[รีวิว]แม่ครัวแห่งบ้านไมโกะ : ไม่ใช่ซีรีส์ที่คุณจะต้องชอบ แต่เป็นซีรีส์ที่คุณจะตกหลุมรัก
Our score
9.0

ผู้สร้าง

Genki Kawamura

จำนวนตอน

9 ตอนจบ / ตอนละ 38-46 นาที

เขียนบท/กำกับ

ฮิโรคาซึ โคเรเอดะ

ช่องทางรับชม

NETFLIX

[รีวิว]แม่ครัวแห่งบ้านไมโกะ : ไม่ใช่ซีรีส์ที่คุณจะต้องชอบ แต่เป็นซีรีส์ที่คุณจะตกหลุมรัก
Our score
9.0

[รีวิว]แม่ครัวแห่งบ้านไมโกะ : ไม่ใช่ซีรีส์ที่คุณจะต้องชอบ แต่เป็นซีรีส์ที่คุณจะตกหลุมรัก

จุดเด่น

  1. เรื่องนี้เป็นดราม่าคอมเมดี้ที่ชูความสัมพันธ์ของตัวละครโดยใช้อาหารเป็นตัวบอกรักค่ะ แตกต่างจากอนิเมะในด้านของการสื่ออารมณ์และการนำเสนอ แต่ให้ความรู้สึกดีที่ต่างกันออกไป ดีงาม ควรค่าแก่การตั้งใจดู

จุดสังเกต

  1. หิวทุกฉาก อยากกินทุกเมนู ถึงแม่ว่าจะน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับการประกาศตัวว่าเป็นฟู้ดซีรีส์
  • บท

    9.0

  • การแสดง

    8.0

  • การดำเนินเรื่อง

    8.0

  • โปรดักชัน

    10.0

  • ความสนุกตามแนวซีรีส์

    10.0

จากมังงะ สู่อนิเมะ และสานต่อมาถึงไลฟ์แอ็กชัน ถ้าซีรีส์เรื่องไหนเปิดตัวมาด้วย 3 สเต็ปนี้ ก็คาดหวังไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า ซีรีส์เรื่องนั้นต้องมีพลังงานบางอย่างที่สามารถดึงดูดเราไม่มากก็น้อย ‘The Makanai: Cooking for the Maiko House’ หรือ ‘แม่ครัวแห่งบ้านไมโกะ’ ซีรีส์น้ำดีที่จะทำให้คุณยิ้มและหิวไปพร้อม ๆ กัน แถมระหว่างทางยังเผลอน้ำตารื้นเอาด้วยแน่ะ

‘Maiko in Kyoto: From the Maiko House’ เป็นมังงะยอดนิยมของ ‘ไอโกะ โคยามะ’ ที่คว้ารางวัล Best Shounen Manga award ในงาน Shogakukan Manga Awards ครั้งที่ 65 (2020) มาครอง แน่นอนว่าของดีแบบนี้ก็มักจะถูกนำไปดัดแปลงเป็นอนิเมะสุดน่ารักในชื่อ ‘Kiyo in Kyoto: From the Maiko House’ ใครอยากดูไปดูได้ที่ bilibili นะคะ แต่ตอนนี้ถึงคราวของไลฟ์แอ็กชันกันแล้ว ในชื่อที่ยาวเบื๊อยไม่แพ้กัน ‘The Makanai: Cooking for the Maiko House’ หรือในชื่อไทย ‘แม่ครัวแห่งบ้านไมโกะ’ เล่าเรื่องราวของสาวน้อยวัย 16 ‘คิโยะ’ (นานะ โมริ) และ ‘ซูมิเระ’ (นัตสึกิ เดกุจิ) 

สองสาวเขามีความฝันอยากจะเป็น ‘ไมโกะ’ หลังจากจบมัธยมต้นก็ออกเดินทางจากอาโอโมริบ้านเกิดเข้ามาตามหาความฝันที่เกียวโต แต่คิโยะไม่สามารถผ่านด่านของการเป็นไมโกะได้ เรียกว่าสกิลไม่มีเลยสักนิด ในขณะที่ซูมิเระกลับฉายแววของไมโกะอย่างชัดแจ๋ว แต่มนุษย์เราก็มักจะมีความสามารถที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป เพราะถึงแม้ว่าคิโยะจะไม่สามารถเป็นไมโกะได้ แต่สิ่งที่เธอเป็นได้ดีกลับสร้างความสุขให้ทุกคนไม่แพ้การร่ายรำของไมโกะ นั่นคือการเป็น ‘มากาไน’ (แม่ครัว) ที่ดีที่สุด เพราะในขณะที่เธอกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านเกิด คุณแม่อาซึสะ (โทคิวะ ทาคาโกะ) ก็เห็นแววที่เด่นชัดของเธอเข้าพอดี

ชะตาเลยพลิกผันให้คิโยะกลายมาเป็น แม่ครัวประจำบ้านไมโกะ ซึ่งนั่นเป็นความสุขของเธอ เพราะเธอได้ทำอาหารให้ทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อย และได้อยู่ใกล้ ๆ คอยซัปพอร์ตความฝันของซูมิเระเพื่อนรักของเธอแทน ในย่านกิออนที่เก่าแก่แห่งนี้ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความอบอุ่น สนุกสนาน สวยงาม และอิ่มอร่อยของมากาไนและไมโกะคู่นี่นั่นแหละค่ะ

Cr.เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น

อาหารที่ดีก็คืออาหารธรรมดาที่ทุกคนบอกว่าอร่อย

“สิ่งที่ยากที่สุดในการทำอาหารก็คือความธรรมดานี่แหละ ….อาหารกับเครื่องปรุงของแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกันหรอก ถ้าทุกคนไม่บอกว่าอร่อยก็คงจะทำต่อไปไม่ได้” คำพูดที่แสนจะเรียบง่ายของคุณซาจิโกะแม่ครัวคนเก่าแห่งบ้านไมโกะ ได้กลายเป็นประกายเล็ก ๆ ให้กับสาวน้อยคิโยะ ที่อยู่ ๆ ความฝันใหม่ที่หอมหวานกว่าก็เข้ามาแทนที่ความฝันเดิมที่เธอเดินไปไม่ถึง เพราะมันไม่ใช่ทางของเธอยังไงล่ะ และได้กลายเป็นหัวใจของเรื่องนี้ไปในคราวเดียวกัน เพราะสิ่งที่ยากที่สุดในการทำซีรีส์ ก็คือการนำเสนอความธรรมดาให้ออกมาไม่ธรรมดานี่แหละ และซีรีส์เรื่องนี้ก็เป็นซีรีส์ธรรมดา ที่อร่อย ครบรส จนอยากจะบอกต่อ

อย่างที่บอกไว้ในเบื้องต้นว่า เรื่องนี้เป็นซีรีส์ฉบับคนแสดงที่สร้างมาจากมังงะยอดนิยมของ ไอโกะ โคยามะ ใครยังไม่ได้อ่านมังงะแนะนำให้อ่านหรือใครยังไม่ได้ดูอนิเมะแนะนำให้ดูค่ะ รับรองว่าจะไม่เสียอรรถรสในการชมซีรีส์แต่อย่างใด เพราะความรู้สึกที่ได้รับนั้นแตกต่างกันอย่างมาก แถมยังจะได้สูตรอาหารในเรื่องไปหัดทำกันด้วยแน่ะ มังงะและอนิเมะจะให้อารมณ์น่ารัก ขำขันตามสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่น และมีการนำเสนอเคล็ดลับการทำอาหารเป็นตอน ๆ ดูไปก็จินตนาการถึงอาหารของจริงไปค่ะ หิวเป็นพัก ๆ ว่ากันง่าย ๆ

แต่ซีรีส์จะจูงอารมณ์ของผู้ชมให้ลึกล้ำไปมากกว่านั้น ทั้งความรักระหว่างคิโยะและซูมิเระสองสาวเพื่อนแท้ที่คนหนึ่งคอยซัปพอร์ตความฝันของอีกคนด้วยกำลังใจและอาหาร ส่วนอีกคนพยายามทำความฝันให้เป็นจริงอย่างสุดความสามารถ เพราะฝันนั้นไม่ได้เป็นของเธอเพียงคนเดียว แต่มันเป็นฝันของเธอทั้งคู่ แน่นอนว่าซีรีส์ไม่มีบทบรรยายที่พูดถึงความรู้สึกนี้หรอกค่ะ แต่การถ่ายทอดของตัวแสดงในทุก ๆ อิริยาบถทำให้เราสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ง่ายดายและกินใจมากยิ่งขึ้นกว่าในอนิเมะไปอีกหนึ่งระดับ

ปรัชญาชีวิตแบบง่าย ๆ ที่พร่างพราวเต็มท้องเรื่อง

สิ่งหนึ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้บอกกับเราก็คือ เราสามารถเป็นคนที่มีความสุขความสำเร็จได้ ตามเส้นทางของตัวเอง และไม่มีทางเลือกไหนดีหรือด้อยไปกว่ากัน บทพูดของทุก ๆ ตัวละครจึงแฝงไปด้วยปรัชญาชีวิตที่เรียบง่ายและสามารถเป็นได้จริง ให้ความสมจริงชนิดที่เชื่อง่ายกับทุก ๆ การแสดงของตัวละคร เริ่มจากคิโยะตัวเอกของเรื่องที่ยอมรับอย่างง่าย ๆ และยิ้มแย้มว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเป็นไมโกะจริง ๆ และยินดีที่จะมีความสุขในเรื่องที่เหมาะกับตัวเอง คือการทำอาหาร ทุกบททุกตอนของตัวแสดงตัวนี้จึงแสดงออกมาให้เราเห็นว่าน้องหนูคิโยะใส่ใจและละเอียดอ่อนกับเรื่องนี้มากแค่ไหน แถมเธอยังเป็นคนมองโลกแง่บวกอีกต่างหาก

แม้แต่ฉากที่โดนตำหนิเรื่องการหัดร่ายรำที่อาจารย์ก็ไม่ไหวจะเคลีย แทนที่คิโยะจะสลดกับการโดนตำหนิแต่กลับห่วงราเมงในถ้วยของอาจารย์มากกว่าสิ่งใดซะอีก ไม่เสียใจที่โดนตำหนิ แต่เข้าใจและใส่ใจในความสุขของคนอื่นมากกว่าการขายขำแบบใสซื่อที่ออกมาในแต่ละฉากก็พาให้เราขำขันในความเป็นญี่ปุ่น และอินไปกับความรู้สึกที่ซีรีส์ตั้งใจจะถ่ายทอดให้เราได้รับหน้าตาเฉย และบอกกับเราว่าเธอเป็นคนแบบนี้ได้เพราะคุณยายที่เลี้ยงเธอมา ก็เป็นคนแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ จุดนี้ชูความแข็งแกร่งของสถาบันครอบครัวอย่างแจ่มแจ้งเลยทีเดียว

และเมื่อคิโยะไม่สามารถเดินไปบนเส้นทางของไมโกะได้ บทก็ชี้นำให้เราเห็นถึงความตั้งใจขึ้นเป็นสองเท่าของซูมิเระ ที่รู้สึกเสียใจกับเพื่อนรักและพยายามอย่างหนักที่จะเป็นไมโกะให้ได้ เพื่อฝันของตัวเองและเพื่อทดแทนความฝันของคิโยะ “ฉันจะเป็นไมโกะอันดับ 1 ให้ได้” เรียกว่าฉันจะทำให้สำเร็จให้ได้ไม่ใช่เพื่อตัวฉันเท่านั้นแต่เพื่อเธอด้วยนะเพื่อนสาว และความตั้งใจนี้ของซูมิเระก็ส่งไปถึงผู้คนรอบข้าง ทุกคนเห็นถึงความตั้งใจของเธอ เห็นถึงความสามารถและความรักที่เธอมีให้กับคิโยะ แต่ทุกคนก็ยังใช้วุฒิภาวะของตัวเองบอกกับสาวน้อยด้วยความรักว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นอันดับ 1 ก็ได้นะ แต่เป็นไมโกะที่สมกับเป็นตัวเธอเองก็พอ

ศิลปะของการบอกรักกับทุกฉากของการแสดง

หากใครจะบอกว่าเรื่องนี้คือซีรีส์ทำอาหาร มันก็ใช่ และหากใครจะบอกว่าเรื่องนี้คือซีรีส์แห่งศิลปะ ก็ใช่อีก อาหารทุกอย่างที่คิโยะทำผู้เขียนก็อยากกินทั้งหมดเลยค่ะ แต่ศิลปะการแสดงในเรื่องก็เอร็ดอร่อยไม่แพ้กัน เพราะเป็นศิลปะการบอกรักด้วยการใช้ศิลปะการแสดงขั้นสูงเป็นตัวป่าวประกาศ เราจะได้เห็นการร่ายรำแบบญี่ปุ่นโบราณที่ไม่สามารถหาชมได้ง่าย ๆ อันนั้นมันแน่อยู่แล้วเนอะ แต่สิ่งที่เราจะได้เห็นมากกว่านั้นคือการแสดงประเภทนี้เป็นการแสดงที่ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ลึกซึ้งมากมายเลยทีเดียว เป็นการแสดงซ้อนการแสดงที่คุ้มเกินจะคุ้ม

ในฉากหนึ่งของเรื่องเราจะเห็นได้เลยว่า ศิลปะการแสดงประเภทนี้เป็นการถ่ายทอดความรู้สึก ณ ห้วงเวลานั้นได้อย่างละเมียด กินใจ บอกตามตรงว่าผู้เขียนทึ่งกับฉากปฏิเสธการแต่งงานฉากนี้เอามาก ๆ และอยากให้ทุกท่านตั้งใจดู

อยากรู้เหมือนกันค่ะว่าแต่ละคนที่ได้ดูฉากนี้จะรู้สึกแบบไหนกันบ้าง แต่สำหรับผู้เขียนแล้วความรู้สึกที่ได้คือ การแสดงของ ‘โมโมโกะ’ (ไอ ฮาชิโมโตะ) บนเรือคืนนั้นช่างงดงาม ทรงพลัง และในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ เป็นฉากปฏิเสธการแต่งงานที่ลุ่มลึกและยากที่จะมีผู้ชายคนไหนไม่เคารพการตัดสินใจของเธอ เศร้าอยู่ในทีแต่ก็ทึ่งกับการตัดสินใจของเจ้าหล่อน มันเท่เอามาก ๆ บอกแค่นี้ จนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบทถึงเขียนให้ซูมิเระหลงรักการเป็นไมโกะได้ขนาดนี้ เพราะไอดอลที่ชักนำหัวใจของซูมิเระให้เข้าสู่วงการไมโกะ คือโมโมโกะเกอิชาชื่อดังของเมืองนี้นั่นเอง

แต่การบอกรักของเรื่องนี้ไม่ได้ใช้ศิลปะการแสดงแบบญี่ปุ่นโบราณมาบอกกันเท่านั้นค่ะ บทของเรื่องนี้ยังใช้ความเฉยชามาบอกรักกันอย่างเงียบ ๆ ด้วยการเขียนให้คุณแม่อาซึสะ มีลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอย่าง ‘เรียวโกะ’ (มากิ อาจู) ที่ช่างเย็นชาและขวางโลก เพราะเกิดมามีปมอยู่อีกหนึ่งคน ในบทบาทของตัวแสดงแม่ลูกคู่นี้เราจะเห็นเลยว่า เกอิชาก็คืออาชีพหนึ่งที่รักได้ก็ผิดหวังได้ ถูกนิยมชมชอบได้ก็ถูกผลักไสได้ไม่ต่างกัน และมันไม่ใช่ความผิดของใคร มันก็เป็นเพียงชีวิตธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง

และถึงแม้เรื่องราวส่วนใหญ่จะบอกเล่าถึงความฝันที่ไปถึงแน่ ๆ ของซูมิเระ เพราะเธอมีพรสวรรค์และพยายามอย่างมาก บทก็ยังส่งสาวแว่นคนนี้มาเป็นตัวแทนของความเป็นไปได้อีกรูปแบบหนึ่งให้เราได้รับรู้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเดินไปถึงจุดหมาย เพราะวันหนึ่งในขณะที่เรากำลังเดินบทเส้นทางนั้นอยู่ เราอาจพบว่านี่ไม่ใช่ทางของเราหรอก และการยอมรับตัวเองไม่ใช่การล้มเหลว แต่เป็นการเปลี่ยนเส้นทางใหม่ที่ใช่กว่าเท่านั้นเอง และหากใครได้ดูอนิเมะก็คงอดที่จะเอ่ยปากชมทีมแคสติ้งไม่ได้ เพราะช่างเคสนักแสดงได้เหมือนในอนิเมะซะจริง ๆ โดยเฉพาะน้องแว่นที่หิวพุดดิ้งอยู่ตลอดเวลาคนนี้

ประทับใจค่ะและชอบมาก ๆ กับการนำเสนอในรูปแบบคนแสดง ที่ส่งพลังความรักความอบอุ่นออกมาถึงนอกจอ ซีรีส์จะพาเราไปอยู่ในบ้านไมโกะที่เป็นเหมือนโรงเรียนกินนอนและมีกฎระเบียบของตัวเองอย่างเข้มงวด โดยไม่สนดราม่าใด ๆ ของโลกภายนอก สิทธิมนุษยชนเหรอ แล้วไงอ่ะ ก็บ้านนี้ไม่ให้พกโทรศัพท์มือถือ แต่ในความเข้มงวดนั้นก็มีความผ่อนคลายและใจกว้างอยู่ตลอดเวลา เป็นบ้านที่บรรจุไปด้วยความต่างของสาว ๆ แต่ละวัย ผ่านโลเคชันเรียบง่าย ผสมผสานความคลาสสิกกับการเคลื่อนไหวของโลกภายนอก และให้บรรยากาศสมจริงเสมือนอยู่ในบ้านหลังนั้นไปด้วยกันกับพวกเธอ

เราจะได้เห็นความน่ารักสมวัยของสาว ๆ ในบ้านหลังนั้น ความใส่ใจและเคล็ดลับการทำอาหารที่ไม่ใช่แค่ทำให้อร่อย ได้เห็นความผูกพันที่แม่ประจำบ้านมีต่อลูก ๆ ในบ้านทุก ๆ คน ความอบอุ่นซาบซึ้งจนน้ำตารื้น และเรื่องขำขันเบา ๆ กับชีวิตธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาของเหล่าไมโกะ ที่ในอนาคตปากเรียว ๆ ของเธอจะไม่ได้มีแต่สีแดงที่ริมฝีปากล่างเท่านั้น แต่มันจะถูกแต่งแต้มจนเต็ม เมื่อถึงวันที่เธอได้เป็นเกอิโกะ หรือเกอิชาแล้วนั่นเอง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส