Dwayne Johnson (ดเวย์น จอห์นสัน) นักแสดงร่างใหญ่ที่มีแฟน ๆ ติดตามทั่วโลก ได้ตอบคำถามกี่ยวกับอาชีพนักแสดงของเขาผ่านทางอินสตาแกรม โดยเขาได้เปิดเผยว่า “ผมได้ไปคัดตัวสำหรับบทใน Fast Five หลังจากเสียบท Jack Reacher ให้กับ Tom Cruise (ทอม ครูซ)”

“ตลอดอาชีพการแสดงของผม ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกเลยนะ ผมโชคดีมาก ๆ มาโดยตลอดที่เหล่าผู้สร้างได้เขียนบทและออกแบบตัวละครมาให้กับผมแล้ว ยกเว้นเสียแต่บท Jack Reacher

ตอนนั้นต้องยอรับว่า Tom Cruise เป็นนักแสดงอันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ ส่วนผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย

และเมื่อผมไม่ได้บท Jack Reacher ทาง Universal ก็โทรมาหาพร้อมเสนอไอเดียชวนผมเข้าร่วมในแฟรนไชส์ Fast and Furious แทน”

Jack Reacher เป็นนิยายสืบสวนของ Lee Child (ลี ไชลด์) เกี่ยวกับ Jack Reacher นายทหารนอกราชการที่ลงมือสืบสวนกิจกรรมทางทหารที่ผิดปกติด้วยตนเองเพื่อเปิดเผยความจริงต่อสาธารณะชน โดยได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ 2 ภาคด้วยกัน คือ Jack Reacher (2012) และ Jack Reacher: Never Go Back (2016)

Tom Cruise Jack Reacher

Jack Reacher (2012)

อย่างที่เราทราบกันดีว่า Jack Reacher และ Jack Reacher: Never Go Back ที่ Tom Cruise แสดงนำนั้น ทำรายได้ทั่วโลกไปในระดับกลาง ๆ เพียงแค่ 218 ล้านเหรียญ และ 162 ล้านเหรียญ ตามลำดับ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับ Fast Five (2011) ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปอย่างสูงถึง 626 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Dwayne Johnson ในการรับบท Luke Hobbs อย่างต่อเนื่องในแฟรนไชส์ Fast and Furious มาอีก 4 เรื่อง ได้แก่ Fast & Furious 6 (2013), Furious 7 (2015), The Fate of the Furious (2017) และ Fast and Furious Presents: Hobbs & Shaw (2019) ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำรายได้ทั่วโลกไปอย่างมหาศาลทั้งสิ้น

นอกจากนี้ การรับบท Luke Hobbs ใน Fast Five ก็กลายเป็นการก้าวกระโดดในอาชีพการแสดงครั้งสำคัญของ Dwayne Johnson มาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว

Dwayne Johnson Fast and Furious

Fast Five (2011)

ในขณะนี้ Jack Reacher กำลังถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์สำหับฉายทาง Amazon Prime โดยได้ Lee Child เจ้าของบทประพันธ์ จะมารับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารในซีซันแรกด้วย แต่ยังมิได้เปิดเผยชื่อนักแสดงที่จะมารับบท Jack Reacher แต่อย่างใด

ข้อมูลอ้างอิง : screenrant

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส