกไม่ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ไม่เริ่มทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15  วัน หรือไม่แบ่งทรัพย์สินให้ทายาทให้เสร็จสิ้น และไม่ทำรายงานบัญชีแบ่งทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลภายใน 1 เดือน ตามที่กฎหมายกำหนด 

กรณีที่ 2 คือ การฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดก ซึ่งมักเกิดขึ้นในกรณีที่ทายาทขอให้ผู้จัดการมรดกแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท แต่ผู้จัดการมรดกไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาทตามที่กฎหมายกำหนด เช่น อ้างว่าเป็นทรัพย์กงสี ห้ามแบ่ง หรือผัดผ่อนการแบ่งไปเรื่อย ๆ หรือปฏิเสธไม่แบ่งด้วยเหตุผลอื่น ๆ ซึ่งทายาทสามารถฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดกได้ 

กรณีที่ 3 คือ การฟ้องเพิกถอนการโอนมรดก ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกไม่เป็นไปตามราคาท้องตลาด, ขายทรัพย์มรดก โดยไม่นำเงินมาแบ่งทายาท, โอนทรัพย์มรดกให้บุคคลอื่น โดยไม่มีค่าตอบแทน หรือรับโอนทรัพย์มรดกมาเป็นของตนเองคนเดียว ไม่แบ่งทายาทคนอื่น ๆ

และกรณีสุดท้าย คือ การดำเนินคดีอาญาความผิดฐานยักยอก ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกให้ตนเองคนเดียว ไม่แบ่งทายาทอื่น, แสดงเจตนาว่าจะเอาทรัพย์มรดกไว้คนเดียว ไม่แบ่งทายาทอื่น, โอนทรัพย์มรดกให้ทายาทคนหนึ่ง แต่ไม่แบ่งให้คนอื่น ทั้งที่มีทายาทหลายคน, จงใจขายทรัพย์มรดกในราคาที่ต่ำเกินสมควร ในลักษณะสมรู้ร่วมคิดกับผู้ซื้อ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ซึ่งในกรณีนี้ต้องชัดเจนว่า ผู้จัดการมรดกกระทำการโดยไม่สุจริต ยักย้ายถ่ายเท หรือโอนทรัพย์มรดก ทำให้เกิความเสียหายแก่ทายาท ซึ่งทายาทต้องทำการแจ้งความภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องการกระทำความผิด และรู้ตัวผู้กระทำความผิด

นายพีระพัฒน์กล่าวว่า “จะเห็นได้ว่าผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ในการจัดการมรดกโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมทรัพย์มรดกเพื่อแบ่งให้ทายาท ตลอดจนชำระหนี้สินของเจ้ามรดกแก่เจ้าหนี้ การทำบัญชีทรัพย์มรดกและรายการแสดงบัญชีการจัดการ ซึ่งหากผู้จัดการมรดกไม่ใช่ทายาท หรือผู้รับพินัยกรรมของเจ้าของมรดก ผู้จัดการมรดกก็จะไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก จึงถือว่าไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก”

นอกจากนี้ หากผู้จัดการมรดกไม่ดำเนินการตามหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือทำการทุจริตต่อทรัพย์มรดก ก็อาจถูกดำเนินการทางกฎหมายด้วย ผู้จัดการมรดกจึงถือเป็นบุคคลสำคัญในการบริหารจัดการและดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับมรดก ทั้งทรัพย์สินที่ต้องส่งต่อแก่ทายาท หรือการจัดการเรื่องหนี้สิน

ทั้งนี้ หากเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้ ผู้จัดการมรดกก็สามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ก็ต้องดำเนินการต่าง ๆ ตามขั้นตอน ดังนั้น การทำพินัยกรรมที่กำหนดผู้จัดการมรดกที่มีความเป็นกลาง หรือผู้ที่ทายาททุกคนยอมรับไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่บุคคลที่เป็นทายาทก็ได้ ก็จะช่วยลดปัญหาน่าปวดหัวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ผู้จัดการมรดกไม่ใช่เจ้าของมรดก แนะทำความเข้าใจบทบาทก่อนเกิดปัญหา

ที่มา : KBank Private Banking