วิโอเลต วอเทียร์ หรือ วี เป็นนักร้องและนักแสดง ลูกครึ่งไทย-เบลเยียมวัย 27 ปี เธอเริ่มเป็นที่รู้จักจากการเข้าร่วมประกวดร้องเพลงในรายการ เดอะวอยซ์ไทยแลนด์ ซีซันที่ 2 ที่เธอตัดสินใจเข้าร่วมเพียงเพื่อจะพิสูจน์ว่าตนเองนั้นร้องเพลงเพราะจริงหรือไม่ แต่ผลลัพธ์นั้นไปไกลเกินกว่าที่เธอคาดไว้มากนัก  วีเริ่มมีผู้คนติดตามและชื่นชอบมากมายนำมาสู่โอกาสในเส้นทางที่เธอใฝ่ฝันนั่นคือการได้เป็น ‘นักร้อง’ และได้มีอัลบั้มแรกเป็นของตัวเองในชื่อ ‘Glitter and Smoke’ อันเป็นอัลบั้มคุณภาพที่เธอกลั่นประสบการณ์ในชีวิตถ่ายทอดออกมาอย่างจริงใจและซื่อตรงที่สุด นอกจากนี้เธอยังมีบทบาทในฐานะนักแสดงอีกด้วยซึ่งฝีมือการแสดงของเธอก็เป็นที่ยอมรับไม่แพ้บทบาทของการเป็นนักร้องนักแต่งเพลงเลย

ณ วันนี้ วี วิโอเลต หยัดยืนอยู่ในวงการมากว่า 7 ปี มีผลงานคุณภาพประดับวงการมากมาย ผ่านพบเรื่องราวหลากหลายทั้งร้ายดีจนเป็นประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้เธอมีความแข็งแกร่งและเชื่อมั่นใน ‘เสียงของเธอ’ เสียงที่สะท้อนตัวตนและทัศนคติของเธอซึ่งเธอเชื่อว่าเมื่อเธอเปล่งเสียงนี้แล้วมันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้คน

พบกับเรื่องราวแห่งจุดยืน ความ Authentic (จริงแท้) ความกล้า ความกลัว ความรัก ความหม่นหมอง หรือแม้กระทั่งความสุขของ ‘ วี วิโอเลต วอเทียร์ ‘ ได้เลยครับ

เป็นบทสัมภาษณ์ที่วีเคยพูดไว้นะครับว่าอยากแนะนำให้คนอยากประสบความสำเร็จว่าอย่าดุร้ายกับตัวเอง อันนี้แนะนำเรื่องอะไรอยู่

หนูรู้สึกว่าคนที่โหดร้ายกับตัวเราที่สุด คือ ตัวเอง ก็คือคำพูดที่เรามองตัวเอง ดูถูกตัวเอง ถ้าเราทำผิดพลาดเสียงในหัวเราไม่ควรจะบอกว่าแกมันเลว แกมันห่วย แกมันแย่ เพราะคนที่ใกล้ตัวเราที่สุดคือตัวเราเองยังพูดแบบนี้กับเรา เราจะไม่มีโอกาสดีขึ้นได้เลย นอกเสียจากเสียงในหัวเราจะบอกว่าไม่เป็นไรนะ เอาใหม่นะ หนูเลยรู้สึกว่าเสียงในหัวสำคัญ คนอื่นจะดุร้ายกับเราขนาดไหนแต่เราต้องใจดีกับตัวเองเสมอ แน่นอนมันต้องมีช่วงที่เรากดดันตัวเองขึ้นมาบ้างอย่าปล่อยปละละเลยต้องรู้ทันตัวเอง สุดท้ายแล้วแค่อย่าใจร้ายกับตัวเองจนเกินไปเพราะเราจะไม่เหลือใครแม้กระทั่งตัวเราเอง

ซึ่งวีดุร้ายกับตัวเองมั้ย

มีช่วงที่ดุร้ายกับตัวเอง แต่ตอนนี้ดีขึ้นค่ะ เพลา ๆ ลงบ้างแล้ว

ได้ข่าวว่ามีรับผู้จัดการคนใหม่มาดุร้ายกับเราแทน

ไม่ดุ ดุนิดหน่อยค่ะ

วีเป็นคนที่เอาเลขาของผมไปเป็นผู้จัดการฮะ แย่งเลขาผมไป (หัวเราะ) ทำงานเก่งเนอะ

ใช่ ๆ ๆ ทำงานเก่งค่ะ

ผู้จัดการส่วนตัวของวี อดีตเลขา ฯ ของป๋าเต็ด

แล้วก็เป็นคนที่แบบขี้งกมาก

ใช่งกประมาณนึง แต่ดีค่ะ

ไม่งกประมาณนึงอ่ะ งกมาก

Tight (เข้มงวด) ดีค่ะ หนูว่าดี

ทำให้เราดีด้วย

ใช่ แต่ ประโยคแรกหนูขอเล่านะคะ หลังจากที่ผู้จัดการคนปัจจุบันมาเป็นผู้จัดการหนูเนี่ย ตอนที่หนูเจอป๋าเต็ดป๋าเต็ดพูดกับหนูว่า ‘กินบนเรือนขี้บนหลังคานะวี’

โกรธมั้ยฮะที่พูดอย่างนั้น

ไม่ค่ะหนูรู้ป๋าเต็ดรักหนูแหละ

ยังรักเหมือนเดิม ยังรักทั้งคู่เหมือนเดิม

ใช่มั้ยล่ะ

“หนูรู้สึกว่าคนที่โหดร้ายกับตัวเราที่สุด คือ ตัวเอง ก็คือคำพูดที่เรามองตัวเอง ดูถูกตัวเอง ถ้าเราทำผิดพลาดเสียงในหัวเราไม่ควรจะบอกว่าแกมันเลว แกมันห่วย แกมันแย่ เพราะคนที่ใกล้ตัวเราที่สุดคือตัวเราเองยังพูดแบบนี้กับเรา เราจะไม่มีโอกาสดีขึ้นได้เลย”

AS A KID ตั้งแต่เด็ก

วีมีบุคลิกที่เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงใครเจอก็จะรู้ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กเลยรึเปล่า

คิดว่าเป็นมาตั้งแต่เด็ก แต่หนูไม่คิดว่าหนูเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงเวลาเราคิดจากมุมของเราเองนะ แต่ว่าสำหรับคนอื่นเค้าจะคิดว่าเราเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง

ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร

ไม่รู้ มันอาจจะเป็นแค่หนูเป็นคนชัดเจน เหมือนหนูรู้ว่าหนูต้องการอะไรสำหรับหนู คนก็เลยมองว่าเรามั่นใจเพราะเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เพราะหนูรู้ว่าหนูจะไปทางไหนมากกว่า

อะไรทำให้เราเป็นคนแบบนี้

หนูว่าน่าจะเป็นพ่อแม่หนูนี่ล่ะค่ะ (หัวเราะ) ทั้งพ่อทั้งแม่หนูเป็นคนมั่นใจ แม่หนูจะอยู่กับความจริง แบบชั้นเก่งจังเลยเรื่องนี้ ชั้นก็จะบอกว่าชั้นเก่งจังเลย แต่เรื่องไหนชั้นไม่รู้ ชั้นก็บอกว่าชั้นไม่รู้ เหมือนเรา appreciate ตัวเอง เหมือนถ้าเราทำดีเราก็ชมตัวเองว่าเราทำดีนะวันนี้

ความเป็นลูกครึ่งนี่มีผลรึเปล่า

มีค่ะ แม่เป็นคนไทย คนชัยภูมิ

โอเคบ้านเดียวกับพี่

จริงหรอ ! ใช่เราเคยคุยเรื่องนี้กันไปแล้ว ใช่และก็พ่อหนูเป็นคนเบลเยียมค่ะ มาจากแถว ๆ บรัสเซลส์

ส่วนผสมนี้ก่อให้เกิดอะไรในตัวเราบ้างฮะ ที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุด

หนูว่าสิ่งที่ทำให้หนูเห็นชัดมากคือ ความกว้างของคัลเจอร์ค่ะ แม่หนูจะมีนิสัยหลาย ๆ อย่างที่ไทยแต่เค้าก็มีความหัวก้าวหน้าประมาณนึง ไม่งั้นเค้าก็คงแต่งงานกับฝรั่งไม่ได้หรอกเนอะ ส่วนพ่อหนูก็เป็นฝรั่งแบบยุโรป เป็นฝรั่งที่สุดโต่งในทางแบบฝรั่ง ขนาดฝรั่งด้วยกันเองยังแบบเธอขนาดนี้เลยหรอ เธอชิลขนาดนี้เลยหรอ ปล่อยจอยได้ขนาดนี้เลยหรอ

มันหมายความว่าอะไรครับ อธิบายเพิ่มหน่อยคำว่าฝรั่งที่ยิ่งกว่าฝรั่ง

ตอนนั้นหนูจะไปแคนาดาค่ะ พ่อหนูก็เดินมาหาหนูแล้วบอกว่า ‘วีโอเลต เธอรู้วิธีใช้ถุงยางรึเปล่า’

