[รีวิว] Monstrum: สัตว์ประหลาดอิงประวัติศาสตร์เกาหลีแบบครบรส
Our score
8.6

Monstrum พันธุ์อสูรกลาย

จุดเด่น

  1. ดาราเล่นกันเข้าขาแท็กทีมกันเด่น
  2. บทอิงประวัติศาสตร์ช่างคิดมาก
  3. ซีจีไม่ขี้ริ้วเลย
  4. ครบรส ดูเป็นหนังบันเทิงสุด ๆ

จุดสังเกต

  1. หนังตามสูตรพอสมควร
  2. อาจดูไม่ชัดว่าจะจริงจังหรือขี้เล่น
  • คุณภาพงานสร้าง

    8.5

  • เนื้อหา ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    8.5

  • นักแสดง

    9.0

  • ความสนุก

    9.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    8.0

Play video

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ

“อสูรร้ายในตำนานได้ทำให้ผู้คนบนเขาอินวังซานต้องหวาดผวา” ในช่วงแห่งราชวงศ์โชซอน โรคระบาดได้แพร่กระจายเข้าสู่ผู้คน เกิดภาวะแร้นแค้นทั่วทั้งเมือง ผู้คนต้องตื่นกระหนกเมื่อมีข่าวลือถึงอสูรร้ายแห่งบรรพกาลออกมาไล่ฆ่ามนุษย์บนภูเขาอินวังซาน ชาวเมืองเริ่มต่อต้านองค์จักรพรรดิ เพราะคิดว่าพระองค์จะไม่สามารถปกป้องพวกตนได้ พระองค์จึงมอบหมายให้ ยุน กยอม อดีตองครักษ์ประจำราชวงศ์ ออกไปสืบหาความจริงและล่าอสูรร้ายตัวนั้นก่อนที่การต่อต้านจะรุนแรงเกินควบคุม แต่หารู้ไม่ว่าอสูรร้ายตัวนั้นอาจเป็นภัยอันตรายที่สามารถทำลายเมืองให้ย่อยยับ

หนังเกาหลีกล้าคิดกล้าลองเล่นใหญ่ไม่แพ้ฮอลลีวู้ดมีมาให้เห็นกันเรื่อย ๆ ดีบ้าง เลวบ้าง มีผสมกันไป แต่ลองมีฉากดราม่าพี่เกาแกไม่เคยพลาดสักเรื่อง เรียกว่าทางของเกาเลยทีเดียว สำหรับ Monstrum หรือ พันธุ์อสูรกลาย (ตั้งชื่อได้เท่และน่าสนใจจริง) นั้นเป็นผลงานการกำกับของ ฮัว จงโฮ ที่นาน ๆ ถึงจะทำหนังออกมาสักเรื่อง และเมีผลงานรวมเรื่องนี้ก็เพียง 3 เรื่องถ้วนเท่านั้น จึงไม่แปลกที่คอหนังบ้านเราน่าจะไม่รู้จักเขานัก ถ้าย้อนไปดู 2 เรื่องก่อนหน้า จงโฮ เป็นผู้กำกับที่ถนัดและชื่นชอบในการเล่นกับปริศนาการไขความลับ ไม่ว่าจะเป็นนักสืบจำเป็นผู้ที่กำลังจะตายจากมะเร็งตับและต้องสะกดรอยตามใครบางคนตามข้อแลกเปลี่ยนของผู้บริจาคตับซึ่งขณะนี้ติดคุกอยู่ ในหนัง Countdown (2011) หรือทนายความผู้ลื่นเป็นปลาไหลผู้ถือคติ ถ้าไม่ชนะก็จงย้ายข้างไปอยู่กับผู้ชนะ จนมีอัตราความสำเร็จในการว่าความ 100% แต่ต้องมารับคดีฆาตกรรมที่ไม่มีทั้งหลักฐานและศพ? ใน The Advocate: A Missing Body (2015) ด้วย

แม้ตัวหนังจะดูเป็นหนังสัตว์ประหลาดแนวพีเรียด คล้าย ๆ ผีห่าอโยธยา ที่บ้านเราทำ แบบหาช่องโหว่ในบันทึกประวัติศาสตร์ มาจินตนาการต่อเติม แต่ที่น่าชื่นชม จงโฮ เพราะนอกจากเอาอสูรมาเล่นกับเรื่องระบาดในอดีต ยังเอาแกนกลางเอาเรื่องดราม่าแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างกษัตริย์กับมหาเสนาบดีมาเป็นพื้นด้วย ยิ่งทำให้หนังมีของให้เล่นมากกว่าแค่สู้กับสัตว์ประหลาดแล้วจบไป ทั้งเกมการเมือง การยุยงปลุกปั่น การสืบคดีว่าฝีมือคนหรือปีศาจ หรือโรคระบาดกันแน่ ก็สนุกมาก

นอกจากซีจีสัตว์ประหลาดที่ดีตามมาตรฐานเกาหลีแล้ว ด้านทีมนักแสดงก็ยังได้ดารามากฝีมืออย่าง คิมมยองมิน ที่เคยได้รางวัลนักสแดงชายยอดเยี่ยมของเกาหลีจากหนัง Closer to Heaven (2009) มารับบทนำอย่างหัวหน้าชุดสืบสวน ยุน กยอม  นอกจากนั้นยังสมทบด้วย คิม อิน ควอน นักแสดงสมทบชายจากหนังสึนามิถล่มอย่าง Haeundae (2009) ด้านดาวรุ่งก็มีทั้ง ชเว วู-ชิค ที่คุ้นหน้าจากทั้ง Train to Busan (2016) และหนังเน็ตฟลิกซ์อย่าง Okja (2017) และที่พลาดไม่ได้เลยดอกไม้ป่าหนึ่งเดียวท่ามกลางชายหนุ่มและอสูรก็ได้ นักแสดงและนักร้องจากวง Girl’s Day อย่าง ฮเยริ มารับบทนำครั้งแรกบนจอเงินด้วย เด็ด!

ข้อติงก็มีบ้างตรงหลากรสไม่สุดไปทางใดทางหนึ่ง เลยอาจไม่เข้มขึงขังดาร์กมากนัก คอหนังโหดอาจไม่เต็มอารมณ์ แต่การมีมุกตลก มีฉากกุ๊กกิ๊กที่มาช่วยบรรเทาหลายช่วงก็ดีตรงหนังบันเทิงขึ้นดูง่ายขึ้น แต่ก็คงไม่ถูกใจสายแมสโลกสวยมากนักอีก เพราะพี่แกจัดฉากโหดร่างคนฉีกขาดให้เห็นตลอดเรื่องเช่นกัน

สำหรับเรื่องนี้ไทยถือว่าได้ดูต่อจากเกาหลีกันทีเดียวเพราะตัวหนังเพิ่งเข้าโรงที่เกาหลีเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมานี่เอง แม้จะไม่ได้เปิดตัวหวือหวาอยู่ที่อันดับ 2 ที่เกาหลีแต่ก็ได้รับการกล่าวถึงไม่น้อยทีเดียว ก็ถือว่าเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่จะได้ชมหนังสัตว์ประหลาดในสไตล์เอเชียย้อนยุค หลังจากเมื่อหลายปีก่อนเคยมีหนังอย่าง The Great Wall (2016) หนังจีนที่จับมือกับฮอลลีวู้ดเคยออกมาโลดแล่นแล้ว ใครติดใจน่าจะต้องจัดเรื่องนี้เช่นกัน

ดูหลังคนเกาหลีไม่ถึงเดือน ไม่ต้องเตือนแค่กดที่รูปเลยจ้า