เปลี่ยนมือจากจัสติน ลิน ผู้กำกับตี๋ มาเป็น เจมส์ วาน เจ้าพ่อหนังสยองขวัญอันดับ 1 ในยุคนี้ (saw,insidious,the conjuring) จุดนี้ผมชื่นชมทั้งทีมงานที่มีสายตาแหลมคม เลือกผู้กำกับได้เก่ง ทั้งที่ดูแล้วไม่ใช่แนวเลย ไม่มีประสบการณ์ในหนังแอ็คชั่นแล้วมานั่งเก้าอี้นี้และยังทำได้ดีอีกด้วย

หนังทุนสร้างสูงที่สุดที่ เจมส์ วาน เคยกำกับมาคือ the conjuring 20 ล้านเหรียญ แล้วโดดมากำกับ fast 7 ที่ใช้ทุนสร้างไป 250 ล้านเหรียญ fast6 ใช้ไป 160 ล้านเหรียญ แล้ว วาน ก็สานต่องานจาก ลิน ต่อเนื่องได้เนียนมากยังคงความเป็นแอ็คชั่นแบบ fast ไม่เหลือคราบเจ้าพ่อหนังสยองขวัญให้เห็นเลย จะมากกว่าภาคก่อนๆ ก็คือฉากวินาศสันตะโรนั่นละ ถ้าเปรียบเทียบทุนสร้าง กับ รายรับในภาคก่อนๆ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมยูนิเวอร์แซลกล้าลงทุนกับภาคนี้ถึง250ล้านเหรียญ

boxoffice
ภาคนี้บท ดอม ดูเด่นโดดมาคนเดียวเลย บทบาทของไบรอัน ดูลดสถานะไปเป็นเหมือนลูกทีมระดับเดียวกับ เท็จ และ โรมัน บทพูดน้อยลง ว่าไงว่ากันตามดอม ส่วน โรมัน ภาคนี้ยิงมุกติดได้เสียงหัวเราะ ค่อนข้างบ่อย ถือว่าเป็นตัวสร้างสีสันได้ดี ไม่งั้นก็ได้เห็นแต่ตัวละครหน้าบึ้งกันทั้งเรื่อง ดเวย์น จอห์นสัน โผล่มาน้อยแต่มาได้แบบเท่ในซีนสำคัญ, เคิร์ต รัสเซล หน้าใหม่สำหรับภาคนี้ ได้รับบทเด่นมาก

ตัวร้ายภาคนี้ มากหน้า ดจิมอน ฮุนซู ดาราเข้าชิง 2 ออสการ์ มารับบทหัวหน้าใหญ่ผู้ก่อการร้าย มี จา พนม เป็นมือสังหารประจำตัว มีบทพูดอยู่ 2-3 คำ โผล่มาก็ไล่ซัด พอล วอล์คเกอร์ อย่างเดียวเลย แต่ถือว่ามาได้ไกลสุดแล้วสำหรับดาราไทยที่ได้ไปปรากฎตัวยาวๆหลายนาทีในหนังทุนสร้างระดับนี้ มองอีกอย่างก็ถือว่ามีบทมากกว่า รอนด้า เราซีย์ ดารานักบู๊หญิงที่มีดีกรีแชมเปี้ยน UFC ที่โผล่มาแค่ฉากเดียว เจสัน สตาแธม อยู่ในตำแหน่งตัวขายของภาคนี้เลย ถูกใช้คุ้มมาก พะบู๊ตลอดเรื่อง คนเดียวทั้งซัดกับ ฮอบบ์ และ ดอม ดวลปืน ขับรถไล่ เขวี้ยงระเบิด ครบทุกฉากแอ็คชั่น

น่าสงสารสุดคือ ลูคัส แบล็ค ในบท ฌอน บอสเวลล์ พระเอกจากภาค 3 ภาคที่ง่อยเปลี้ยสุดของตระกูล fast เพราะทั้ง วิน ดีเซล และ พอล วอล์คเกอร์ ไม่กลับมาเล่น.วิน ดีเซล อยู่ในช่วงพยายามเปลี่ยนภาพพจน์ตัวเองจากพระเอกนักบู๊ไปเล่นหนังดราม่า find me guilty และหนังตลก the pacifier ส่วนพอล วอล์คเกอร์รุ่งสุดๆ ปีนั้นมีหนัง3เรื่อง eight below, running scared, flags of our fathers ทำให้หนังภาค3 ต้องเปลี่ยนบทนำ ย้ายมาเล่าเรื่องที่ญี่ปุ่นแทน พอภาค 4 ทั้ง วิน ทั้งพอล กลับมา ลูคัส แบล็ค ก็โดนเขี่ยทิ้ง ภาคนี้ได้โผล่มาไม่ถึง 5 นาที

FAST-7-FIGHT_612x380
มองกันที่เส้นเรื่อง ภาคนี้เน้นกันที่ฉากแอ็คชั่นกันในระดับถล่มทลาย คริส มอร์แกน คนเขียนบทที่เขียนมาตั้งแต่ภาค 3 ก็เพียงทำหน้าที่ผูกสถานการณ์แอ็คชั่นฉากหนึ่งไปสู่อีกฉากหนึ่ง แล้วคิดให้มันเวอร์ๆ ไว้เป็นพอ ไม่มีหักมุม พลิกสถานการณ์แต่อย่างใด สุดท้ายพระเอกก็ชนะด้วยวิธีการไหนเท่านั้น

เรียกว่าสร้างมาตอบสนองคอแอ็คชั่นอย่างจริงจัง ผู้สร้างมองแล้วว่าการเปลี่ยนพล็อตหลักจากหนังแข่งรถมาเป็นหนังแอ็คชั่นที่มีรถแข่งเป็นองค์ประกอบแล้วถูกใจคนดูมากกว่า มีรายได้จากภาคหลังๆ เป็นดรรชนีชี้ แนวทาง ว่าแล้วก็ใส่ฉากแข่งรถแซมๆ ไว้เป็นพอ เลิกโชว์ภาพรถสวยๆ เลิกพูดถึงสมรรถนะของรถ เอาแต่ขับไล่บี้ ชนกัน ให้เสียดายรถกันเป็นว่าเล่น หนังอัดฉากแอ็คชั่นถี่และยาวมาก เริ่มใส่กันตั้งแต่ 5 นาทีแรกเลย ฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆ 3 ฉาก ลากกันยาวๆ มีช่วงให้พักหายใจพูดคุยกันประมาณ 10 กว่านาที แล้วก็ซัดกันต่อเลย คนดูก็ต้องเปิดใจรับว่านี่คือหนังตลาด สร้างมาหวังเงินไม่ได้หวังออสการ์ เป็นโคตรหนังแอ็คชั่น เวอร์และโม้กันแบบสะบั้นหั่นแหลก ตัวละครเน้นสวยเน้นเท่กันเต็มที่ เวลายืน เดิน ต้องเรียงกันเป็นหน้ากระดาน เวลาเปิดตัวก็ต้องโผล่มาพร้อมกัน แบบที่หนัง ฟาสท์เจ็บ มันเอาไปล้อ ก่อนดูต้องลืมตรรกะเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่งั้นจะดูขัดหูขัดตาไปหมดแล้วจะดูหนังไม่สนุก

ในด้านความบันเทิง ถือว่าหนังตอบสนองได้แบบเต็มร้อย ดาราสวยหล่อเอ็กซ์ ภาพสวย ฉากทะเลทรายสวยมาก เพลงประกอบติดหู มุกตลกได้เสียงหัวเราะ แม้จะเป็นภาคที่ยาวที่สุดในหนังตระกูลfast แต่ก็อัดแน่นกันแบบไม่ได้พัก ฉากจบอุทิศให้พอล วอล์คเกอร์ทำได้สวยงาม เป็นฉากที่ไม่ได้โศกเศร้าแต่อย่างใดหรอก แต่กับการรับรู้ของคนดูว่านี่คือฉากแห่งการส่งท้ายจากลา พอล วอล์คเกอร์ หรือ ไบรอัน ที่อยู่กับหนังมาตลอด ก็ชวนให้ตื้นตันใจไปได้

เน้นย้ำว่า หนังทุนสร้างระดับนี้ต้องดูในโรงเท่านั้นครับ แต่ไม่ต้องถึงกับ IMAX หรือ 3D หรอกนะ รอให้กระแสซาแล้วค่อยไปดูก็ได้ โปรแกรมใหญ่อยู่ยาวเกิน200ล้านแน่ๆ

 

Play video