Sofia Coppola Scarlett Johansson Bill Murray Lost in Translation

Sofia Coppola ไม่ได้ซีเรียสความต่างอายุของ Scarlett Johansson และ Bill Murray ใน ‘Lost in Translation’

เมื่อปี 2003 หลังจากที่หนังโรแมนติกคอมเมดี้ดราม่าสายเหงา ‘Lost in Translation’ ผลงานการกำกับของ โซเฟีย คอปโปลา (Sofia Coppola) ผลงานกำกับเรื่องที่ 2 ของเธอเข้าฉาย กลายเป็นหนังนอกกระแสที่ได้รับคำชมล้นหลาม ทำให้คอปโปลากลายเป็นผู้กำกับที่มีคนรู้จักมากขึ้น นอกจากนี้ก็ยังแจ้งเกิด สการ์เล็ต โจแฮนส์สัน (Scarlett Johansson) ให้เป็นที่รู้จักอีกด้วย

คอปโปลาได้ให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone เกี่ยวกับเบื้องหลังความสำเร็จและเรื่องราวต่าง ๆ ในวาระที่ในปีนี้ หนังขวัญใจชาวอินดี้เรื่องนี้มีอายุครบรอบ 20 ปีพอดิบพอดี ซึ่งนอกจากตัวหนังจะได้รับคำชื่นชมในแง่ของการเป็นหนังโรแมนติกที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์จาง ๆ ของคนเหงา 2 คนในเมืองแปลกหน้าอย่างโตเกียวได้อย่างน่าทึ่ง

แต่หนังเรื่องนี้ก็ยังมีข้อถกเถียงอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับคาแรกเตอร์และวัยของนักแสดง เพราะตอนที่ถ่ายทำในเวลานั้น บิล เมอร์เรย์ (Bill Murray) ผู้รับบทเป็นนักแสดงฮอลลีวูดตกอับ บ็อบ แฮร์ริส นั้นอายุปาเข้าไป 52 ปีแล้ว ส่วนโจแฮนสันที่รับบเป็นชาร์ล็อตนั้นอายุแค่ 17 ปี เรียกว่านับพ่อนับลูกได้ ไม่แปลกที่คนดูหลายคน รวมถึงลูกสาวทั้ง 2 คนของเธอจะรู้สึกแปลก ๆ กับความสัมพันธ์ต่างวัยในหนังเรื่องนี้อย่างมาก แต่คอปโปลาเผยว่า ตัวเธอเองไม่ได้รู้สึกซีเรียสอะไรนักในเรื่องนี้มากนัก

Sofia Coppola Lost in Translation

“ฉันเปิดหนังเรื่องนี้ให้ลูก ๆ ของฉันดูเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนที่เราไปโตเกียวและเข้าพักที่พาร์คไฮแอท (Park Hyatt Tokyo – โรงแรมที่ใช้เป็นโลเกชันที่โด่งดังหลังหนังฉาย) และนั่นเป็นครั้งแรกเลย พอดูมาได้สักพัก พวกเขาก็ถามว่า ‘ทำไมเธอยังดูเด็กมาก แต่เขาดูแก่กว่ามากขนาดนี้คะ ? ‘ มันเป็นสิ่งที่พวกเขาสังเกตเห็นชัดที่สุดแล้วล่ะ คือตอนที่ฉันกำกับเรื่องนี้ ฉันอายุใกล้เคียงกับสการ์เล็ตพอดี ฉันเลยไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับมัน”

‘Lost in Translation’ ผลงานการกำกับและเขียนบทของคอปโปลา ว่าด้วยเรื่องของชาร์ล็อต หญิงสาววัย 20 ต้น ๆ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวญี่ปุ่นกับจอห์น (จิโอวานนี ริบิซี – Giovanni Ribisi) แฟนหนุ่มช่างภาพผู้หมกมุ่นกับงานจนทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว และ บ็อบ แฮร์ริส นักแสดงรุ่นใหญ่ที่กำลังประสบกับวิกฤติวัยกลางคน ทั้งชื่อเสียงที่ตกต่ำลง และมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับภรรยา เขาเดินทางมาญี่ปุ่นเพื่อถ่ายทำโฆษณาวิสกี้ ท่ามกลางภาษาและวัฒนธรรมที่ทำให้เขารู้สึกแปลกแยก จนวันหนึ่ง คนเหงาผิดที่ผิดทางทั้ง 2 คนก็ได้มาเจอและเติมเต็มความรู้สึกให้แก่กัน

คอปโปลาเขียนบทหนังเรื่องนี้โดยได้แรงบันดาลใจจากวิกฤติภายในที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเองในวัย 20 ต้น ๆ เธอได้เดินทางไปยังญี่ปุ่นและรู้สึกประทับใจ จนหลังจากที่ผลงานกำกับเรื่องแรก ‘The Virgin Suicides’ (1999) เข้าฉาย เธอก็ได้เดินทางมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อโปรโมตหนัง และได้พักที่โรงแรม Park Hyatt Tokyo จนเกิดความประทับใจในบรรยากาศ

ว่ากันว่า คอปโปลาเขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้นจากประสบการณ์และความเปล่าเปลี่ยวและสับสนที่เกิดขึ้นในระหว่างติดตาม สไปก์ โจนส์ (Spike Jonze) อดีตสามีที่เดินทางมาถ่ายทำหนังในญี่ปุ่น จนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด และนำไปสู่การหย่าร้างกันในปี 2003 โดยมีการอ้างอิงว่า ตัวละครจอห์น แฟนของชาร์ล็อตในหนัง ก็คือตัวแทนของโจนส์ อดีตสามีของเธอนั่นเอง

คอปโปลาเล่าถึงเบื้องหลังที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกโจแฮนสันมาแสดงเป็นสาววัย 20 ทั้ง ๆ ที่ช่วงถ่ายทำในตอนนั้นโจแฮนส์สันเพิ่งจะอายุ 17 ปี ขนาดตอนฉาย เธอก็ยังเพิ่งจะอายุแค่ 19 ปี

Sofia Coppola Scarlett Johansson Bill Murray Lost in Translation

“ชาร์ล็อตควรจะมีอายุประมาณ 20 ต้น ๆ ค่ะ ซึ่งสการ์เล็ตจึงอายุน้อยกว่าตัวละครอีก ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าเธออายุแค่ 17 เอง! เธอดูเป็นผู้ใหญ่มาก แล้วเสียงแหบ ๆ ของเธอก็ยังทำให้เธอดูแก่กว่าอายุด้วย ฉันเองประทับใจเธอ ตอนที่เธอเล่นหนัง ‘Manny & Lo’ (1996) ค่ะ”

นอกจากนี้ คอปโปลายังเล่าในเชิงปกป้องความสัมพันธ์ต่างวัยของทั้งคู่ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวหรือผิดศีลธรรมอย่างที่ใคร ๆ เคยคิด “ถ้าลูก ๆ ของฉันจะสับสน ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ตอนนั้นฉันทำได้แค่สิ่งที่ต้องทำ ฉันสังเกตเห็นเรื่องนี้ก็เพราะว่าฉันดูกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเธอยังเป็นวัยรุ่น แล้วพวกเขาก็สงสัยว่าทำไมเป็นแบบนี้ แต่ยังไง บิลก็น่ารักและมีเสน่ห์มากนะคะ

“แนวคิดของหนังมันเป็นเรื่องของวิธีการที่คุณจะสามารถมีความสัมพันธ์โรแมนติก โดยที่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันทางกายหรือทางเพศก็ได้ คุณสามารถชอบคนโดยที่ไม่มีเรื่องแบบนั้นมาเกี่ยวข้องก็ได้ ต่อให้มีเหตุผลหลาย ๆ อย่างทำให้ชีวิตของทุกคนอยู่ในจุดที่แตกต่างกัน แต่คุณก็ยังสามารถเชื่อมโยงกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน”


ที่มา: Rolling Stone, IndieWire

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส