วง ‘บีจีส์’ (Bee Gees) มีชื่อเสียงกระฉ่อนจากการเป็นศิลปินเพลงป๊อปยอดนิยมจากบทเพลงอันไพเราะมากมายภายใต้ฝีมือการเขียนเพลงและรังสรรค์ดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์ ในช่วงที่ดิสโก้เฟื่องฟูในช่วงปลายทศวรรษ 1970s บีจีส์ได้มีโอกาสแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ‘Saturday Night Fever’ (1977) และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากเพลงรัก “How Deep is Your Love” บทเพลงรักในดวงใจของใครหลาย ๆ คน

บีจีส์เขียนเพลงรักเพลงนี้ที่ Château d’Hérouville สตูดิโอที่ใช้พื้นที่ของปราสาทเก่าสุดคลาสสิกในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งศิลปินชื่อก้องหลายยุคหลายสมัยเคยได้บรรเลงดนตรีในสถานที่แห่งนี้เช่น โชแปง (Chopin) หรือ เอลตัน จอห์น (Elton John) ที่ใช้ชาโตแห่งนี้ในการบันทึกเสียง 3 อัลบั้มในช่วงต้นยุค 70s ในตอนที่บีจีส์มาถึงเพื่ออัดเพลงสำหรับภาพยนตร์เรื่อง ‘Saturday Night Fever’ พวกเขาพบว่าชาโตแห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ ส่วนของสตูดิโอยังใช้งานได้ดี แต่สนามหญ้านั้นรกเละเทะมาก แต่สิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขามีสมาธิเพราะพวกเขาแทบจะไม่มีที่ไหนจะให้ไป ไม่มีอะไรจะให้ทำนอกจากทำเพลงอยู่ในสตูดิโอ

Château d’Hérouville

เช่นเดียวกับเพลงส่วนใหญ่ของบีจีส์ บทเพลงนี้แต่งโดยสามพี่น้องตระกูลกิบบ์ ‘แบร์รี่’ (Barry), ‘โรบิน’ (Robin) และ ‘มอริซ’ (Maurice)  แบร์รีเป็นคนแต่งเมโลดี้กับมือคีย์บอร์ด ‘บลู วีเวอร์’ (Blue Weaver) ในชาโตว์และสตูดิโอแห่งนี้มีห้องที่สวยงามพร้อมเปียโนที่พร้อมให้วีเวอร์ได้พรมนิ้วบรรเลงดนตรีลงไป ในวันหนึ่งวีเวอร์ได้เล่นดนตรีกับแบร์รี่ในขณะที่เขากำลังแต่งเพลงเพลงหนึ่งที่ต่อมาจะกลายเป็นบทเพลง “How Deep Is Your Love” ในสารคดี ‘How Can You Mend A Broken Heart’ วีเวอร์เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาและแบร์รี่แต่งเพลงนี้ร่วมกัน “เราเข้าไปในห้องที่โชแปงเคยอยู่ ทุกครั้งที่ผมดูเปียโนหลังนี้ ผมจะจินตนาการว่าโชแปงกำลังเล่นอยู่ ผมนั่งลงที่เปียโนและนึกถึงเพลง “Prelude In E-flat” และผมรู้ว่าแบร์รี่สามารถร้องเพลงในคีย์ E-flat ได้ ดังนั้นผมก็เลยบรรเลงคอร์ดลงไปในคีย์นี้ ชั่วขณะนั้นมีแสงตะวันส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างกระจกสี และแบร์รี่ก็ร้องขึ้นมาว่า “I know your eyes in the morning sun” เท่านั้นล่ะห้วงเวลาแห่งเวทมนตร์ก็ได้บังเกิดและจุดกำเนิดของบทเพลงสุดไพเราะนี้ก็ได้เกิดขึ้น

Bee Gees
จากซ้ายไปขวา Blue Weaver, Dennis Byron, Linda Gibb และ Barry Gibb

โค-โปรดิวเซอร์ ‘อัลบี กาลูเทน’ (Albhy Galuten) กล่าวว่าการมีส่วนร่วมของวีเวอร์มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง  “(How Deep Is Your Love) เป็นเพลงที่บลู วีเวอร์ได้ใส่ไอเดียลงไปมากมาย และมันมีหลายสิ่งที่สะท้อนตัวตนของเขาในบทเพลงนี้”

“การมีส่วนร่วมของเขาค่อนข้างสำคัญ ไม่ใช่ในแง่ของการแต่งเพลง แต่เวลาที่คุณเล่นเปียโน มันก็เกือบจะเหมือนกับเป็นการแต่งเพลงแล้ว และบลูมีอิทธิพลอย่างมากในโครงสร้างเปียโนของเพลงนี้”

โปรดิวเซอร์ ‘โรเบิร์ต สติกวู้ด’ (Robert Stigwood) อยากได้เพลงสำหรับใช้ประกอบภาพยนตร์ที่เขากำลังทำอยู่ ซึ่งก็คือ ‘Saturday Night Fever’ บีจีส์ได้แต่งเพลงใหม่ทั้งหมด 5 เพลงให้กับเขา หนึ่งในนั้นคือ “How Deep Is Your Love”

ในตอนแรกนักร้องสาว อีวอนน์ เอลลิแมน (Yvonne Elliman) เกือบจะเป็นคนที่ได้ร้องเพลงนี้เพราะดูแล้วมันน่าจะเหมาะกับเสียงร้องของผู้หญิงมากกว่า แต่สติกวู้ดนั้นยืนกรานว่าบีจีส์สามพี่น้องควรที่จะร้องเพลงนี้ด้วยตัวเองสุดท้ายก็เลยกลายเป็นอย่างที่เราได้ฟังกัน ส่วนเอลลิแมนก็ได้ร้องในเพลง “If I Can’t Have You” ซึ่งแต่งโดยบีจีส์เหมือนกันและรวมอยู่ในอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ด้วย ซึ่งเพลงนี้ก็ได้กลายเป็นเพลงฮิตอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ในหนังสือ The Art of Noise: Conversations with Great Songwriters ของ แดเนียล ราเชล (Daniel Rachel) โรบิน กิบบ์ อธิบายเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ในบทเพลงนี้ที่เขาและแบร์รี่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยการผสมผสานเสียงของพวกเขาเข้าด้วยกัน “ถ้าคุณฟัง “How Deep is Your Love” คุณจะคิดว่าเสียงร้องทั้งหมดในเพลงนี้เป็นเสียงเดียว แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเสียงของผมกับแบร์รี่ที่ร้องประสานเป็นแนวเดียวกัน (Unison) ซึ่งให้เสียงที่ไพเราะเหมือนกับในเพลง “New York Mining Disaster” ที่มีเสียงที่เราทำออกมาเหมือนเป็นเสียงเดียว แต่ไม่ใช่เลย และมันก็ไม่ใช่แบบดับเบิลแทร็กด้วย (ดับเบิลแทร็กคือการที่นักร้องร้องอีกไลน์ซ้อนลงไปในไลน์แรกและวางซ้อนกันเพื่อให้เสียงร้องหนาขึ้นแน่นขึ้นแข็งแรงขึ้น) แต่มันเป็น 2 เสียงที่ร้องด้วยกัน วิธีนี้มันเป็นสิ่งที่เราทำกันมาหลายครั้งแล้วครับ”

สามพี่น้อง Bee Gees มอริซ-แบร์รี่-โรบิน

ส่วนแบร์รี่ก็ได้พูดถึงการแต่งเพลงนี้ว่า “เท็กซ์เจอร์มากมายที่คุณได้ยินในเพลงนี้ถูกเพิ่มเข้าไปในภายหลัง ส่วนเนื้อเพลงนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพียงแต่วิธีการที่เราบันทึกเสียงนั้นแตกต่างไปจากตอนที่เราแต่งไว้ในตอนแรกเล็กน้อยเพื่อให้มันดีกว่าเดิมเท่านั้นเอง”  

“ส่วนชื่อเพลง “How Deep Is Your Love” นั้นผมคิดว่ามันสมบูรณ์อยู่แล้วเพราะความหมายที่แฝงไว้มันปรากฏอยู่ในประโยคนี้แล้ว ง่าย ๆ แบบนี้ล่ะใช่เลย”

ส่วนโรบินก็มองว่าเพลงนี้มีความเป็นสากลที่ต้องโดนใจคนทุกเพศทุกวัย “ไม่ใช่ทุกเพลงนะที่จะมีเสน่ห์ที่มีความเป็นสากล แต่ผมคิดว่า ”How Deep Is Your Love” มีสิ่งนั้นอยู่ มันมีนัยที่เป็นสากลและมันเข้ากับทุกคนได้”

“How Deep Is Your Love” ได้กลายเป็นเพลงฮิตถล่มทลายในสหรัฐอเมริกา ขึ้นอันดับ 1 เป็นเวลา 3 สัปดาห์และอยู่ใน 10 อันดับแรกเป็นเวลา 17 สัปดาห์ เพลงนี้ยังได้รับความนิยมอย่างมากในชาร์ตเพลง Adult Contemporary ซึ่งใช้เวลาถึง 6 สัปดาห์ในการครองอันดับ 1 มากกว่าเพลงไหน ๆ ของบีจีส์ เมื่อ Billboard จัดอันดับ 100 เพลง Adult Contemporary ที่ดีที่สุดตลอดกาลในปี 2011 “How Deep Is Your Love” ก็ติดอยู่ในอันดับที่ 13 เพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเป็นซิงเกิลก่อนที่ภาพยนตร์จะออกฉาย และขึ้นสู่จุดสูงสุดภายใน 1 สัปดาห์หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัว นอกจากนี้ “How Deep Is Your Love” ยังได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาการแสดงเพลงป๊อปยอดเยี่ยมประเภทวงในปี 1977 ด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับ “How Deep Is Your Love” ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องสวยงามและความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องการฟ้องร้องกันด้วย เหตุเกิดขึ้นเมื่อนักแต่งเพลงและพ่อค้าของเก่าในรัฐอิลลินอยส์ โรนัลด์ เซลล์ (Ronald Selle) ฟ้องวงบีจีส์ด้วยข้อหาว่า เพลง “How Deep Is Your Love” มีการลอกเลียนเพลงที่เขาเขียนขึ้นในปี 1975 ชื่อ “Let It End” คดีเข้าสู่คณะลูกขุนในปี 1983 บีจีส์ให้การว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินเพลง “Let It End” มาก่อนเลย (และเพลง “Let It End” ก็ไม่เคยถูกปล่อยออกมาสู่สาธารณชนด้วย เพราะเซลล์ทำเองแต่งเองบันทึกเสียงเองที่บ้าน) ส่วนทางเซลล์ก็ใช้พยานซึ่งเป็นนักดนตรีวิทยานามว่า แอร์รันด์ พาร์สันส์ (Arrand Parsons) ซึ่งแสดงหลักฐานด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคของโน้ตว่าบีจีส์ลอกเลียนเพลงของเซลล์จริง ซึ่งในตอนแรกคณะลูกขุนก็ยอมรับหลักฐานนี้และตัดสินว่าบีจีส์ลอกเลียนเพลงของเซลล์ แต่อย่างไรก็ตามผู้พิพากษาได้เพิกถอนคำตัดสินดังกล่าว เซลล์จึงได้ยื่นอุทธรณ์แต่ก็ถูกปฏิเสธอีกครั้ง

คดีนี้ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาของคณะลูกขุนในการตัดสินคดีความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดนตรี และนำไปสู่ข้อโต้แย้งหรือหลักฐานที่ใช้ในการตัดสินจาก “ความคล้ายคลึงกันที่เห็นกันจะ ๆ ” (striking similarities) ระหว่างเพลงที่เป็นกรณีกันซึ่งถือว่าเป็นข้อโต้แย้งหรือหลักฐานที่ไม่เพียงพอที่จะใช้ในการพิสูจน์การลอกเลียนแบบ ทำให้ต่อจากนี้ไปนักแต่งเพลงต้องหาทางพิสูจน์ว่าบุคคลที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้ฟังเพลงที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ก่อนจริง ๆ

ลองฟังจากคลิปด้านล่างต้องยอมรับเลยว่าค่อนข้างเหมือนกันมากเลยทีเดียว และมีคนวัดค่าความคล้ายคลึงกัน ในเมโลดี้ท่อนอินโทรพบว่ามีความเหมือนกว่า 73% ส่วนท่อนคอรัสมีความเหมือน 61% แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก ๆ และด้วยความยอดเยี่ยมของบีจีส์และบทพิสูจน์จากบทเพลงอันเยี่ยมยอดทั้งหลายที่พวกเขาได้สร้างสรรค์ขึ้น แฟนเพลงจึงไม่มีข้อกังขาใด ๆ ในกรณีนี้อีกเลย และพร้อมที่จะอิ่มเอมไปกับ “How Deep Is Your Love” อย่างฟินที่สุด

ที่มา

songfacts

smoothradio

popiconsblog

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส