[รีวิว] End of the Road : ม้ามืดขึ้นอันดับ 1 NETFLIX
Our score
4.6

Rate : 18+

1 Hr 29 Min

Director Millicent Shelton

Writers Christopher J. Moore, David Loughery

Stars Queen LatifahLudacrisMychala Lee

[รีวิว] End of the Road : ม้ามืดขึ้นอันดับ 1 NETFLIX
Our score
4.6

[รีวิว] End of the Road : ม้ามืดขึ้นอันดับ 1 NETFLIX

จุดเด่น

  1. พล็อตเรื่องน่าสนใจ ครอบครัวแม่ลูกหนีการตามล่าจากเจ้าพ่อค้ายาสุดโหด
  2. เป็นการประกบคู่กันครั้งแรกของ ควีน ลาติฟา และ ลูดาคริส 2 ศิลปินแรปชื่อดัง
  3. จบได้แฮปปี้เอนดิ้ง ดูจบนอนหลับสบายใจ

จุดสังเกต

  1. เนื้อเรื่องตื้นมาก เดาทางได้ถูกหมด
  2. ตัวร้ายน่าผิดหวัง ปูมาน่ากลัว แต่ตัวจริงนี่......................
  3. ไม่มีฉากให้ลุ้นระทึกอย่างที่คาดหวัง สถานการณ์คับขันต่าง ๆ คลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
  • การแสดง

    6.0

  • โปรดักชัน

    5.0

  • บทภาพยนตร์

    3.0

  • ความบันเทิง

    4.0

  • คุ้มค่ากับเวลาในการรับชม

    5.0

ไม่น่าเชื่อนะครับ ที่ชื่อของ ควีน ลาติฟา (Queen Latifa) แรปเปอร์สาวร่างใหญ่ที่หันมาเอาดีทางการแสดงอย่างจริงจัง จะสามารถเรียกความสนใจผู้ชมได้มาก ถึงขนาดพา End of the Road หนังโนเนมขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตภาพยนตร์ของ Netflix ได้โดยไม่ต้องโฆษณาใด ๆ เลย อาจจะด้วยความน่าสนใจของหนัง ที่เป็นหนังแนวตื่นเต้นระทึกขวัญ ซึ่งแนวนี้ผู้ชมให้ความสนใจอย่างมากอยู่แล้ว หรืออาจจะเพราะมีชื่อของ ลูดาคริส (Ludacris) แรปเปอร์หนุ่มที่เป็นที่รู้จักในบ้านเราจากบทสมทบในแฟรนไชส์ Fast and Furious ก็เป็นได้

End of the Road เล่าเรื่องของ เบรนดา บทของ ควีน ลาติฟา คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องเลี้ยงดู เคลลี่ ลูกสาววัยรุ่น และ แคม ลูกชายวัยกำลังซน ด้วยสาเหตุจากสามีของเธอที่เป็นพ่อของเด็ก ๆ ต้องจากไปก่อนวัยอันควรด้วยโรคร้าย ทำให้เบรนดาไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้ไหว ต้องจำใจย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากใหม่ในเท็กซัส ซึ่งเธอคิดว่าจะมีค่าครองชีพที่ถูกกว่า หนังเริ่มต้นเรื่องในวันที่เธอออกเดินทางไปยังเท็กซัสด้วยการขับรถขนสัมภาระไปเอง โดยมีลูก ๆ ทั้งสองและเร็จจี้ บทของ ลูดาคริส น้องชายของเบรนดา ที่ใกล้ชิดสนิทกับพี่สาวขอติดสอยไปกับครอบครัวด้วย

เรื่องมาเริ่มเข้าสู่จุดวิกฤติเมื่อทั้งครอบครัวเข้าพักที่โมเต็ล ในช่วงกลางดึกห้องติดกันมีเสียงปืนดังขึ้น เบรนด้าที่เป็นพยาบาลฉุกเฉินจึงรุดไปดูที่เกิดเหตุพบชายหนุ่มถูกยิงเสียชีวิต แต่เร็จจี้น้องชายเจ้ากรรมดันไปคว้าเอากระเป๋าใบใหญ่ที่บรรจุเงินจำนวนมหาศาลมาด้วย และนั่นคือเงินของเจ้าพ่อค้ายาจอมโหด ที่ออกตามล่าครอบครัวเบรนดาเพื่อต้องการเอาเงินคืน กลายเป็นเกมไล่ล่าที่ต้องแลกด้วยชีวีต

ว่าด้วยพล็อตมาแบบนี้ก็น่าสนใจนะครับ กับการวางให้ตัวเอกของเรื่องเป็นแม่บ้าน ที่ไม่ใช่พระเอกกล้ามโต ก็ทำให้สถานการณ์ดูน่าเป็นห่วง คนดูต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยให้เธอพาครอบครัวผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ขณะเดียวกันหนังก็แนะนำตัว มิสเตอร์ครอส วายร้ายตัวเอ้ของเรื่องมาอย่างโหด ทั้งการฆ่าลูกน้องที่หักหลัง หรือแม้กระทั่งการที่ใครได้ยินชื่อต่างก็กลัวจนลนลาน ซึ่งมันขัดกับการเฉลยตัวตนที่แท้จริงของมิสเตอร์ครอส ซึ่งผู้เขียนมั่นใจว่าทุกคนที่ดูเรื่องนี้ต่างก็เดาออกกันตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่ามิสเตอร์ครอสเป็นใคร ซึ่งการไปเฉลยในองก์สุดท้ายก็ทำให้หลายคน ตบเข่าฉาด ‘นั่นไงล่ะ เดาไว้ไม่มีผิด’ แต่เอาเข้าจริงแล้ว การที่บทเขียนมาเดาทางง่ายแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาของตัวหนังหรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่เมื่อเฉลยมาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของมิสเตอร์ครอสนั้นดูไม่น่ากลัวอย่างที่บทพยายามปูทางมาโดยตลอด เมื่อตัวร้ายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ผลก็คือฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่องนั้นไม่สามารถพาอารมณ์คนดูให้ชวนลุ้นระทึกได้อย่างที่ควร

แม้ว่าหนังจะนำแสดงโดย 2 นักร้องฮิปฮอป แต่บทของของ ควีน ลาติฟา กับ ลูดาคริส ในเรื่องนี้ถูกวางสถานะไว้แตกต่างกันมาก คือบทเบรนดานั้นนำโด่งเลย เป็นหัวหน้าครอบครัวตัวจริง ออกคำสั่ง ตัดสินใจ ออกหน้าเผชิญกับทุกวิกฤตการณ์ ในขณะที่บทเร็จจี้นั้นโดนพี่สาวข่มอยู่ตลอด ถ้านอกเหนือจากการเป็นต้นเหตุปัญหาที่ไปฉกเงินมาแล้ว เร็จจี้ก็แทบไม่มีบทบาทสำคัญในเรื่องเลย ไม่มีฉากเป็นของตัวเองทำหน้าที่ตัวประกอบอย่างแท้จริง

มิลลิเซนต์ เชลตัน (Millicent Shelton)

หนังเป็นผลงานกำกับของ มิลลิเซนต์ เชลตัน (Millicent Shelton) ผู้กำกับหญิงที่คร่ำหวอดในวงการมาอย่างยาวนาน ผ่านผลงานกำกับมาแล้วเกือบ 100 เรื่องส่วนใหญ่เป็นผลงานทีวีซีรีส์ เรียกได้ว่าเอ่ยชื่อซีรีส์เรื่องไหนมา จะต้องมีชื่อของเธอเคยกำกับอย่างน้อยก็ 1 ตอนล่ะ กับ End of the Road นี้ก็นับว่าเป็นผลงานเสมอตัวของเธอ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่เสียเครดิตแต่ก็ไม่โดดเด่นเป็นบันไดก้าวสำคัญให้เธอไปจับงานที่ใหญ่ขึ้น จบเรื่องนี้เชลตันก็ยังคงกำกับซีรีส์ต่อไป

ส่วนหน้าที่เขียนบทเป็นผลงานของ คริสโตเฟอร์ เจ. มัวร์ (Christopher J. Moore) มือเขียนบทหน้าใหม่มีผลงานมาไม่กี่เรื่อง กับอีกคน เดวิด ลัฟเฮรี (David Loughery) รายนี้สิขาเก๋าในวงการผ่านงานเขียนบทมาตั้งแต่ยุค 80s นู่นเลย แต่ผลงานเขียนของทั้งคู่ในเรื่องนี้ก็ช่างออกมาราบเรียบดีจริง ไม่มีฉากให้ต้องลุ้นระทึก แม้บรรดาตัวละครจะตกที่นั่งลำบาก แต่ก็ผ่านพ้นสถานการณ์มาได้อย่างง่ายดาย แทบไม่เจ็บตัวใด ๆ เลย ฉากที่เวอร์วังสุดก็คือฉากที่เบรนด้าโดนแก๊งจิ๊กโก๋รุมนี่สิ ทำไมพยาบาลร่างใหญ่วัย 50 กว่าถึงได้ต่อสู้มือเปล่ากับนักเลงนับสิบได้แข็งแกร่งปานนั้น

โบ บริดเจส ในบท ผู้กองแฮมเมอร์

ด้วยความยาวของหนังที่ 89 นาทีรวมเครดิตท้ายเรื่องแล้ว ยังคงเป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของหนังได้เป็นอย่างดี เพราะหนังส่วนใหญ่ที่จบในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งแบบนี้ มักเป็นข้อยืนยันว่าคนเขียนบทไม่มีเนื้อหาอะไรจะเล่าแล้ว พยายามลากยาวให้ได้ 90 นาทีตามมาตรฐานแล้วล่ะ เอาเป็นว่าอย่าให้ตำแหน่งอันดับ 1 บนชาร์ต Netflix มาล่อหลอกได้ ถ้ามีตัวเลือกอื่น ๆ ให้ดู ก็ข้ามเรื่องนี้ไปก่อนแล้วกัน พลาดไปก็ไม่มีอะไรน่าเสียดายเลย