โอเคครับ ตอนนั้นอายุเท่าไหร่ฮะ

16 ค่ะ

โอเค (หัวเราะ)

เราก็แบบยังพ่อใจเย็นก่อน แล้วเราก็เล่าให้แม่ฟัง แม่ก็แบบ ‘อย่าไปฟังพ่อมึง อย่าไปฟังพ่อมึง’ ในมุมเราก็จะมีแบบลูกสาวนะหวงนิดนึงก็ได้ แต่จริง ๆ เค้าก็หวงแหละแต่เค้าจะบอกในความเป็นจริงบางอย่าง

เค้าเป็นคนตรงในประเด็นที่เค้าเป็นห่วง ถ้ามัวแต่อ้อมค้อมเดี๋ยวผิดพลาด

ถูกต้อง ก็เลยมีความสุดทางของสองฝั่งอยู่ค่ะ แล้วหนูว่าความโชคดีของลูกครึ่งคือหนูเห็นตรงกลางระหว่างตรงนั้นนะ เหมือนแบบว่าถ้าหนูไม่เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หนูพูดหนูก็อ้างได้ว่าอ้าวก็พ่อบอกแบบนี้นี่ ถ้าหนูไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อพูดหนูก็จะบอกว่าแม่บอกแบบนี้นี่ แต่ถ้าหนูไม่เห็นด้วยกับทั้ง 2 คนหนูก็จะมี range (ขอบเขต) ตรงกลางให้เห็นอีกเยอะมากว่าตรงไหนคือจุดที่เหมาะสำหรับหนู หนูเลยรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นข้อตรงนี้นี่แหละที่ทำให้หนูเห็นอะไรที่แตกต่างมาตั้งแต่เด็ก

มันเลยทำให้เราได้เปรียบเทียบและเริ่มมีความชัดเจนว่าจะต้องเลือกแบบไหนมาตั้งแต่เด็ก

ใช่ น่าจะเป็นอย่างนั้นมั้งคะ

ภาพลักษณ์เรามันเหมือนแบบจะเป็นคนที่ต้องเรียนอินเตอร์มาตลอด แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยวีเรียนโรงเรียนไทย

หนูว่านิสัยหนูเป็นแบบเด็กฝรั่งในโรงเรียนไทย แต่พอไปอยู่ในโรงเรียนอินเตอร์ก็จะเป็นเด็กไทยในโรงเรียนอินเตอร์ มันจะไม่ได้เข้าพวกซะทีเดียวร้อยเปอร์เซ็นต์กับที่ไหน

แล้วเวลาเราอยู่กับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนไทยเรามีความแปลกแยกอะไรยังงี้มั้ยหรือว่าเข้าก๊วนได้อย่างสบาย

หนูว่าหนูเข้าได้อย่างสบายถ้าเป็นก๊วนของหนูเอง หนูรู้สึกว่าหนูเป็นคนปรับตัวง่ายอยู่ที่ไหนหนูก็ปรับตัวได้ อยู่กับฝรั่งก็อยู่ได้ อยู่กับคนไทยก็อยู่ได้ ไม่รู้สึกว่าแปลกแยกเมื่ออยู่กับเพื่อนเรา แต่ถ้าคนนอกออกมาหน่อยเค้าสามารถทำให้เรารู้สึกแปลกแยกได้ สมมติเราพูดอะไรไปเค้าก็จะแบบเธอจะไปรู้อะไรเธอมันฝรั่งนี่ อะไรแบบนี้ แต่จริง ๆ เราก็คิดว่าก็เราคนไทยนี่ มันก็เจอไปคนละแบบ คนที่อยู่รอบตัวเราคือคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรา belong (เป็นส่วนหนึ่ง)

LEAVING (on a jet plane) ณ วันที่ออกเดินทาง

เริ่มสนใจเรื่องดนตรี เริ่มชอบร้องเพลงเมื่อไหร่

ตั้งแต่จำความได้เลยมั้งคะ หนูดู Disney Sing-Along (วิดีโอรวมฉากร้องเพลงจากดิสนีย์แบบมีเนื้อเพลงขึ้นให้ร้องตาม) มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วหนูก็ชอบร้องเพลง ชอบเต้น มีความสุขกับสิ่งนี้ แล้วก็ช่วงอนุบาลเวลาใครถามว่าโตไปอยากเป็นอะไรก็จะตอบว่าอยากเป็นนักร้องตลอดเลยค่ะ

ทำไมตอนนั้นถึงประกวด The Voice

ตอนนั้นคือวีเสียเซลฟ์ เหมือนความเชื่อทั้งชีวิตของวี วีเชื่อว่าวีร้องเพลงเพราะ วีรักในเสียงเพลง วีรักการร้องเพลง วีเชื่อสิ่งนี้มาก แต่มันไปถึงจุดนึงที่เอ๊ะหรือจริง ๆ แล้วมันไม่ได้เพราะหรือเราอาจจะแค่รู้สึกคนเดียว

มีใครมาบอกรึเปล่า

ไม่มี เหมือนเราเป็นเอง มันเป็นส่วนของตอนที่เข้าคณะนิเทศมันก็จะมีฝ่ายเพลงที่เวลามีงานเค้าจะดึงไปร้องเพลงและเราไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในโผ คือทุกคนร้องกันเก่งมาก เราก็เลยแบบหรือจริง ๆ เราไม่ได้ร้องเพราะวะ จากที่เรารู้สึกว่ามันเป็นความสามารถพิเศษของเรา มันเลยดูไม่พิเศษขนาดนั้น ก็เลยอยากไปเพื่อพรูฟแต่ในใจก็แบบว่าถ้าไปก็ไม่ต้องบอกใครแล้วกัน ถ้าได้ก็ได้ถ้าไม่ได้ก็ไม่มีใครรู้แล้วที่สำคัญก็จะยังคงดื้อต่อไปว่าจริง ๆ  ชั้นร้องเพราะนะ ก็ยังคงเถียงในใจเบา ๆ  แต่แค่อยากรู้ว่ามันได้รึเปล่าด้วยเสียงของเรา

แต่สิ่งที่วีพูดกับกรรมการหลังจากที่ทุกคนหันมาพร้อมกันก็คือว่า อยากรู้ว่าแต่ละคนจะโค้ชวียังไงไปในทิศทางไหน คือเป็นคำถามที่ดูกร้าวมาก

จริงหรอออ ?

ตอนนั้นคือเหมือนกับกำลังออดิชันกรรมการอยู่ ประโยคนี้มันมายังไงครับ มันคิดไว้ก่อนหรือยังไง

ไม่ได้คิดไว้ก่อนค่ะ แค่เราอยากอยู่กับคนที่เค้าเข้าใจความเป็นเรา คนที่เค้าจะไม่พยายามเอาอะไรไม่รู้มาใส่เรา เพราะเราก็จะมีบางอย่างที่เราชอบอยู่แล้วหรือที่อยากทำอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกอยากให้คนที่มาเป็นโค้ชมีความเข้าใจเราประมาณนึง เราก็เลยถามไปว่าจะโค้ชวียังไงหรอ

ซึ่งเลือกถูกมั้ย

เลือกถูกนะ หนูรู้สึกว่าหนูเลือกถูกนะ

การเป็นโค้ชของพี่โจ้เนี่ย รายการจบก็ยังโค้ชต่อใช่มั้ย

โค้ชต่อค่ะ มีปาร์ต้งปาร์ตี้อะไร

ตามไปร้องเพลงที่ Big Mountain ด้วย

ใช่ค่ะ ปีแรกที่หนูขึ้น Big Mountain หนูไปร้องเวทีรำวง (กับ พี่โจ้ โจอี้บอย)

The Voice มันก็คงจะเรียกว่าเป็นหมุดหมายที่บอกว่าโอเค คุณสามารถดำเนินอาชีพนี้ต่อไปได้ สิ่งที่คุณมั่นใจคือเรื่องจริงมันไม่ได้คิดไปเอง ถ้ามองย้อนกลับไปที่เด็ก 19 คนนั้น มีอะไรที่ชอบและไม่ชอบในเด็กคนนั้นบ้าง

หนูกลับไปดูคลิปตอนนั้นเหมือนกันนะ แล้วหนูก็รู้สึกว่า โห เราอินโนเซนต์มากเลยนะตอนนั้น เหมือนแบบว่าเรายังไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้าแล้วเราก็แค่สนุกไปกับมัน เฉย ๆ เลย ทำไมจะร้องไห้

พี่ว่ามันเป็นช่วงสำคัญ

ป๋าเต็ดอย่าดึงค่ะ เดี๋ยวหนูมาจริงนะคะ ใช่ ๆ ค่ะ มันสำคัญมาก ๆ

แล้วมันเหมือนเป็นทางที่เราเลือกเองด้วย

หนูว่ามันเป็นเหมือนแบบจุด remind (เตือน / ทำให้จำได้) ของหนูว่า… (หันไปขอกระดาษทิชชู่) ทำไมคนมารายการนี้เค้าร้องไห้กันเยอะมากเลยนะ โอเคค่ะ

แสดงว่ามันเป็นเรื่องดี เรานึกถึงเรื่องที่ดี

ใช่ ๆ คือหนูรู้สึกว่ามันคือจุดที่เรา remind ตัวเองว่าเราทำตรงนี้เพราะอะไร มันไม่ใช่ว่าเพราะเงินหรือเพราะอะไรเลย มันคือเพราะเรารักสิ่งนี้ แค่นั้นเลยค่ะ มันไม่มี hidden agenda (จุดประสงค์อื่นแอบแฝง) ใด ๆ เลยค่ะ

ดีใจด้วยที่วันนั้นเลือกแบบนั้น พี่ว่ามันเป็นวิธีการเลือกที่แปลกนะสำหรับพี่ ไปประกวดร้องเพลงเพื่อพิสูจน์ว่าตกลงเราร้องเพลงดีจริงมั้ย โดยไม่ได้ถามใครด้วยเหมือนมันเป็นส่วนตัวมาก

ตอนนั้นก็คือลืมคิดว่ารายการมันดัง ไม่ได้มองตรงนั้น ไปประกวดจนแบบสนุก ได้เจอคนนั้นคนนี้ เทปยังไม่ออกตกรอบไปเรียบร้อยแล้ว พอเทปออกเท่านั้นแหละตกใจเหมือนกันนะ กับความที่คนมาแบบโห ! วี follow IG แบบขึ้นจนโอ้โห มีแฟนเพจ มันเยอะมากจนตกใจ มีคนแอดไลน์เข้ามาเต็มไปหมดว่าแบบ เฮ้ยชื่นชอบมากอย่างงู้นอย่างงี้ เราก็เลยแบบโอเคทำยังไงดี ๆ ก็ปิดที่เค้าให้แอดก่อน ปิดโทรศัพท์ไปกินข้าวแป้ปนึง ตกใจ

“หนูรู้สึกว่ามันคือจุดที่เรา remind ตัวเองว่าเราทำตรงนี้เพราะอะไร มันไม่ใช่ว่าเพราะเงินหรือเพราะอะไรเลย มันคือเพราะเรารักสิ่งนี้ แค่นั้นเลยค่ะ”

DEALING WITH FAME รับมือกับชื่อเสียง

เรารู้ว่ามีคนชื่นชมเราเยอะมันก็คงมั่นใจแหละ แต่มันมีข้อเสียด้วยมั้ย มันก่อให้เกิดผลกระทบแง่ดีแง่บวกยังไง

ตอนแรกวียังไม่รู้สึกว่ามันมีข้อเสียอะไรเท่าไหร่ มันยังไม่ได้แบบยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น แต่ในระยะยาวพอมันเริ่มก่อตัวขึ้นเราก็ต้องปรับตัวไปเรื่อย ๆ พอมีคนมาชื่นชอบเยอะขึ้นเป็นที่รู้จักในวงที่กว้างขึ้น ก็เริ่มต้องปรับในการใช้ชีวิตประจำวันละ เราก็ไม่สามารถใส่ชุดนอนไปนั่งบีทีเอสได้เหมือนปกติได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ จริง ๆ ก็ยังทำได้อยู่แต่มันก็จะมีการแบบโดนถ่ายรูปหรืออะไรอย่างนี้ แล้วเราไม่ได้อยู่ใน mood ว่าชั้นเป็นคนสวยเป็นจังหวะที่ตัวเองเน่า ๆ  อยู่ ก็เลยรู้สึกไม่สบายใจจังเลย

บางครั้งกินข้าวอยู่ก็มีคนมาแอบถ่าย มันก็แบบเอ๊ะ มันก็ต้องปรับตัวหาจุดที่พอดีสำหรับตัวเราเอง มันก็เริ่มมีความหงุดหงิดว่าทำไมชั้นถึงใช้ชีวิตแบบปกติไม่ได้ มันก็จะมีโมเมนต์แบบนั้นเหมือนกัน เริ่มรู้สึกแบบขอดี ๆ ก็ได้นี่ไม่เห็นต้องมาแอบถ่ายแบบนี้เลย มันก็เลยรู้สึกไม่สบายตัวเหมือนกัน มันก็จะมีโมเมนต์ที่เราไม่น่ารักขึ้นมา วีว่าเด็กจะเป็นเวลาถ่ายรูปเยอะ ๆ เด็กก็จะแบบไม่เอาแล้ว ๆ แบบนี้ มันก็จะมีโมเมนต์นั้นของวีเหมือนกัน ก็วันนี้ไม่พร้อมก็จะแบบได้ค่ะแต่จะเป็นได้ค่ะที่หน้าไม่น่ารักเลย หนูก็เริ่มโดนเพื่อนมาบอกว่าเฮ้ยวีเธอไม่เห็นหรอว่าหน้าเค้าแฮปปี้ขนาดไหนเวลาเค้าเจอเธออ่ะ ทำไมเธอทำหน้าอย่างนั้น เราก็เลยแบบเออว่ะ มันอาจจะเป็นครั้งเดียวที่เค้าเจอเราก็ได้นะ ยังไงเราก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้วอ่ะ ถ้างั้นเราก็ยิ้มรับสิแค่นั้นเองมันไม่ได้ยากขนาดนั้นเลย

เลยเริ่มรู้สึกว่าเราต้องมีขอบเขต บางอย่างเริ่มตั้งกฎออกมาอย่างการไปดื่มแอลกอฮอล์เราจะไม่ให้ถ่ายรูปละ เมื่อก่อนจะมีแบบต้องเอาทิชชู่ห่อบ้างถ่ายรูปติดเดี๋ยวผิดกฎหมายนะ แต่เราก็คิดว่านั่นเค้าถ่ายนี่เราไม่ได้ขายของนะ มันก็ต้องมีการหาจุดที่สบายด้วยจะมาเครียดขนาดนั้นตลอดเวลาก็ไม่ได้ งั้นก็ถ้าเราเริ่มดื่มแล้วก็งดถ่ายรูป เริ่มมาเป็นกฎนี้ละ

อันที่สองก็แบบเวลามีคนขอถ่ายรูปก็จงยินดี เพราะเค้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้เรามีวันนี้ เพราะฉะนั้นเราควรจะยินดีและเราก็รู้สึกยินดีจริง ๆ  ในตอนนี้ แต่เวลามีคนมาแอบถ่ายเมื่อก่อนจะหงุดหงิดมาก ขอดี ๆ สิ หลัง ๆ ก็เลยแบบว่าชั้นจะจับเธอคืนเธอแอบถ่ายรูปชั้นใช่มั้ยได้ อย่างนี้เลย เลยกลายเป็นว่าเราสนุก แม้ว่าเค้าจะแบบอุ๊ย เค้าก็จะเขิลหรืออะไรก็ตาม แต่วีรู้สึกว่าวี positive กับวันของวี วีแฮปปี้กับอะไรที่เกิดขึ้น มันก็ต้อง balance ไปเรื่อย มันก็ไม่รู้หรอกว่าจะต้องเจออะไรบ้าง พอเจอแล้วก็แค่โอเคต้องคิดยังไง ต้องมองยังไงกับเรื่องนี้ดี

วีจะหันไปชูสองนิ้วเวลาจับได้ว่ามีคนกำลังแอบถ่ายรูปเธออยู่

วิธีบาลานซ์นี่ทำยังไงครับกับความเป็นส่วนตัวกับความเป็นคนของสาธารณะ

หนูว่าให้มันเหมือนกันที่สุดอ่ะค่ะ อยู่บ้านเป็นยังไงอยู่ข้างนอกก็ให้เป็นอย่างนั้น

ตราบใดที่มันไม่เสียหายใช่มั้ยฮะ

ใช่ ๆ  หนูว่าโดยพื้นฐานแล้ว หนูไม่ทำอะไรเสียหายหรอก ไม่มีใครอยากสร้างเรื่องให้ตัวเองขนาดนั้นอยู่แล้ว หนูก็ใช้ชีวิตพยายามให้คนที่เค้าเห็นเรา เห็นเราในแบบที่ตัวเราเป็นจริง ๆ ที่สุด

BEING AN ARTIST ในฐานะศิลปิน

ทุกวันนี้เพลงมันจะดังได้ยังไงในมุมมองของศิลปิน

หนูรู้สึกว่ามันต้องจริงก่อนค่ะ ความ honest (ความจริงใจ) มันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องจริงนะคะ แต่ความรู้สึกที่อยู่ในเพลงน่ะมันต้องจริง และหนูรู้สึกว่าถ้าจริงคนมันรับรู้สารมันออกอยู่แล้ว หนูเลยรู้สึกว่าอันนี้เป็นคีย์สำคัญมากในการทำเพลงสำหรับหนู

ในการจะจริงนี่มันต้องเป็นเรื่องจรึงรึเปล่า

ไม่เสมอไปค่ะ อย่าง ‘Smoke’ เนี่ยจริงมาก แต่ไม่ได้เป็นเรื่องจริง เราไม่สูบบุหรี่แต่คนที่เราชอบเนี่ยสูบเรายอมออกไปด้วย เพราะเราชอบมากเรายอมดมกลิ่นบุหรี่ หนูรู้สึกว่าโรแมนติกมาก ซึ่งไอ้เหตุการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นจริงกับชีวิตหนูและหนูรู้สึกว่าสาว ๆ หลายคนก็ต้องเคยทำแบบนี้ แต่เรื่องที่หนูเล่าในเพลงไม่ใช่เรื่องจริงแต่ความรู้สึกหนูอ่ะจริง

แสดงว่ารีเสิร์ชต้องเยอะกว่าจะได้มาแต่ละเพลง

ไม่รีเสิร์ชเลยค่ะ พอมัน relate กับเราแล้วเรารู้ว่าเราจะเล่ายังไง อย่างเรารู้ว่าเหตุการณ์มันจริงมาก เหตุการณ์นี้เราเจอแน่ ๆ แต่แล้วยังไงต่อ พอไอเดียเพลงมันแข็งแรงมากแล้วเราจะเล่าต่อยังไง หนูก็สร้างเป็นหนังเลยค่ะสร้างซีนขึ้นมาเราเจอกันแบบนี้ เพื่อนชั้นเต้นอยู่ในห้องนั่งเล่น อ้ะเป็นเฮ้าส์ปาร์ตี้ เรารู้แล้วเริ่มสร้างเป็นซีนขึ้นมาในการเล่าเรื่อง

แปลว่าบางคนเวลาเขียนเพลงอาจไม่ได้จินตนาการเป็นภาพหรือเป็นเหตุการณ์มันก็จะเป็นการร้อยเรียงถ้อยคำเรื่อย ๆ ถ้อยคำมันอาจจะสวยแต่มันไม่ทัช

ใช่ค่ะมันไม่ทัชกับเราแล้วหนูรู้สึกว่าการใส่อะไรที่เป็นเราลงไป มันทำให้เพลงเราแตกต่างด้วย ดีเทลเล็ก ๆ นี้มันเป็นของเรา มันเป็นสิ่งที่เป็นเรา

“หนูรู้สึกว่ามันต้องจริงก่อนค่ะ ความ honest (ความจริงใจ) มันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องจริงนะคะ แต่ความรู้สึกที่อยู่ในเพลงน่ะมันต้องจริง”

ลองนึกตามดูครับคุณผู้ชมเราไม่สูบบุหรี่ เรายอมไปยืนดมควันบุหรี่เป็นเพื่อนต้องทุ่มเทขนาดไหน

อย่างเพลง ‘I’ll do it again’ เป็นเพลงอกหักด้วย อันนี้จริงร้อยเปอร์เซ็นต์มาก เรื่องคือจริงมากค่ะ แต่มันไม่มีใครที่มีเรื่องแบบนี้เหมือนเรา อย่างการบอกว่าของกระจายเต็มพื้นเลย ของแตกหักอยู่เต็มพื้นเลย เห็นภาพความสัมพันธ์เลยว่าเป็นอะไร หรือแบบชั้นเป็นผู้หญิงของเธอตรงที่นั่งข้างคนขับ คือใคร ๆ ก็อาจเป็นแบบนั้นแต่มันเป็นดีเทลของเรา การที่เราบอกเลิกกันในรถแล้วเราก็ร้องไห้อยู่ในรถบอกเค้าว่าไม่เป็นไรนะแบบนี้ มันคือเรื่องของเราแล้วมันเป็นดีเทลของเราที่วีรู้สึกว่ามันเป็นเมจิกของเราแล้วมันสามารถรีเลตกับคนอื่นได้ด้วย โดยที่เราไม่ได้มองว่ามันจะรีเลตขนาดไหนเรามองว่านี่มันเป็นเรื่องของเราที่เล่าออกมา

แฟนเพลงวีหลายคนก็อาจจะบอกว่าอ้าวเนื้อมันเป็นแบบนี้ทำไมไม่เขียนเป็นภาษาไทย มันจะรีเลตได้มากกว่านี้อีก

ค่ะ เดี๋ยวจะทำแล้วค่ะเพลงไทย ในตอนนั้นก็อยากลุ้นแหละว่าถ้าเป็นเพลงภาษาอังกฤษมันไปได้ยังไงบ้างก็อยากจะรู้เราก็ลองทำซึ่งเจอโควิดค่ะ ก็เลยยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเราก็รู้สึกว่าเราก็ทำไปเรื่อย ๆ เรามีความสุขที่จะทำแล้วเราก็คงไม่มาทำเพลงไทยอย่างเดียว เพราะเรารู้สึกว่าเราเขียนเพลงภาษาอังกฤษได้ดี มันก็คงมีคนชอบบ้างแหละ ตอนนี้ก็มีคนร้องได้อยู่นะ

พี่ชอบนะ แต่พี่เป็นห่วงว่าพอไปเขียนเป็นภาษาไทย ไม่ได้ว่าเขียนไม่เก่งหรือเขียนไม่ได้นะ

แต่เขียนยากนะคะภาษาไทย

ใช่มะ เพราะว่าภาษาไทยมันมีเมโลดี้อยู่ในนั้นไง

แบบโกงคำยาก

พอคุณโกงวรรณยุกต์คุณก็จะเป็นเพลงแบบฮิปฮอปภาษามอญโดยทันที

หนูเจอทริคมา เขียนเมโลดี้ก่อนถ้าเป็นภาษาไทย ถ้าเป็นเพลงไทยนะเมโลดี้นำไปเลยแล้วหาคำมาลงเมโลดี้

ที่พี่ขำนี่ไม่ใช่อะไร นี่เป็นสิ่งที่เค้าทำมาแต่โบร่ำโบราณ

แต่ปกติเวลาหนูเขียนภาษาอังกฤษหนูจะแบบไปด้วยกัน เขียนเป็นกลอนก่อนก็ได้ แต่เพลงไทยปกติที่ผ่านมาหนูก็เขียนมาด้วยกันแต่ทำไมมันยากจังเลย อย่างล่าสุดไปดำน้ำมาแล้วก็เขียนเพลงบนเรืออ๋อก็แค่เขียนเมโลดี้ก่อนสินะเพลงไทย ใช้เวลาแกะโค้ดนานมากกก (หัวเราะ)

บรรดาครูเพลงทั้งหลายเค้าทำมาแต่โบร่ำโบราณ เพราะเค้ารู้ว่าเพลงไทยมีวรรณยุกต์มีเมโลดี้ แต่วิธีที่วีใช้มันเป็นวิธีเขียนเพลงฝรั่งซึ่งใช้วิธีนี้ได้

มันจะทำอะไรก็ได้แต่อย่างเพลงล่าสุดหนูเขียนเป็นกลอนก่อน เป็นภาษาไทย เขียนแบบเดารู้สึกว่าส่วนมันจะเป็นแบบนี้ในหัว เขียนเหมือนแบบแรป ๆ ไปก่อน ว่าโอเคเว้นวรรคมันน่าจะประมาณนี้แล้วค่อยมาหาเมโลดี้แล้วถ้าอันไหนไม่ลงก็ตัด ไม่เพราะก็เติม

ก็พบกันครึ่งทางเขียนเนื้อก่อนก็จริงแต่ก็พร้อมที่จะปรับเมโลดี้ได้

ค่ะ ให้มันพอดี หรือถ้าประโยคไหนไม่ได้ก็ขีดทิ้งไปเลย แล้วหนูก็เป็นคนที่คำศัพท์ไม่หลากหลาย

พี่มีทริคให้คำศัพท์ไม่หลากหลายแต่คุณทำให้เหตุการณ์มันหลากหลายได้ แล้วมันจะทำให้เพลงไม่ซ้ำ จริง ๆ สิ่งที่วีทำในเพลงภาษาอังกฤษนั่นคืออาวุธหนักเลยนะ ไอ้การที่บรรยายภาพแบบที่มันจริงมาก ๆ  พี่รู้สึกว่าอันนี้แหละต่อให้ใช้คำซ้ำก็ไม่เป็นไป เพราะเหตุการณ์มันพิเศษ สู้ต่อไปครับ

ขอบคุณค่ะ สู้ต่อไปจริง ๆ ค่ะ

วีเป็นคนเศร้ามั้ยถ้ามองภาพรวมแล้วถือว่าเราเป็นคนดาร์กมั้ย เห็นภาพแล้ววีเป็นสาวน้อยน่ารักสดใสเชื่อว่าหลายคนก็รู้สึกอย่างนั้น แต่เพลงมันหม่นอ่ะ ทำไม

หนูว่าในวัยเด็กเราจะมีความอีโมเล็ก ๆ อยู่ในตัวแล้วล่ะ อย่างตอนนี้หนูรู้แล้วว่าในอนาคตเพลงหนูมันจะไม่หม่นขนาดนั้นละ เพราะหนูได้ก้าวข้ามผ่านช่วงนั้นมาแล้ว แต่ช่วงก่อนหน้านั้นมันจะมีความแบบยิ่งชั้นเศร้า ยิ่งชั้นหม่น ชั้นยิ่งเท่ และในเวลาเดียวกันคือมันรู้สึก เพลงมันเศร้ามันรู้สึก

ความเศร้าเป็นอารมณ์ที่เข้าใจง่ายที่สุดอารมณ์นึง

เหมือนเวลาเราเศร้าเราก็จะระบายมันออกมา และพอเราระบายมันออกมาเป็นเพลงเราก็โล่งละ มันเลยเป็นเพลงเศร้า แต่หนูคิดว่าหนูเป็นคนที่สดใสและ positive มาก ๆ หนูเอา negative ไปลงกับเพลงหนูหมดแล้ว แล้วหนูก็ไม่เหลือความ negative ในตัวละ โดยองค์รวมหนูไม่รู้สึกว่าหนูเป็นคนเศร้าแต่หนูมีช่วงเวลาที่หนูเศร้าเยอะ และหนูเป็นคนที่เซนซิทีฟ เวลารู้สึกหนูเลยรู้สึกกับมันมาก

เป็นประโยชน์ในการเขียนเพลงมั้ย

เป็นค่ะกับการแสดงด้วย

เคยเสียใจกับเรื่องอะไรมากที่สุดครับ

โห มีหลายเรื่องมากเลยค่ะ ล่าสุดเลยนะคะก็เป็นเรื่องความสัมพันธ์เป็นคนที่เราสนิทมานานและความสัมพันธ์มันไม่ราบรื่น คนมันแคร์กันพอมันยาก ๆ มันก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว

แล้วเป็นคนผ่านอะไรแบบนั้นไปง่าย ๆ มั้ย

หนูเข้าใจว่าผ่านง่ายแต่ก็ไม่ง่ายเหมือนกันค่ะ อยู่ในช่วงเวลาที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ

อะไรช่วยให้เราผ่าน เขียนเพลง ?

ไม่ค่ะ ตอนนี้หนูหันหาแม่อย่างเดียวเลยค่ะ เรารู้สึกว่านั่นคือเซฟบับเบิ้ลของเรา เป็นที่ ๆ เราปลอดภัยที่สุดกลับไปอนู่ตรงนั้นดีกว่า

วีรู้สึกอย่างไรกับประโยคที่ว่า ‘ความสัมพันธ์ที่พังทลายมักนำไปสู่การสร้างสรรค์งานศิลปะที่ดีเสมอ’

จริงและไม่จริงค่ะ หนูรู้สึกว่าอันนี้หนูไม่สามารถพูดแทนคนอื่นได้นะ แต่ในมุมหนูความสัมพันธ์ที่พังทลายหนูสามารถเขียนเพลงได้ แต่โดยมวลรวมหนูยังต้องมีความสุขในชีวิตอยู่ หนูแค่เศร้าเรื่องนี้ซึ่งมันอาจจะดูเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตแต่ว่าพื้นฐานของชีวิตหนูยังมีอะไรให้หนูเกาะอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันพังทลายและหนูไม่มีอะไรให้เกาะเป็นความสุขได้เลยหนูไม่น่าเป็นผู้เป็นคนที่สามารถเขียนเพลงได้ มันต้องเป็นความเศร้าที่เรายังรับได้อยู่ด้วย

วีเคยให้สัมภาษณ์ว่า ‘ถ้ามนุษย์เราไม่มีอารมณ์มันจะไม่สวยงามเลย’ ประโยคนี้หมายความว่ายังไงครับ

หนูไม่รู้ว่าพูดตอนไหน แต่หนูรู้สึกกับสิ่งนี้มาก ๆ เลยนะ ถ้าทุกอย่างเรียบ ๆ ไปหมดมันน่าเบื่อมากเลย มันต้องมีอารมณ์ มันต้องขึ้นมันต้องลง มันต้องมีเรื่องในชีวิตบ้างมันถึงจะสวยงาม ชีวิตมันต้องไม่เพอร์เฟกต์ ถ้ามันเพอร์เฟกต์เราจะมองไม่เห็นความสวยงามของมันเลย มันต้องมีอะไรให้เปรียบเทียบอยู่เรื่อย ๆ ไม่ได้หมายความว่าเปรียบเทียบว่าอะไรดีกว่ากัน แต่มันต้องเปรียบเทียบให้เห็นว่ามีดีและมันก็มีไม่ดี และเวลาที่มันมีดีนี่มันสวยขนาดไหนและความไม่ดีมันก็ยังมีสิ่งดี ๆ ที่สวยงามอยู่ในนั้นได้ อย่างเช่น ในวันนึงที่เราเศร้ามาก ๆ แต่เรามีคนรอบตัวเราที่คอยให้กำลังใจเรานี่เป็นเรื่องที่สวยมาก

เนื่องจากว่าวีเป็นศิลปินหญิงที่แต่งเพลงเองด้วยก็เลยขอเปรียบเทียบกับ เทย์เลอร์ สวิฟต์นิดนึง คือเทย์เลอร์ สวิฟต์เค้าจะขึ้นชื่อมากเรื่องแบบเวลาออกอัลบั้มใหม่นี่รู้เลยว่าเลิกกับใครมาบ้าง วีมีความเห็นอย่างไรกับวิธีการทำงานเช่นนี้หรืองานของเทย์เลอร์ สวิฟต์อย่างไรบ้างครับ

คือหนูเริ่มแต่งเพลงเพราะเทย์เลอร์ สวิฟต์ เพราะว่าตอนนั้นหนูอายุประมาณ 15-16 แล้วก็รู้สึกว่าเค้าอายุเท่า ๆ เราตอนที่เค้าเขียนเพลงและเล่าเรื่องของเค้า และเราก็รู้สึกว่าจริง ๆ ชีวิตชั้นก็มีอะไรให้เล่าเต็มไปหมดเลยนะก็เลยลองเขียนบ้าง แล้วก็เขียนจีบผู้ชายเลยค่ะหลัก ๆ เลยตอนนั้น

อันนี้ตรงข้ามกับเทย์เลอร์ สวิฟต์เลยนะ อันนั้นเค้าจะเขียนตอนที่เลิกไปแล้ว

หนูก็เขียนตอนเลิกด้วยนะคะ หนูเขียนหมดทั้งจีบ ทั้งเลิก เขียนได้ทุกแบบ แบบเรื่องอะไรก็เขียนได้ ใครด่าชั้นชั้นเอามาเขียนหมดเลย เราก็จะแบบเทิร์นทุกอย่างมาสู่เพลง หนูเลยรู้สึกว่านี่แหละต้นแบบการเขียนเพลง และหนูชอบวิธีการเล่าเรื่องของเค้า และหนูรู้สึกว่าถ้าหนูเล่าเรื่องคนอื่นหนูคงไม่ own it จริง ๆ และการที่เทย์เลอร์จะเล่าเรื่องอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของเค้า หนูสนับสนุน เอาเลย เพราะหนูรู้สึกสนุกมากเหมือนได้ดูซีรีส์ไปด้วย และได้แกะรหัสว่าอะไรยังไง หนูรู้สึกหนูเห็นด้วยค่ะทำไปเลย เผลอ ๆ หนูเอามาทำกับหนูด้วยค่ะ

“ถ้าทุกอย่างเรียบ ๆ ไปหมดมันน่าเบื่อมากเลย มันต้องมีอารมณ์ มันต้องขึ้นมันต้องลง มันต้องมีเรื่องในชีวิตบ้างมันถึงจะสวยงาม ชีวิตมันต้องไม่เพอร์เฟกต์ ถ้ามันเพอร์เฟกต์เราจะมองไม่เห็นความสวยงามของมันเลย”

มันทำให้เพลงมีชีวิต

ใช่ค่ะ เพราะมันเป็นชีวิตของเรา

มีคนแกะรหัสเพลงเราบ้างมั้ย

มีคนแกะเหมือนกันแต่ยังไม่ถูกค่ะ

คนอื่นอาจแกะไม่ออก แต่คนในเหตุการณ์เค้าน่าจะแกะได้

ค่ะ ใช่ค่ะ

แล้วมันส่งผลต่อความสัมพันธ์มั้ย

ไม่ค่ะ เพราะว่าหนูไม่ได้เขียน negative หนูไม่ได้ว่าใคร

สมมติว่าเราพูดถึงคนที่เลิกไปแล้วแบบไม่ negative ด้วย แล้วคนที่คบกับเราอยู่ตอนนี้เค้าจะไม่รู้สึกแบบว่า ‘ทำไมเขียนถึงไอ้หมอนั่นดีอ่ะ’

ไม่หรอกเพราะว่าหนูเขียนสิ่งนี้มาก่อนแล้ว เราไม่ได้เป็นฟีลแบบหวนระลึกถึงอะไรอย่างนั้นสักหน่อย

เริ่มมีความอึดอัด ไม่ได้ไปลึก ๆ

ไม่ได้อึดอัดค่ะแค่ เอ๊ะจะตอบยังงัยดีน้า (หัวเราะ)

วีเคยเล่าว่าจุดประสงค์หนึ่งในการทำผลงานเป็นอัลบั้มเพื่อให้บันทึกช่วงชีวิตเอาไว้ การบันทึกช่วงชีวิตเอาไว้มันสำคัญยังไงครับสำหรับวี

มันทำให้เราจำได้ค่ะ คือบางคนอาจจะแบบถ่ายวิดีโอโมเมนต์ไว้ ถ่ายรูปไว้ แต่สำหรับหนูพวกเหตุการณ์ต่าง ๆ  ที่อยู่ในเพลงมันไม่ได้สามารถถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอไว้ได้ แต่เพลงพวกนี้มันทำให้เรากลับมาแล้วแบบอ๋อตอนนั้นเรารู้สึกแบบนี้นี่นา จริง ๆ มันไม่จำเป็นต้องเป็นแค่เพลงหนูเองด้วยนะ อย่างเพลงเก่า ๆ ที่เราเคยฟังในตอนที่ทำอะไรก็ตามที่ทำให้เราจำได้กับเหตุการณ์นั้น พอกลับมาฟังใหม่มันจะทำให้หวนกลับไปนึกถึงตอนนั้นว่าเราทำอะไรอยู่รู้สึกยังไงอยู่ และอันนี้มันเป็นเรื่องของเราด้วย เป็นเรื่องที่เราเขียนเอง มันทำให้หนูรู้สึกว่าภาพชัดมาก เกิดอะไรขึ้น ทำให้กลับไปรู้สึกแบบนั้นได้ทันทีที่หนูฟังจำได้ว่าหนูรู้สึกยังไง

นี่ก็คือวิธีการบันทึกไดอารีในแบบของวี ณ วันนี้นั่นเอง เพียงแต่ว่าเป็นการบันทึกไดอารีที่ลงทุนมหาศาลใช้เวลานานมาก

แต่หนูก็รู้สึกว่าในอนาคตมันอาจจะไม่ได้พูดว่าเป็นการแบบไดอารีร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะมันก็จะเริ่มมีหัวมาร์เก็ตติ้งเข้ามาเกี่ยวข้อง

มันก็อาจเป็นไดอารีว่าศิลปินที่ชื่อว่าวีคนนั้นคิดอย่างไรในช่วงเวลานั้น

ใช่ และหนูว่ามันเป็นการบันทึกการเติบโตของหนูได้ อัลบั้มนี้หนูเป็นแบบนี้ อัลบั้มหน้าหนูคงไม่มาทำแบบเดิมอยู่แล้ว หนูก็จะเห็นว่ายุคนี้หนูเป็นแบบนี้ ยุคนี้หนูเป็นแบบนี้ หนูเติบโตขึ้นไปเป็นแบบนี้และสิ่งหนึ่งที่หนูเห็นจัง ๆ เลยคือล่าสุดหนูไปเล่นคอนเสิร์ต cat t-shirt มาและมีคนเดินมาบอกว่าพี่วีหนูชอบพี่มาก ชอบตั้งแต่ออกรายการ The Voice และหนูก็มองหน้าเค้าแล้วถามว่า ‘ขอโทษนะ น้องอายุเท่าไหร่นะ’ น้องเค้าอายุประมาณ ม. 6 แล้วหนูก็ calculate เร็ว ๆ ว่าน้องอายุ 11 เองตอนที่น้องฟังหนูอ่ะ หนูก็เลยแบบอ๋อคนฟังเค้าก็โตไปกับเรานี่หว่า จริง ๆ  แล้วการที่เราเติบโตเราไม่ได้โตอยู่คนเดียว เราโตต่อหน้าทุกคนแล้วเค้าก็โตไปกับเรา เค้าโตในส่วนของเค้าแล้วมันก็มีมาร์คพอยท์บางอย่างของเราที่มันก็เป็นส่วนนึงของเค้าเหมือนกัน เช่น ในช่วงนั้นเค้าฟังเราแล้วรู้สึกอะไร ในช่วงนี้เค้าฟังเราแล้วรู้สึกอะไร หนูว่ามันเป็นอะไรที่หนูว้าวในใจเบา ๆ  แล้วรู้สึกโรแมนติกกับชีวิต ชีวิตสวยงามจังได้เห็นการเจริญเติบโตของคนและของตัวเองด้วย

อัลบั้มต่อไปเราก็เริ่มจะนึกถึงหน้าแฟนของเราที่โตไปกับเรา คือแฟนเราจะไม่ได้อายุเท่าเดิมแล้วอย่างนั้นใช่มั้ย

หนูว่าไม่ใช่ แน่นอนหนูจะมีเพลงที่ dedicate (อุทิศ) ให้แฟน ๆ เพราะหนูรู้สึก inspire มากกับเรื่องนี้แต่โดยหลักแล้วหนูคงไม่มานั่งนึกถึงคนฟังว่าคนฟังจะคิดเห็นยังไงกับเพลงเรา เพราะหนูรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วมันต้องมาจากเรา อย่างในอัลบั้ม Glitter and Smoke หนูมีช่วงที่คิดว่าเค้าจะชอบรึเปล่าวะ กลายเป็นไปคิดแทนคนอื่นแล้วมันทำให้เราตัดสินใจไม่ได้เกี่ยวกับเพลงและเผลอ ๆ อาจทำให้เราไม่ชอบเพลงตัวเอง เพราะเรามันแต่ไปเอาใจคนอื่น หนูเลยกลับไปดูคลิปวิดีโอ The Voice อันแรก อ๋อชั้นเค้ามาทำเพราะชั้นชอบ ไม่ได้ต้องการเอาใจใคร ทำเพลงที่ตัวเองชอบไม่ต้องเอาใจใคร เพราะสุดท้ายเราจะเป็นคนที่ต้องร้องเพลงพวกนี้ไปตลอดชีวิต เราต้องภูมิใจเราต้องโอเคที่จะร้องมันไปตลอด

“ทำเพลงที่ตัวเองชอบไม่ต้องเอาใจใคร เพราะสุดท้ายเราจะเป็นคนที่ต้องร้องเพลงพวกนี้ไปตลอดชีวิต เราต้องภูมิใจเราต้องโอเคที่จะร้องมันไปตลอด”

VIOLETTE ความเป็นวิโอเลต วอร์เทียร์

เข้ามาอยู่ในวงการนี้มา 7 ปี มีเรื่องไหนมั้ยที่ทำให้รู้สึกว่าวงการนี้มันทำร้ายเรา

เหมือนเข้าใจแล้วที่เค้าบอกว่าคนจะมาหาประโยชน์จากเรา ในตอนแรกคือไม่เข้าใจอยากได้อะไรก็เอาไปสิเราไม่ได้เสียหาย แต่กลายเป็นว่าการที่เค้าเอาชื่อเราไปแอบอ้างกลายเป็นว่ามันเสียมาถึงเราด้วยคำพูดมันก็มี แล้วมันก็กลายเป็นว่ามันทำให้เราเริ่มถอยเริ่มมีกำแพงว่าชั้นเปิดกับใครได้ขนาดไหนกันเชียว ไว้ใจใครได้ขนาดไหนกันเชียว รู้สึกว่าอาจจะต้องใช้เวลากว่าจะโอเพ่นประมาณนึง หลัก ๆ ที่รู้สึกแบบทำร้ายจริง ๆ มันน่าจะเป็น mentality (กระบวนความคิด) บางอย่างที่ถูกส่งมาแล้วแบบเข้ามาโปรแกรมเรา ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบถ้ามีเรื่องเสียมันจะเป็นดราม่านะ เวลาเห็นเคสดราม่าแล้วมันทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่อย่างมีดราม่าเลยเราเหนื่อย เราดูแล้วเราเหนื่อย เราใช้ชีวิตยังไงก็ได้ให้ไม่มีดราม่าคือหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ที่สุด งั้นไม่ยุ่งกับใครพูดให้น้อย แล้วมันกลายเป็นว่าทำให้เราอยู่แค่นี้ไม่ยอมออกไปเจอกับอะไร กลายเป็นว่าเราก็ทุกข์เองอีก ทำอะไรก็คิดมากสุดท้ายแล้วมันก็ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่เต็มที่เพราะเราไม่อยากมีดราม่า แล้วมันเป็นโปรแกรมที่ fix ไปเลย ณ ตอนนี้หนูพยายามที่จะแกะสิ่งนี้ออกเพราะหนูรู้สึกว่าถ้าเราไม่ผิดจะดราม่าก็ดราม่าไปสิ มันเป็นสิทธิของเราที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ถ้าเราไม่ไปเบียดเบียนใคร หนูแค่ต้อง deprograme ใหม่ (การทำให้หลุดออกจากกรอบความคิดหรือความเชื่อเดิม)

ซึ่งเรื่องดราม่านี่ต่อให้เราไม่เป็นแบบนั้น ถ้าคนพูดไปเรื่อย ๆ มันก็ทำให้ถูกเชื่อว่าเราเป็นแบบนั้นอยู่

ใช่ และหนูก็รู้สึกว่า ณ ตอนนี้หนูเริ่มรู้แล้วว่าหนูต้องการอะไรในชีวิตจริง ๆ

ซึ่งคืออะไรครับ

แค่ต้องการมีความสุขค่ะ แค่นั้นเองง่ายมากค่ะ แค่อยู่ดีกินดีมีความสุขและคนรอบตัวเราแฮปปี้ เราเอ็นจอยโมเมนต์เราในสิ่งที่เราทำกับคนที่เราอยู่ด้วย มันคือแค่นั้นเลย ชีวิตง่าย ๆ เลย มันอาจจะไม่ได้ขนาดนั้นเพราะสิ่งที่เราทำดูผจญภัยมากแต่สุดท้ายพอกลับมาบ้านเราก็อยากสบายใจ หนูรู้สึกว่าหนูควรจะทำอะไรก็ได้ที่หนูสบายใจโดยไม่ต้องมาห่วงว่าใครจะ critic หนู เพราะคนพวกนั้นเค้าไม่ได้มาอยู่ใน inner circle ของหนู คนที่อยู่กับหนูเค้ารู้จักหนูดีพอแล้วเค้าก็ไม่ได้มองว่าสิ่งที่เราทำมันผิดตรงไหนและเค้าเข้าใจเรามันก็ดีที่สุดแล้ว

ซึ่งมันยากมากนะครับการเป็นวี วิโอเลตที่ไม่ต้องการมีดราม่าในสังคม

ใช่ค่ะ แต่ก็ใช้ชีวิตหลีกมาได้จริง ๆ นะ

มีเทคนิคมั้ย

ถ้ามันจะมีมันก็มีจริง ๆ แหละ แต่หนูว่าถ้าเราทำดีและทำถูกแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว เพราะเรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เรารู้ว่าเราอยู่จุดไหน เรารู้ว่าเราเป็นยังไง หนูว่าแค่นั้นพอ

“แค่ต้องการมีความสุขค่ะ แค่นั้นเองง่ายมากค่ะ แค่อยู่ดีกินดีมีความสุขและคนรอบตัวเราแฮปปี้ เราเอ็นจอยโมเมนต์เราในสิ่งที่เราทำกับคนที่เราอยู่ด้วย มันคือแค่นั้นเลย

เมื่อเป็นคนสาธารณะวีเคยบอกว่าเราต้องกล้าที่จะพูดในสิ่งที่มันเป็นปัญหา เราเห็นวีออกมาพูดเรื่องการเมืองเรื่อง body shaming เรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรพูด แต่เราต้องยอมรับว่าบรรยากาศในบ้านเราตอนนี้มันไม่ปกติมันพร้อมที่จะได้รับ feedback ทั้งบวกและลบแบบแบ่งพวกแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน แล้วทำไมวียังเลือกที่จะพูด

เพราะบางอย่างวีว่าไม่พูดไม่ได้จริง ๆ มันเหมือนแบบเฮ้ยถามจริง เรารู้ว่าอันที่หนูเลือกพูดหนูมั่นใจว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ มันสามารถเปลี่ยนชุดความคิดบางชุดความคิดได้ หนูเลยรู้สึกว่าถ้าหนูทำแล้วมีประโยชน์หนูทำ แต่ถ้ามันยังไม่เกิดผลหนูอยากดูว่าอะไรที่หนูจะทำแล้วมันเกิดประโยชน์จริง ๆ ถ้าเราเสียงดังและเสียงดังไปเรื่อย ๆ โดยไม่เกิดประโยชน์มันจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย และหนูจะใช้เสียงหนูเปลืองไปเรื่อย ๆ หนูเลยอยากมั่นใจว่าถ้าหนูพูดอะไรไปแล้วมันต้องเกิดประโยชน์

“ถ้าเราทำดีและทำถูกแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว เพราะเรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เรารู้ว่าเราอยู่จุดไหน เรารู้ว่าเราเป็นยังไง”

ต่อให้พูดในเรื่องที่มีประโยชน์วีไม่กลัวหรอว่ามันจะส่งผลกระทบต่องาน

แน่นอนกลัว ไม่งั้นจะใช้คำว่า brave ได้ยังไง คำว่า brave มันต้องทะลุความกลัวออกมา ถ้าพูดโดยไม่กลัวมันก็แค่พูด แต่แน่นอนเราต้องคำนวณว่าสิ่งที่มันมากระทบกับเรามันกระทบขนาดไหน เรารับได้ขนาดไหน ถ้าหนูพูดไปแล้วมันไม่เกิดอะไรขึ้นเลยกับสิ่งที่หนูพูด แล้วมันยังกระทบกับเราแบบ negative มันไม่มีใครมาแบกสิ่งนี้กับเรานะ เราก็มีโมเมนต์นี้เหมือนกันนะที่แม่มาพูดกับเราว่าหนูมีจุดยืนรึเปล่า หนูบอกหนูมี ๆ ชัดมาก แล้วแม่ก็บอกว่าอย่าให้ใครมาสั่นขาเราเพียงเพราะว่า… โอ้ยทำไมจะร้องไห้  แม่บอกว่าเรามีจุดยืนนั่นล่ะสำคัญ รู้หรือไม่รู้มันเป็นเรื่องของเค้าแต่มันเป็นจุดยืนของเรา ถ้าเราอยากจะพูดเราต้องพูด เมื่อเราอยากพูดอย่าให้ใครมากดดันว่าเราต้องพูด ถึงพูดแล้วก็อย่าเพียงพูดเพราะว่าเอาใจใคร เราต้องทำในสิ่งที่เราเชื่อจริง ๆ ถ้างั้นใครจะด่าหนูก็ด่าแต่หนูรู้ว่าหนูทำอะไรอยู่และหนูไม่ได้ทำในสิ่งที่ผิดแน่นอน อย่างที่บอกว่าคำพูดของวีพอมันพูดเสียงดังปุ๊บมันอยู่ตรงนั้นตลอดไปไม่ได้หายไป และวีต้อง make sure ว่าคำพูดพวกนั้นจะไม่กลับมาทำร้ายวีเหมือนกัน และคำพูดพวกนี้เราต้องเชื่อมันจริง ๆ ด้วย และถ้ามันกลับมาทำลายเราเพราะว่ามันผิดเราก็ต้องยอมรับ สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราพูดต้องจริงและเราต้องเชื่อและเราก็ไม่ควรให้ใครมาสั่งว่าเราต้องพูดหรือไม่พูดอะไร ปากของเราเราต้องพูดเอง

“ถ้าเราเสียงดังและเสียงดังไปเรื่อย ๆ โดยไม่เกิดประโยชน์มันจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย และหนูจะใช้เสียงหนูเปลืองไปเรื่อย ๆ หนูเลยอยากมั่นใจว่าถ้าหนูพูดอะไรไปแล้วมันต้องเกิดประโยชน์”

เป็นกำลังใจให้

เป็นกำลังใจให้ทุกคนมาก ๆ  และหนูเข้าใจคนที่พยายามออกมาบอกว่า ‘เธอพูดสิ ๆ’ มาก ๆ แต่จุดยืนของเรามันไม่ได้ apply ไปได้กับทุกคนกับทุกอย่าง เราก็ไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไปทุกอย่าง หนูแค่คิดว่าจุดยืนหนูมันเป็นแค่จุดยืนนึง

คุณให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากันระหว่างการเป็นตัวอย่างที่ดีกับการเป็นตัวเอง

หนูว่าการเป็นตัวเองค่ะ ก่อนหน้านี้จะบอกว่าเป็นตัวเองแต่ลึก ๆ โปรแกรมถูกสั่งให้เป็นตัวอย่างที่ดี แต่ตอนนี้หนูรู้สึกว่าหนูจะเป็นตัวเองและหนูจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้และไม่ดีได้ในเวลาเดียวกัน มันคือตัวอย่างที่ดีในการเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี หนูรู้สึกหนูเป็นมนุษย์และถ้าหนูผิดพลาดและเกิดเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็เรียนรู้จากเคสหนูว่าไม่ควรทำแบบนี้ ถ้าหนูผิดก็ยอมรับว่าหนูผิดและมันก็ไม่ได้จะ define (นิยาม / กำหนดว่าเป็น…) หนูได้ทุกอย่าง ถ้าแก้ไขได้ก็แก้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ต้องปล่อยเอาใหม่

จริง ๆ อันนี้มันเป็นเรื่องเบสิคมากเลยนะ คนเรามันจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้ตลอดเวลาได้ยังไงวะ

หนูมีเรื่องปวดกบาลของหนูอีกเยอะมาก เหวี่ยงด้วยเรื่องเล็ก  ๆ น้อย ๆ ก็มี ถ้าหาที่ชาร์ตไม่เจอก็เหวี่ยง

ผมว่าเรากลับมาคิดประเด็นนี้กันทั้งฝั่งของคนสาธารณะและฝั่งประชาชนคือมันไม่มีใครเพอร์เฟกต์หรอก คือเราต้องรู้และยอมรับว่ามันผิดและเราก็ขอโทษปรับปรุงตัวแก้ไขในสิ่งที่ผิด ถ้าแก้ไม่ได้ก็ยอมรับว่าเราเคยพลาดอย่างนั้นไป และให้ดีก็คือครั้งหน้าก็ไม่ควรให้มันเป็นเช่นนั้น ในฝั่งประชาชนก็สำคัญมากนะบางทีคุณก็ควรเข้าใจด้วยว่ามันไม่มีใครเพอร์เฟกต์และไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดีหรอกและบางทีมันก็พลาดกันได้ และสำหรับบางคนที่รู้ตัวว่าพลาดแล้วและมีกรณีที่คนบอกว่าทำไมไม่ปรับปรุง จริง ๆ มันก็อาจไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

หนูว่า condition ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอก ถ้าเราชอบอะไรในตัวเค้าเราก็ชอบไป สิ่งไหนที่เราไม่ชอบก็ไม่ชอบ อย่าให้มันมาตีกันไปซะหมด แต่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของใครของมันอยู่ดี แม้กระทั่งตัวเราเองเราทำดีไม่ดีสุดท้ายเราก็ต้องเอาตัวเองเป็นหลัก ทุกคนเอาตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว

“สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราพูดต้องจริงและเราต้องเชื่อและเราก็ไม่ควรให้ใครมาสั่งว่าเราต้องพูดหรือไม่พูดอะไร ปากของเราเราต้องพูดเอง”

สุดท้ายมันก็กลับมาที่การยอมรับในผลที่ตามมาไม่ว่าเราทำอะไรไป เช่น ถ้าเราทำตัวเป็นคนเพอร์เฟกต์ไม่มีอะไรผิดพลาดเลย เราก็จะไม่เป็นตัวเองเลยไม่มีความสุขเลย ถ้าเราเป็นตัวเองมาก ๆ ก็อาจจะโดนคนด่ามีดราม่า

หนูคิดว่าถ้าเราผิดจริงก็ยืดอกยอมรับเลย ยืนให้เค้าด่าเลย  เพราะว่าเธอก็ต้องโดนแบบนี้แหละในเมื่อเธอทำเองนะ

ซึ่งทุกวันนี้เวลาเค้าด่าเค้าด่ากันรุนแรงมากเลยนะ ต้องอดทน

หนูว่าคนอยู่ในวงการนี้ต้องเก่งและอดทนมากนะต้องมีความแบบ ขาต้องนิ่งประมาณนึงอย่าให้เสียงตะโกนมาทำอะไรเรา ต้องใจนิ่งประมาณนึงเหมือนกัน กลับมาสู่เรื่องเพลงหนูรู้สึกว่าหนูก็ต้องใจนิ่งประมาณนึงเหมือนกันในการทำเพลง เพราะถ้าคนไม่ชอบและด่ามาต้องแบบเพลงใหม่ก็ได้ เหมือนเป็นฟีลแบบอย่ามาจมว่าเพลงนี้ห่วย ต้องแบบเฮ้ยเพลงหน้าเราเอาใหม่มันต้องชอบบ้างแหละสักเพลง แต่ไม่ใช่ไปพยายามทำให้เค้าชอบ

วีจัดลำดับความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ยังไงจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุดนะ ‘งาน ครอบครัว ความรัก ตัวเอง และเพื่อน’

คิดแล้วคิดอีกหนูเรียงไม่ได้ รู้สึกว่าทุกอย่างมันคาบเกี่ยวกันไปหมด แน่นอนหนูเคยทำ exercise ของ acting หนูรู้แน่ ๆ ว่าที่หนึ่งของหนูคือครอบครัว แต่ทุกอย่างแล้วมันก็เพื่อตัวเองอ่ะ เราแคร์เพื่อน เราแคร์งาน ความรัก ครอบครัว แต่สุดท้ายมันก็เพื่อตัวเอง ทุกอย่างมันคาบเกี่ยวกันไปหมด งานหนูก็ให้ความสำคัญมาก ๆ เพราะมันก็เป็นสิ่งที่เรารัก เพื่อนก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ความรักในที่นี้ไม่ว่าจะเป็นแบบแฟนหรือใครก็ตามสุดท้าย เพื่อนก็คือความรัก ครอบครัวก็คือความรัก งานก็คือความรักด้วยซ้ำ หนูก็เลยรู้สึกว่าหนูเรียงไม่ถูกเลย ในหัวหนูวาดเป็นเสาถ้าเราเป็นพื้นแล้วเสาที่รองเราอยู่ก็คือสิ่งเหล่านี้ หนูเคยเล่นกับเพื่อนว่าถ้าแบบน้ำท่วมโลกแล้วช่วยได้คนเดียวจะช่วยใคร เราก็ชัดมากเราช่วยน้องชายเรา แต่ทีนี้ถ้ามันมาสู่ choice ของการช่วยได้คนเดียวและช่วยตัวเองไม่ได้ เราก็ช่วยน้องชายอยู่ดี สุดท้ายเราก็ทำเพื่อตัวเองเพราะเราอยู่คนเดียวไม่ได้โดยไม่มีน้องก็เลยไม่รู้ว่าอะไรใหญ่กว่ากันแต่หลัก ๆ ก็น่าจะเป็นกูไม่อยากให้มึงตายเป็นหลัก

แล้วทำไมต้องร้องไห้

เรื่องครอบครัวมันเป็นเรื่องที่ร้องไห้ง่ายที่สุดในโลกค่ะ

คำถามสุดท้ายแล้วครับตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้บทเรียนอะไรสำคัญที่สุดที่เราได้เรียนรู้ตลอดชีวิตมาจนถึงวันนี้

มีอยู่สองบทเรียนค่ะ บทเรียนที่หนึ่งคือให้ทำเพราะชอบจริง ๆ แบบทำที่ตัวเองสบายใจทำที่ตัวเองมีความสุข เพราะถ้าทำแล้วไม่มีความสุขน่ะทรมาน ง่าย ๆ ความสุขให้เร็วที่สุดก็คือทำอย่างมีความสุข เอ็นจอยและก็สบายใจกับสิ่งที่ทำ อย่างที่สองคืออย่ามองกลับหลัง คนเรามั่นต้องโตไปทางเดียวอยู่แล้วไม่ใช่แบบจะเดินถอยหลังได้เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่มองข้างหลังว่าทำไมชั้นไม่เป็นแบบนั้น ทำไมชั้นเคยเป็นแบบนั้น ทำไม อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครก็ตามหรือแม้กระทั่งกับตัวเองข้างหลังเพราะว่ามันจะไม่เดินไปข้างหน้าเลย ให้อยู่ตรงนี้และบอกกับตัวเองว่าข้างหน้าชั้นอยากทำอะไร ข้างหน้าชั้นอยากเป็นแบบไหนและเดินไปข้างหน้า ถ้ารู้สึกว่าภาพข้างหลังมันดีจังจงรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้ แต่ลองเอาภาพมาวางข้างหน้าแล้วมันใกล้เคียงอะไรได้บ้างในสิ่งนั้นและค่อยไปในภาพนั้นไดเร็กชันนั้น

“ให้ทำเพราะชอบจริง ๆ แบบทำที่ตัวเองสบายใจทำที่ตัวเองมีความสุข เพราะถ้าทำแล้วไม่มีความสุขน่ะทรมาน ง่าย ๆ ความสุขให้เร็วที่สุดก็คือทำอย่างมีความสุข เอ็นจอยและก็สบายใจกับสิ่งที่ทำ”

พี่ถามเสริมเรื่องที่ว่าถ้าไม่ชอบอย่าทำ พี่ก็เชื่อในเรื่องนี้และพอจะพูดได้ว่าพี่กับวีได้ทำในสิ่งที่เราชอบจริงๆ  และดูแลชีวิตเราได้ด้วยสิ่งที่เราชอบ แต่ทีนี้สมมติว่ามีคนถามว่าไอ้ที่ชอบอ่ะผมไม่มีโอกาสได้ทำเลย เป็นไปไม่ได้เลย ทำยังไงดีล่ะ

ถ้างั้นหนูก็จะบอกว่าถ้ายังไม่รู้ทำไปก่อนแต่ถ้ารู้แล้วไม่ชอบก็ทำอย่างอื่นที่ไม่รู้แล้วลองดูว่าจะชอบมั้ย มันอาจจะดูโลกสวยมั้งเพราะเราแบบมีความสบายบางอย่างอยู่ แต่หนูเชื่อว่าถ้าเราทำในสิ่งที่ชอบเราจะทำได้ดีนะ และถ้าทางเลือกเราไม่ได้เยอะเราเลือกในสิ่งที่เราคิดว่าเราไม่รู้แต่เราลองดูก่อนก็ได้ และถ้ามันชอบจริง ๆ  และมันไม่มี choice จริง ๆ  ก็จงหาความสุขกับตรงนั้นมองดูว่าอะไรที่เราชอบในนั้นบ้าง เราอาจจะชอบเพื่อนร่วมงาน เราอาจจะชอบที่ได้นั่งดูเลขวิ่ง หรือเล็ก ๆ น้อย ๆ อาหารกลางวันอร่อย ต้องหาอะไรที่เราชอบ ต้องหาวิธีปรับตัวที่เราสบายใจค่ะ

“อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครก็ตามหรือแม้กระทั่งกับตัวเองข้างหลังเพราะว่ามันจะไม่เดินไปข้างหน้าเลย ให้อยู่ตรงนี้และบอกกับตัวเองว่าข้างหน้าชั้นอยากทำอะไร ข้างหน้าชั้นอยากเป็นแบบไหนและเดินไปข้างหน้า”

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส