ถ้าพูดถึงเหตุการณ์จริงที่ชวนสยองแบบที่ว่าคิดภาพตามก็รู้สึกเสียวสันหลัง และไม่คาดคิดว่าจะมีใครดวงซวยได้ขนาดนี้ หลายคนอาจจะนึกถึงเหตุการณ์ในปี 2003 ที่เกิดกับ อารอน ราลสตัน (Aron Ralston) หนุ่มอเมริกันที่ไปปีนเขาคนเดียวแล้วก็พบความซวยขั้นขีดสุด เมื่อหินก้อนใหญ่ไถลลงมาทับมือขวาของเขาเข้ากับผนังหิน ซึ่งสุดท้ายแล้วทางเดียวที่จะเอาชีวิตรอด เขาต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว นั่นคือการตัดมือขวาตัวเองทิ้งด้วยมีดพกอันเล็ก ๆ เรื่องราวของอารอนถูกดัดแปลงเป็นหนัง 127 Hours ในปี 2010

ที่จริงแล้วเคยมีเหตุการณ์ชวนสยองแบบนี้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ของอารอนเสียอีก เมื่อปี 1992 ในเมืองเฮิร์ดสฟิลด์ รัฐนอร์ธ ดาโกต้า, สหรัฐอเมริกา เป็นเหตุการณ์ที่เกิดกับหนุ่มน้อยวัย 18 ปี นามว่า จอห์น ธอมป์สัน (John Thompson ) ที่ยังเป็นนักเรียนมัธยมอยู่เลย 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 11 มกราคม 1992 เป็นอีกวันที่จอห์นทำงานในฟาร์มของครอบครัวตามกิจวัตรประจำวันของเขา จะมีแตกต่างนิดหน่อยก็ตรงที่วันนั้นพ่อแม่ของเขาไปเยี่ยมญาติในเมือง จอห์นก็เลยอยู่บ้านตามลำพัง จอห์นทานอาหารเช้าเสร็จก็เข้าฟาร์มไปทำงาน ภารกิจของเขาก็คือขับรถแทร็กเตอร์ที่ติดตั้งหัวสว่าน เพื่อปั่นข้าวบาร์เลย์ให้ป่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วเทลงในรางให้เป็นอาหารหมู ทำไปได้ชั่วครู่ จอห์นก็หยุดพักถอดหัวสว่านออก แต่ metal shaft ที่เป็นแท่งเหล็กจากรถแทร็กเตอร์ที่ส่งกำลังไปที่หัวสว่านยังคงทำงานอยู่

มันเป็นงานที่จอห์นทำทุกวันจนเคยชินแล้ว แต่เผอิญวันนี้เป็นวันที่ซวยที่สุดในชีวิตของจอห์นแล้ว เมื่อเขาก้าวพลาดไปบนแผ่นน้ำแข็ง ทำให้เขาลื่นหงายหลัง แล้วทิศที่ล้มลงไปคือตำแหน่งเดียวกับ Metal Shaft ที่ยังคงทำงานหมุนติ้วอย่างเร็วจี๋ 

จอห์นเล่าภายหลังว่าเขาจำความรู้สึกในวินาทีนั้นได้อย่างแม่นยำ ความรู้สึกแรกคือเสื้อถูกกระชากอย่างแรง แล้วเสี้ยววินาทีจากนั้นแขนทั้ง 2 ข้างของเขาก็ถูกกระชากออก นับเป็นอุทธาหรณ์อย่างดีถึงคำว่า “ปลอดภัยไว้ก่อน” เพราะครอบครัวธอมป์สันถอดเกราะป้องกันเพื่อความปลอดภัยออก

ที่น่าทึ่งก็คือ ในขณะที่แขนทั้ง 2 ข้างถูกกระชากออกจากร่างแบบสด ๆ แต่จอห์นกลับยังมีสติอยู่ครบถ้วน เขาคิดอย่างเดียวที่จะหาทางเอาชีวิตรอดให้ได้ ในขณะที่เขาอยู่ในฟาร์มเพียงคนเดียว ร้องเรียกขอความช่วยเหลือก็เปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน จอห์นพาร่างโชกเลือด และแขนที่กะรุ่งกะริ่งวิ่งกลับบ้านที่อยู่บนเนินเขาห่างออกไป 100 เมตร เวรกรรมซ้ำซ้อน บ้านของจอห์นใช้ประตูบานเลื่อนแล้วก็ล็อกไว้อีก จอห์นเลยต้องเปลี่ยนแผนไปใช้ประตูหน้าบ้านแทนตรงนี้เป็นประตู 2 ชั้น ชั้นนอกเป็นประตูมุ้งลวด 

วิธีเปิดประตูนี่นึกภาพตามก็เสียวแทน จอห์นไม่มีแขนเหลือสักข้าง มีเพียงกระดูกขาวโพลนที่โผล่พ้นมาจากหัวไหล่ด้านซ้ายของเขา จอห์นใช้แท่งกระดูกตัวเองนี่ล่ะ ดันเปิดประตูมุ้งลวด พอถึงประตูชั้นใน จอห์นก็ต้องใช้ปากงับลูกบิดเพื่อหมุนเปิดประตูถึงจะพาตัวเองเข้าไปในบ้านได้

พอเข้าไปในบ้านได้ จอห์นก็พุ่งตัวไปที่ห้องนั่งเล่น ดีที่ประตูห้องนั่งเล่นไม่ได้ล็อก จอห์นเลยใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออกได้ โชคร้ายซ้ำสองที่ในเมืองเฮิร์ดส์ฟิลด์ไม่มีบริการ 911 ฉะนั้นจอห์นจะต้องโทรหาญาติพี่น้องตัวเองเท่านั้น ต้องเตือนกันก่อนว่าเหตุการณ์นี้เกิดในปี 1992 โทรศัพท์บ้านยังเป็นหน้าปัดหมุนเลขอยู่ ในขณะที่แขนขาดสองข้างสมองก็ยังทำงานได้ดีอยู่ น่าทึ่งเหลือเกิน จอห์นต้องใช้สมองใคร่ครวญว่าจะโทรขอความช่วยเหลือจากใครดี ชื่อแรกที่ผุดเข้ามาในหัวคือคุณลุงของเขา ลินน์ ธอมป์สัน บ้านลุงอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโล น่าจะมาช่วยได้เร็วสุด ถึงขั้นตอนยากอีกแล้ว ไม่มีแขน ไม่มีมือมือ ไม่มีนิ้ว จะหมุนหน้าปัดโทรศัพท์อย่างไร 

จอห์นตัดสินใจใช้จมูกจิ้มแล้วก็หมุน ๆ แต่แล้วจมูกก็หลุดจากวงบนหน้าปัด พยายามแล้วพยายามอีกก็ไม่สำเร็จ ต้องเปลี่ยนวิธีการ จอห์นไปคาบปากกามาแล้วใช้ปากกาจิ้มลงไปในช่องหมายเลขแล้วก็หมุน ๆ เย่! วิธีการนี้สำเร็จแล้ว ไม่นานก็มีคนมารับสายปลายทาง จอห์นดีใจอย่างที่สุด เมื่อได้ยินเสียง แทมมี่ ลูกสาวของลุงลินน์ที่มารับโทรศัพท์

“นี่ฉันจอห์นเองนะ ช่วยโทรตามรถพยาบาลให้ฉันด่วนเลย ฉันเลือดออกหนักมาก แล้วตอนนี้ฉันก็ไม่มีแขนแล้วด้วย”

จอห์นจำได้แม่นว่า นาทีนั้นเขาพูดทวนอีกรอบ ก่อนจะวางหูโทรศัพท์ไปโดยด่วน เพื่อแทมมี่จะได้โทรศัพท์ตามรถพยาบาลให้ได้ จบเรื่องโทรศัพท์ จอห์นก็พาตัวเองไปยังห้องน้ำ แล้วล้มตัวลงนอนในอ่างอาบน้ำ

ด้วยความที่เป็นเด็ก ไม่รู้จะคุยกับเจ้าหน้าที่พยาบาลอย่างไรดี แทมมี่เลยตัดสินใจโทรบอก ชารอน ธอมป์สัน (Sharon Thompson) แม่เลี้ยงของเธอแทน เพื่อให้ช่วยโทรตามรถพยาบาลให้หน่อย จากนั้นแทมมี่ก็โทรเล่าเหตุการณ์ให้ เรนี ธอมป์สัน (Renee Thompson) แม่ของเธอฟัง เรนีเปิดปั๊มน้ำมันอยู่ไม่ห่างจากบ้านเธอ แทมมี่บอกให้แม่รีบมารับตัวเธอด่วน แล้วไปดูอาการจอห์นด้วยกันว่าเกิดอะไรขึ้น 

ไม่นานเรนี่ก็มารับตัวแทมมี่แล้วไปถึงฟาร์มของครอบครัวธอมป์สันภายในเวลาแค่ 5 นาที พอแม่ลูกเข้าไปในบ้านก็ต้องตกใจกับสภาพเลือดที่นองไปทั่วพื้นบ้าน แล้วก็แว่วเสียงจอห์นที่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดมาจากห้องน้ำ เรนี่เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปเห็นสภาพจอห์นในอ่างอาบน้ำ ก็โผเข้าไปปลอบประโลมจอห์น แต่จอห์นยังสติดีอยู่ บอกน้าเรนี่ว่าอย่าเพิ่งให้แทมมี่เข้ามาเห็นสภาพอันน่าสยดสยองของเขา

“มันดูแย่มาก ๆ เลยครับน้าเรนี”

ระหว่างที่ปลอบประโลมหลานชาย เรนีถึงเพิ่งได้สังเกตสภาพแผลของจอห์นว่ามันรุนแรงกว่าที่คิดไว้มาก เพราะเมื่อแรกเจอจอห์นนั้น เขาใช้ผ้าม่านกั้นอ่างอาบน้ำคลุมร่างตัวเองไว้ เรนีกอดและให้กำลังใจจอห์นอยู่ประมาณ 20 – 30 นาที คอยกระตุ้นให้เขาได้สติอยู่ตลอดเวลา เธอบอกกับจอห์นว่าให้อดทนไว้ รถพยาบาลจะมาถึงเร็ว ๆ นี้แล้ว 

แม้ว่าสภาพร่างตัวเองอยู่ในสภาพบาดเจ็บรุนแรงอาจจะถึงขั้นเสียชีวิต แต่จอห์นกลับพร่ำด้วยความกังวลถึงพ่อกับแม่ ว่าจะรู้สึกอย่างไรเมื่อรับรู้ว่าเขาเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ กังวลห่วงว่าพ่อจะโทษตัวเอง ที่ทิ้งให้เขาทำงานอยู่คนเดียวที่ฟาร์ม น้าเรนีจึงสังเกตได้ว่าสติจอห์นยังดีอยู่ พูดจาอย่างมีเหตุมีผลและมีอารมณ์ขัน ประสาทสัมผัสจอห์นอาจจะด้านชาไปแล้วจึงไม่รู้สึกเจ็บ

ในที่สุดรถพยาบาลก็มาถึงเสียที เจ้าหน้าที่มากัน 3 คน เป็นหญิง 2 ชาย 1 เมื่อพวกเขาเห็นสภาพบาดแผลของจอห์นทั้งสามก็แสดงอาการตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นจอห์นเองที่ต้องคอยบอกให้เจ้าหน้าที่ไปหยิบถุงขยะในห้องครัว แล้วรีบไปเก็บแขนของเขาในที่เกิดเหตุมาโดยด่วน เพื่อจะรีบนำมาห่อกับน้ำแข็งโดยด่วน

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็นำร่างจอห์นนอนลงเปลหาม อีกคนก็ไปเก็บแขนจอห์นมาใส่กระติกน้ำแข็ง ทั้งหมดรีบมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล เซ็นต์ อาลอยเซียส ที่อยู่ห่างออกไปแค่ 20 นาที ในช่วงที่อยู่ในรถพยาบาลนี้ล่ะ ที่ความรู้สึกจอห์นเริ่มจะกลับมา เขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างสุดแสน จอห์นบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าเขารู้สึกเจ็บมาก ตอนนี้จอห์นเสียเลือดไปแล้วถึงครึ่งหนึ่งของร่างกาย โชคดีที่หลังจากใช้เครื่องห้ามเลือดแล้ว เส้นเลือดแดงของจอห์นก็สามารถหยุดอาการเลือดไหลได้เองตามธรรมชาติด้วย ทำให้จอห์นไม่ถึงขั้นเสียเลือดจนตาย 

เมื่อจอห์นไปถึงโรงพยาบาล แพทย์ฉุกเฉินเห็นสภาพจอห์นแล้ว ก็รีบโทรหาคุณหมออัลเล็น แวน บีก (Allen Van Beek) ทันที เขาเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการผ่าตัดเชื่อมอวัยวะเข้ากับร่าง ซึ่งตอนนี้ถูกเรียกตัวไปที่โรงพยาบาล นอร์ธ เมโมเรียล ซึ่งที่โรงพยาบาลนี้มีแพทย์ทางจุลศัลยกรรมประจำการอยู่ถึง 6 นาย

คุณหมออัลเล็น แวน บีก (ซ้าย) จอห์น ธอมป์สัน (ขวา)

สภาพของจอห์นรอช้าไม่ได้ ในเวลา 15:30 น. จอห์นในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ก็ถูกพาตัวขึ้นเครื่องบินฉุกเฉินของโรงพยาบาลเดินทางเป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมงไปเมืองมินเนอาโพลิส พอไปถึงโรงพยาบาลนอร์ธ เมโมเรียล คุณหมออัลเล็นก็เตรียมทีมแพทย์ไว้รอท่า พร้อมผ่าตัดเคสของจอห์นทันที เพราะการผ่าตัดเชื่อมอวัยวะที่ฉีกขาดเข้ากับร่างนั้น เวลาที่ผ่านไปแต่ละนาทีสำคัญยิ่งนัก หมออัลเล็นเริ่มต้นผ่าตัดที่แขนซ้ายของจอห์นก่อน แขนข้างนี้ถูกฉีดขาดตั้งแต่เหนือข้อศอกขึ้นไป ส่วนอีกทีมก็ทำงานกับแขนขวาไปพร้อมกัน แขนข้างนี้หนักกว่าเพราะถูกฉีดขาดตั้งแต่บริเวณหัวไหล่

ผู้เชี่ยวชาญอ้างถึงเคสของจอห์นว่า ขั้นตอนยากสุดไม่ใช่การผ่าตัดเชื่อมอวัยวะหรอก แต่เป็นการรักษาอาการบาดเจ็บหนักที่เกิดกับร่างกายเสียมากกว่า จอห์นต้องเข้ารับการผ่าตัดอยู่หลายครั้งกว่าจะจบกระบวนการ ครั้งแรก ๆ นั้นเป็นการผ่าตัดเพื่อเอาผิวหนังที่ตายแล้วออก และเป็นการเชื่อมต่อเส้นเลือด หลังการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี จอห์นก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ จอห์นเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแมรี่ แต่ก็ไม่จบการศึกษาที่นี่ จอห์นตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วสหรัฐฯ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเขา โดยมุ่งเน้นเรื่องการให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยในการทำงาน และกระตุ้นสำนึกผู้คนในเรื่องนี้ จอห์นยุติการเดินทางในปี 1995 เพราะการเดินทางไกลมีผลต่อสภาพจิตและสุขภาพของเขามาก

ปี 2002 จอห์น ธอมป์สัน ออกหนังสือชื่อ ‘Home in One Piece’เขียนเรื่องราวกับชีวิตของเขา แม้ว่าเขาจะอยากลืม ๆ เรื่องอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในชีวิตไปเสีย แต่การออกหนังสือเล่มนี้ออกมา ก็ทำให้จอห์นต้องออกเดินทางอีกครั้ง เพราะหนังสือขายดีมากในตอนกลางของสหรัฐฯ ทำให้เขาต้องออกทัวร์พบปะผู้อ่าน

ปี 2004 จอห์นตัดสินใจมาเล่นกลางเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาสนใจมาตลอด เขาลงสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกของมลรัฐในเขต District 40 แต่ก็ถอนตัวออกมาภายหลัง จอห์นเปลี่ยนแนวไปเป็นนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2008 – 2012 แต่ก็ไม่ใช่งานที่เหมาะกับสภาพร่างกายของเขานัก เพราะว่าจอห์นมีปัญหาในการใช้กุญแจไขประตูบ้านที่จะขายเพื่อเปิดให้ลูกค้าชม บ่อยครั้งที่จอห์นส่งกุญแจให้ลูกค้าเปิดเอง

แม้ว่าการผ่าตัดจะสำเร็จไปด้วยดี แต่แขนสองข้างของจอห์นก็ไม่ได้ใช้งานได้สมบูรณ์ 100% เขาไม่สามารถติดกระดุมเสื้อได้ จอห์นต้องใส่เสื้อตัวหลวม ๆ แล้วติดกระดุมให้เสร็จก่อนจะสวมเข้าทางหัวทีเดียว จอห์นเขียนหนังสือไม่ได้ชัดเจน ลายมืออ่านออกยากมาก แต่เขาพิมพ์ได้คล่องกว่าเขียน ภายหลังจอห์นใคร่ครวญว่าเขาน่าจะกลับไปบนเวทีนักพูดอีกครั้ง หรือไม่ก็กลับไปเล่นการเมืองระดับท้องถิ่น เพราะจอห์นคิดว่า 2 งานนี้เป็นงานที่เขาสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตผู้คนได้ เพราะเขาอยากจะช่วยเหลือผู้อื่น

แม่ของจอห์นเล่าว่า

“ทุกคนก็อยากจะเป็นที่ต้องการทั้งนั้นล่ะ และนั่นก็เป็นสิ่งที่จอห์นต้องการเช่นกัน”

อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส