จากกรณีข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาได้จุดประเด็นเรื่องการครอบครองดินแดนอีกครั้ง โดยล่าสุดกัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลกในปมพิพาทชายแดน 4 จุดสำคัญ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันครบรอบของการตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ปี พ.ศ. 2505 ที่ในครั้งนั้นประเทศไทยได้แพ้คดีต่อกัมพูชา โดยมาจากคำตัดสินของศาลโลก และนำมาซึ่งผลของการที่ไทยต้องเสียปราสาทพระวิหารให้กับทางกัมพูชา
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันว่า “ศาลโลก” ที่มีบทบาทในการตัดสินข้อพิพาทระหว่างประเทศ แท้จริงแล้วมีที่มาอย่างไร ?

ศาลโลก ทำหน้าที่อะไร มีอำนาจพิจารณาคดีใด ?
“ศาลโลก” ที่เราได้ยินจนคุ้นหูและเรียกจนชินปาก จริง ๆ แล้ว มีชื่อเป็นทางการคือ “ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)” หนึ่งใน 6 องค์กรหลักของสหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1945 และตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีหน้าที่หลัก คือชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างประเทศต่าง ๆ และให้ความเห็นทางกฎหมายในประเด็นที่เสนอโดยองค์กร UN อื่น ๆ
ที่สำคัญศาลโลกเป็นองค์กรอิสระจาก UN ถือเป็นศาลระหว่างประเทศเพียงแห่งเดียวที่พิจารณาข้อพิพาทระหว่าง 193 ประเทศสมาชิก UN และเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ แก้ปัญหาระหว่างกันโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงหรือเข้าสู่สงคราม
ศาลโลกมีอำนาจในการพิจารณาสองประเภท คือ
- คดีข้อพิพาท (Contentious cases) คือข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างประเทศสมาชิก
- คดีให้คำปรึกษา (Advisory proceedings) คือคำถามทางกฎหมายที่องค์กรหรือหน่วยงานใน UN ส่งมาขอความเห็น
ซึ่งนับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน มีคดีที่เข้าสู่การพิจารณาประมาณ 200 คดีแล้ว
สำหรับคดีที่เคยผ่านการพิจารณาของศาลโลก เช่น คดีข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร ระหว่างไทยกับกัมพูชา (ปี 2505), คดีโคโซโวประกาศเอกราชจากเซอร์เบียฝ่ายเดียว ระหว่างเซอร์เบียและโคโซโว (ปี 1998-1999), คดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา ระหว่างชาวโรฮิงญาและเมียนมา (ปี 2019) เป็นต้น

ใครคือคนตัดสิน ? ผู้พิพากษาที่มีบทบาทอย่างมากในการตัดสินคดีของศาลโลก มาจากไหน
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก มีผู้พิพากษาทั้งหมด 15 คน ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยสมัชชาใหญ่และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ดำรงตำแหน่งวาระละ 9 ปี โดยมีการเลือกตั้งใหม่ทุก 3 ปี สำหรับ 1 ใน 3 ของที่นั่ง
ผู้พิพากษาเหล่านี้ทำหน้าที่อย่างอิสระ ไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาล และไม่สามารถมีผู้พิพากษาสัญชาติเดียวกันเกิน 1 คนในศาลได้
ปัจจุบัน สัดส่วนของผู้พิพากษาทั้ง 15 ตำแหน่งมาจากสัญชาติและภูมิภาคที่แตกต่างกัน ได้แก่ โซมาเลีย, จีน, สโลวาเกีย, ฝรั่งเศส, โมร็อกโก, บราซิล, สหรัฐอเมริกา, อูกันดา, อินเดีย, จาไมกา, ออสเตรเลีย, รัสเซีย, เลบานอน, ญี่ปุ่น และเยอรมนี (ข้อมูลล่าสุดในประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ)
ในการสมัครเข้าคัดเลือกเป็นผู้พิพากษานั้น รัฐทุกรัฐที่เป็นภาคีสมาชิกของธรรมนูญศาลโลก (ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 193 ประเทศ รวมประเทศไทย) มีสิทธิที่จะเสนอผู้สมควรดำรงตำแหน่ง เมื่อมีการเลือกตั้งที่ศาลโลก กลุ่มสมาชิกสัญชาติแต่ละกลุ่มจะสามารถเสนอชื่อบุคคลสมควรดำรงตำแหน่งได้ 4 คน
ใครสามารถยื่นเรื่องต่อศาลโลกได้ ?
ประเทศสมาชิกใน UN 193 ประเทศ สามารถยื่นฟ้องประเทศอื่นได้ หากเห็นว่าข้อพิพาทนั้นเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ร่วมของประชาคมโลก แม้จะไม่ได้มีความขัดแย้งโดยตรงก็ตาม

คำตัดสินของศาลโลกมีอำนาจบังคับหรือไม่ ?
คำตัดสินของศาลโลกถือเป็นที่สุด ไม่มีช่องทางในการอุทธรณ์ต่อไป อยู่ที่ประเทศคู่กรณีจะนำคำตัดสินไปบังคับใช้ในระดับประเทศ โดยทั่วไป ประเทศต่าง ๆ มักจะเคารพกฎหมายระหว่างประเทศและปฏิบัติตาม หากไม่ทำ หนทางเดียวที่เหลืออยู่คือขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่ง UN ลงมติเพื่อดำเนินการตามกฎบัตรสหประชาชาติ
ดังนั้น จึงเกิดคำถามว่า ถ้ากัมพูชาฟ้องไทยที่ศาลโลกและไทยไม่ยอมมาพิจารณา ศาลโลกจะบังคับให้ไทยปฏิบัติตามข้อพิพากษาได้หรือไม่ ?
คำตอบ คือ ไม่ได้ ศาลโลกไม่สามารถบังคับไทยได้ เนื่องจากศาลโลกไม่มีอำนาจที่จะบังคับรัฐหรือประเทศใดก็ตามให้เข้ามาอยู่ในกระบวนการพิจารณา โดยขาดความยินยอมของรัฐนั้น
ดังนั้น ในกรณีการยื่นฟ้องต่อศาลโลกของกัมพูชาครั้งล่าสุดนี้ เรื่องข้อพิพาทใน 4 พื้นที่ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด, ปราสาทตาควาย และบริเวณสามเหลี่ยมมรกต หลังจากที่การเจรจาไม่สามารถนำมาซึ่งข้อสรุปที่ลงตัวระหว่างสองประเทศได้
สถานการณ์นี้ยังคงน่าเป็นห่วงและยังต้องจับตากันต่อไป ทั้งการดำเนินการตอบโต้และการเจรจาที่อาจจะเกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งกระบวนการของศาลโลกหลังจากที่กัมพูชาได้ยื่นฟ้องไทยไปแล้วนั้น จะมีผลสรุปอย่างไร เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้