หลังจากปล่อย “Good Boy” ซิงเกิลลำดับที่ 4 จาก EP อัลบั้ม “Soul Sad” ศิลปินหน้าใหม่แนวโซลนามว่า ‘KJ’ จากค่าย Noble Music ก็ขึ้นแท่นกลายเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่หน้าจับตามองทันที เพราะมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ที่ปล่อยทางยูทูบได้พุ่งทะยานไปถึง 13 ล้านวิวแล้ว แถมยังเป็นเพลงที่ถูกแนะนำว่าเป็นเพลงยอดนิยมใน Tik Tok อีกด้วย ซึ่งหลายคนที่ประทับใจในบทเพลงของเขา ก็อาจยังไม่มีโอกาสได้รู้จักกับ KJ มากนัก

Beartai Buzz ได้มีโอกาสพูดคุยกับ KJ ถึงมุมมองความคิดในการเป็นศิลปินและเจาะลึก 5 บทเพลงใน EP อัลบั้ม ‘Soul Sad’ ให้ได้รู้จักกับศิลปินหนุ่มคนนี้ให้ดีมากขึ้นกัน

ความรักในเสียงดนตรีของ KJ เริ่มต้นเมื่อไหร่

ผมเริ่มร้องเพลงครั้งแรกตอนประมาณ 3 ขวบครับ ตอนนั้นคุณพ่อเล่าให้ฟังว่าผมขึ้นไปแย่งไมค์คุณพ่อร้องเพลงในงานบวชของญาติครับ แล้วพอที่บ้านเห็นอย่างนั้นเขาก็เลยสนับสนุนให้ผมได้ร้องเพลง ได้ฝึกร้องเพลงอย่างเต็มที่เลยครับ ก็ได้เริ่มแข่งขันระดับของโรงเรียนช่วงประถมต้นตอน ป.2 แล้วก็เรื่อยมาจนกระทั่งถึงม.ปลายมีได้ไปแข่งในระดับประเทศบ้างครับ ช่วงแรกผมจะร้องเพลงแนวลูกทุ่ง ก่อนที่จะเริ่มมีความสนใจในด้านของเพลงไทยสากล เพลงป๊อปทั่วไป และก็เริ่มชอบแนวอาร์แอนด์บี ตอนนี้ก็รักในแนวอาร์แอนด์บีไปเลยครับ

ตอนที่ร้องเพลงประกวดตอนนั้น เพลงลูกทุ่งและเพลงสากลที่ร้องบ่อย ๆ คือเพลงอะไร

เพลงลูกทุ่งที่ร้องบ่อยมาก ๆ ก็จะเป็นเพลง “สาริกาไร้รัง” ของคุณ ‘ยอดรัก สลักใจ’ ครับ คือคุณยายของผมเป็นคนชอบฟังเพลงลูกทุ่งมาก ๆ เลยครับ แล้วคุณยายจะคอยแนะนำเพลงลูกทุ่งที่น่าสนใจที่คิดว่าสามารถเอาไปแข่งขันได้เอามาให้ผมหัดร้องครับ เพลงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่คุณยายชอบมากตั้งแต่สาว ๆ แล้วก็บอกว่า KJ ร้องเพลงนี้ให้ยายฟังหน่อย ผมก็เลยหัดแล้วก็รู้สึกว่า โอ้โหมันเข้าปากสุด ๆ เลยครับ ส่วนเพลงสากลส่วนใหญ่แล้วผมจะร้องเพลงของ บรูโน มาส์ (Bruno Mars) เพราะว่าเรามีเรนจ์เสียงที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันครับ

KJ

KJ คิดว่าระหว่างเพลงลูกทุ่งของคนไทยเรากับเพลงโซลอาร์แอนด์บีที่มาจากชาวแอฟริกัน-อเมริกันอะไรคือจุดร่วมที่สำคัญระหว่างดนตรีสองทางนี้

ผมมองว่าจิตวิญญาณครับผม เพราะว่าโซลและอาร์แอนด์บีเนี่ยมันเป็นการแสดงความรู้สึกโดยดั้งเดิมของดนตรีแขนงสากลเลยครับ ส่วนเพลงลูกทุ่งก็คือการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นอยู่วัฒนธรรม ทัศนคติ ของคนไทยมาตั้งแต่ในสมัยก่อนที่ริเริ่มร้องเพลงกัน เพลงลูกทุ่งของเราก็ไม่ต่างอะไรกับโซลหรืออาร์แอนด์บีในระดับสากลเลยครับ ผมมองว่านั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมสามารถจูนทั้งสองแนวนี้เข้าด้วยกันได้ แล้วก็เทคนิคที่ผมใช้ก็มีการประยุกต์จากลูกทุ่งมาสู่แนวเพลงสมัยใหม่เช่นกันครับ

KJ นิยามแนวดนตรีของตัวเองว่ายังไง

แนวทางในตอนนี้เป็นการผสมผสานระหว่างโซล ฟังก์ และก็อาร์แอนด์บีครับ ด้วยความที่ไอดอลของผมคือ ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) และก็เดอะวีกเอนด์ (The Weeknd) ผมก็จะมีความชอบดนตรีแบบฟังก์อยู่ในตัวเยอะมาก ทำให้มันเป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลงของผมหลายเพลงครับ

ตอนนี้ KJ มี EP แรกแล้วชื่อว่า ‘Soul Sad’ คอนเซ็ปต์ของ EP นี้คืออะไร

คือชื่อ ‘Soul Sad’ นี่ล่ะครับเป็นการเอาคำว่า Sad ที่แปลว่าเศร้า แล้วก็คำว่า Soul ที่แปลว่าจิตวิญญาณ มาบวกเข้าด้วยกัน แล้วก็เป็นการแสลงกับคำว่า ‘So Sad’ ที่แปลว่าเศร้ามาก ๆ ครับ ก็คือเพลงในอีพีนี้จะเป็นเพลงที่มีเนื้อหาไปในทิศทางที่เศร้า ๆ หม่นหน่อยครับ แต่ด้วยความที่เป็นเพลงโซลผมก็เลยจะใส่ความสนุกบ้าง ใส่จังหวะที่ชวนให้เราได้โยกได้เต้น แต่เพลงทั้งหมดในอีพีนี้ก็จะเป็นเพลงที่เนื้อหาค่อนข้างจะเจ็บปวดทั้งหมดเลยครับก็เลยได้ชื่อว่า ‘Soul Sad’

เพลงที่แต่ง KJ เอามาจากประสบการณ์ส่วนตัว เรื่องเล่าของคนอื่น หรือว่ามาจากอะไรบ้าง

แต่ละเพลงที่ผมแต่งก็มีผสมปนเปกันไปครับ คือส่วนใหญ่แล้วผมมักจะใช้จินตนาการแล้วก็ประสบการณ์ของตัวเองมาผนวกเข้าด้วยกันแต่บางเพลงก็จะใช้เรื่องเล่าของเพื่อนหรือผู้ใหญ่ที่ผมรู้จัก เอามาลองเขียนดูครับเพื่อที่จะให้เข้าถึงคนหลาย ๆ กลุ่ม  ผมอยากให้ทุกคนฟังเพลงผมได้แบบไม่ได้อยากจะเจาะจงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งครับ

เรามา track-by-track กัน เริ่มที่เพลงแรก “เอาแต่ใจ”

เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ผมทำกับค่ายโนเบิลมิวสิก (Noble Music) ครับ ในเพลงนี้เหมือนกับผมกำลังคิดว่าเราจะหาโจทย์อะไรมาทำเพลงดี เพราะว่าตอนนั้นผมกับทางทีมโปรดิวเซอร์ในค่ายโนเบิลมิวสิกพยายามจะหากันว่าเราจะพรีเซนต์เพลงของเราแบบไหนดี แล้วช่วงนั้นผมกำลังเรียนอยู่ชั้น ม. 5 ผมก็เดินเล่นอยู่ในโรงเรียนแล้วอยู่ดี ๆ ก็คิดเพลงขึ้นมาได้ในหัวว่า “ก็ไม่ได้ชอบที่จะเรียกร้อง อาจจะดูเหมือนเอาแต่ใจ” แล้วผมก็รู้สึกว่ามันเตะหูดีจังเลย โดนผมจังเลย ผมก็เลยกลับบ้านไปแล้วก็นั่งตั้งใจเขียนเพลงนี้ต่อเลยครับ คือเนื้อหาเพลงนี้เหมือนกับว่าผมจะใส่ความเป็นคนที่เอาแต่ใจ ซึ่งจริง ๆ แล้วเนี่ยเราไม่ได้เอาแต่ใจเพราะอะไรเลยครับ แต่เป็นเพราะว่าเรารักเขา เราก็เลยอยากให้เขาอยู่กับเรา มันเป็นมุมมองของวัยรุ่นสมัยนี้หรือไม่ว่าจะสมัยไหนก็ได้นะเป็นมุมมองที่ค่อนข้างจะดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่จริง ๆ แล้วคือกำลังต้องการคนรักของเรามาก ๆ อะไรแบบนี้ครับ

เพลงต่อมา “หลุมดำ” เพลงนี้รู้สึกว่า KJ เล่าเรื่องได้ดีและมีความลุ่มลึกมากเลย

เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมเขียนในอารมณ์ที่เศร้าที่สุดในอีพีนี้แล้วครับ “หลุมดำ” เป็นการที่ผมนิยามความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่เปรียบเสมือนกับหลุมดำในอวกาศที่ดูดทุกสิ่งรอบตัวเข้าสู่จุดศูนย์กลาง ทำให้สสารหรือแม้แต่แสงไม่สามารถหลุดรอดออกมาได้ ดังนั้นความสัมพันธ์ประเภทนี้ก็จะทำให้ทั้งหน้าที่การงาน คุณภาพชีวิต หรือว่าทัศนคติของทั้งคนที่เรารักแล้วก็เราด้วยมีแต่ดำดิ่งลงไปข้างล่างครับ ซึ่งผมได้ฟังประสบการณ์ของคนที่อาจจะเคยแต่งงานแล้วหรือมีความรักยาวนานหลายปีที่เขาได้เล่าให้ฟังแล้วก็เขียนออกมาเป็นเพลง ผมถือว่าเพลงนี้ค่อนข้างจะเป็นมุมมองที่ออกแนวปรัชญานิดนึง แล้วก็มีความ deep มาก ๆ ผมว่าเนื้อเพลงเพลงนี้เป็นเนื้อเพลงที่เจ็บมากเลยครับ ถ้าฟังดี ๆ ก็อาจจะช่วยเตือนสติหรือว่าให้เราได้คิดทบทวนความสัมพันธ์ของตัวเองในหลาย ๆ ด้านครับ

ต่อมาเพลง “ไอฟาย (I’m Fine)” เพลงนี้ตั้งชื่อน่าสนใจมีการเล่นคำและตัวเพลงก็มาในแนวสนุกขึ้น มีความขี้เล่นด้วย

“ไอฟาย” นี่เหมือนกับผมต้องการที่จะเล่นกับมุกตลกเก่า ๆ ที่เขาจะแสลงคำว่า ‘I’m Fine’ เป็น ‘ไอ้ฟาย’ อะไรอย่างนี้ แล้วก็ภาษาอังกฤษคำว่า ‘I’m Fine’ แปลว่าฉันสบายดี ฉันโอเคดี เหมือนเป็นการหลอกคู่สนทนาของเราว่าเรายังสบายดีแต่เรากำลังประชดเขาอยู่ว่านี่เรากำลังโง่ในสายตาเขาหรือเปล่า ซึ่งผมเขียนให้มันไปในทิศทางของจังหวะดิสโก้ร่วมกันทำกับโปรดิวเซอร์ในค่าย เรามองว่าอยากให้เพลงสนุกขึ้นเพราะด้วยความที่ 2 เพลงแรกมันเป็นเพลงที่เศร้าแล้วก็ช้าน่ะครับ เพลงนี้ก็เลยอยากให้สนุกแล้วก็มีความขี้เล่น มีลูกเล่นแพรวพราวในเพลงนี้

ต่อมาเพลง “Good Boy” เพลงล่าสุดที่ปล่อยออกมาเลย

ใช่ครับ “Good Boy” ก็เป็นเพลงล่าสุดที่เพิ่งปล่อยมาเลยครับ เพลงนี้ผมช่วยกันเขียนกับพี่โปรดิวเซอร์ในค่าย ก็ Good Boy มันเป็นนิยามสำหรับผู้ชายที่ไม่ค่อยป๊อปปูล่าในยุคนี้เท่าไหร่ครับ เราเห็นว่ายุคนี้เนี่ยแบดบอยจะป๊อปปูล่ามากเลยใช่ไหมครับ ผมก็เลยแค่อยากจะลองมองมุมกลับอีกนิดว่าแล้วข้อดีของ Good Boy เนี่ยมีอะไรบ้าง จะได้ให้กำลังใจคนที่อยากจะทำตัวดี ๆ นิดนึงครับว่าเขาก็สามารถที่จะได้รับความรักได้เหมือนกัน ผมก็เลยเขียนมาเป็นแนวของการทั้งปลอบใจผู้หญิงที่โดนทำร้ายมาด้วย แต่เราก็ไม่ได้เหมารวมว่าใครแบดหรือว่าใครดี แต่คนที่ฟังเขาก็จะไปไตร่ตรองหรือว่าตัดสินกันเอาเองครับ ผมจะไม่ได้ตัดสินใครแต่เพลงของผมมันเป็นการตั้งคำถามแล้วก็ช่วยเยียวยาจิตใจผู้ฟังครับ ส่วนจุดเด่นในเพลงนี้ก็คือท่อนฮุกกับท่อนแร็ปรัว ซึ่งท่อนแร็ปรัวนี่ผมใช้เวลาเขียนค่อนข้างละเอียดเลยครับ

เชื่อว่าหลายคนน่าจะชอบน่าจะโดนใจเพลงนี้ เพราะดูจากยอดวิว (13 ล้าน) แล้วถือว่าประสบความสำเร็จมาก ๆ เลย รู้สึกตกใจไหม

ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะมาถึงขนาดนี้เลย ผมค่อนข้างเซอร์ไพรส์มากเลยครับ เพราะผมคิดว่าแนวเพลงโซล อาร์แอนด์บี ฟังก์ อะไรแบบนี้น่าจะยังไม่ค่อยเข้าถึงผู้ฟังกลุ่มใหญ่ของคนไทยเท่าไหร่ ด้วยความที่รสนิยมการฟังเพลงของคนไทยกับฝั่งอเมริกาค่อนข้างแตกต่างกันนิดนึง ผมก็แค่อยากทำผลงานที่เป็นตัวตนของผมเฉย ๆ แต่พอมีกระแสตอบรับที่ดีมันก็ทำให้ผมรู้สึกชื่นใจเหมือนกันครับในฐานะของผู้ผลิตผลงานว่ายังมีคนที่พร้อมเปิดรับฟังแนวเพลงใหม่ ๆ อยู่ ผมก็อยากจะให้กำลังใจศิลปินหน้าใหม่คนอื่น ๆ ด้วยครับว่าอย่าเพิ่งท้อแท้นะครับ ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี แต่ผมก็ยังมองว่าเราก็ต้องสู้ต่อไปยังต้องผลิตผลงานที่ดีต่อไปครับ ซึ่งก็ขอบคุณทั้งทางผู้ฟังแล้วก็ทางทีมงานโนเบิลมิวสิกที่ช่วยให้ผลงานชิ้นนี้ได้ออกมาครับ

มาที่แทร็กสุดท้าย “ไม่ต้องการความรัก”

ตอนนี้เพลงยังไม่ปล่อยออกมาครับ แต่ว่าเดี๋ยวอีกไม่นานก็คงจะได้ปล่อยให้ฟังกันแล้ว เพลงนี้เป็นการพูดถึงคนคนหนึ่งที่กำลังหลอกตัวเองว่าไม่ต้องการความรักหรอก ไม่ต้องการให้ใครมาสนใจ อยู่คนเดียวได้ แต่จริง ๆ แล้วข้างในหัวใจเขาว้าเหว่มาก สิ่งที่พูดไปทั้งหมดก็คือการประชดครับ เป็นมุมมองของคนขี้ประชดคนหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วเขาต้องการความรักสุด ๆ เลยครับ ก็มาในจังหวะประมาณดิสโก้สนุก ๆ เหมือนเดิม เดี๋ยวต้องรอฟังกันครับว่าจะเป็นยังไง เพลงนี้มีพี่บิ๊ก ‘D-Gerrard’ มาฟีเจอริ่งด้วย ก็จะเป็นรสชาติแปลกใหม่น่าสนใจเลยครับ

ในฐานะศิลปินน้องใหม่ KJ มีเป้าหมายยังไงบ้างในฐานะศิลปิน ตั้งใจจะไปถึงจุดไหนหรืออยากจะทำอะไรออกมาให้กับแฟน ๆ บ้าง

เป้าหมายของผมเนี่ย แน่นอนว่าผมต้องคาดหวังที่จะพาตัวเองไปสู่จุดสูงสุดที่ตัวเองพอใจ แต่เป้าหมายที่สำคัญยิ่งกว่าความสำเร็จของผมเลยก็คือการที่ผมไม่ดรอปคุณภาพงานของตัวเองลงมาครับ ผมไม่อยากทำให้แฟน ๆรู้สึกว่าฟัง KJ แล้วทำไมงานเมื่อก่อนถึงดีกว่าตอนนี้หรือว่าอะไรแบบนี้ครับ ผมอยากให้ทุกครั้งที่แฟน ๆ เข้ามาฟังเพลงผมแล้วเขายังรู้สึกอิ่มเอม ยังรู้สึกว่านี่คือศิลปินคนที่เขาชอบคนเดิมไม่เคยเปลี่ยนครับ

รู้สึกกดดันไหมหรือว่ามันเป็นพลังความท้าทาย

ผมมองว่าเป็นทั้งสองอย่างครับ แต่ผมเลือกที่จะมองให้เป็นพลังขับเคลื่อนมากกว่าแรงกดดันครับ คือความกดดันยังไงก็ต้องมีอยู่แล้ว ยิ่งแบบมียอดวิวเพิ่มขึ้นคนรู้จักหรือว่ามีชื่อเสียงมากขึ้นก็ทำให้บางทีเราอาจจะรู้สึกเครียดก็เป็นไปได้ครับ แต่ต้องคอยจัดการความรู้สึกความคิดตัวเองนิดนึงครับ

KJ มีอะไรอยากฝากถึงแฟน ๆ บ้าง

ก็อยากขอบคุณมากนะครับที่ให้การสนับสนุนกันครับ ตอนนี้เพลง “Good Boy” ก็เกิน 13 ล้านวิวแล้วครับ ก็อยากให้ทุกคนติดตามผลงานต่อ ๆ ไปของผมด้วยนะครับ แล้วก็อย่าเพิ่งเบื่อเพลงของ KJ กันนะครับยังมีอะไรให้ชมกันอีกเยอะมากเลยครับผม

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส