ตั้งแต่อดีตมาเวลาที่มีนักแสดง หรือคนดังในวงการต่าง ๆ โผล่มาเซอร์ไพรส์ในหนัง ก็มักจะใช้ศัพท์เรียกว่า บทรับเชิญ แต่ศัพท์คำว่า Cameo ก็เพิ่งมาใช้กันมากขึ้นในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมานี่ล่ะ แต่ก็ยังคงความหมายเดียวกัน บทรับเชิญอาจจะมาเพื่อเซอร์ไพรส์คนดู โดยไม่รับเครดิต หรือบางคนก็มีเครดิต มาแบบเปิดเผยตั้งแต่ขั้นตอนประชาสัมพันธ์ว่าจะมีบุคคลเหล่านี้โผล่มาในหนังแต่ไม่บอกว่าตอนไหน บทอะไร ให้คนดูไปลุ้นกันเอาเอง แต่ทั้งหมดทั้งหลายก็เพื่อการโปรโมตหนังให้ได้รับความสนใจนั่นแหล

อย่าง สแตน ลี นี่เราก็เรียกว่า Cameo ได้เช่นกัน แม้ไม่ต้องโปรโมต แฟนมาร์เวลก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าหนังมาร์เวลทุกเรื่องจะต้องมี สแตน ลี โผล่มาแจม ก็คอยจับตาดูกันไว้ว่าคุณปู่จะโผล่มาจ๊ะเอ๋ตอนไหน อีกคนที่มักจะ Cameo ในหนังที่สร้างจากบทประพันธ์ของเขาจนเป็นที่รู้กันดีของบรรดาแฟน ๆ ก็คือ สตีเฟน คิง แต่ที่กล่าวมานี้ก็ไม่ได้มีค่าตัวอะไรมากมายเท่ากับ 10 คน ที่จะหยิบมาเล่าในบทความนี้หรอกครับ บางคนโผล่รับเชิญแค่ไม่กี่นาที แต่รับค่าตัวไปมากกว่านักแสดงนำเสียอีก มีใครบ้างเราไปดูกันเลย

1.มาร์ลอน แบรนโด ใน Superman (1978)

ในยุค 70s นั้น มีนักแสดงชายแถวหน้าที่ได้รับความสนใจจากผู้ชมไม่มากนัก ถ้าเปรียบเทียบกับยุคปัจจุบันนี้ และหนึ่งในนั้นก็คือ มาร์ลอน แบรนโด นักแสดงที่เพียบพร้อมทั้งรางวัลและชื่อเสียงที่เรียกคนดูได้จำนวนมาก เขาเป็นเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ ตัวแรกจาก On the Waterfront (1954) และ The Godfather (1972) เมื่อผู้สร้าง Superman (1978) หนังระดับบล็อกบัสเตอร์ในวันนั้นต้องการได้ตัว มาร์ลอน แบรนโด มารับบทเป็น จอร์เอล พ่อของหนูน้อย คาลเอ็ล ครอบครัวผู้ปกครองบนดาว คริปตัน ที่กำลังถูกทำลายต้องการส่งตัวทารกน้อยให้ไปเติบโตบนโลกมนุษย์ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็น ซูเปอร์ฮีโรผู้ปกป้องสันติสุขให้ชาวโลก

เมื่อ มาร์ลอน แบรนโด รู้ว่าทางทีมผู้สร้างต้องการตัวเขาไปร่วมแสดงอย่างมาก เพื่อใช้ชื่อของเขาประชาสัมพันธ์เรียกความสนใจจากผู้ชม ก็เหมือนกับเข้าทางของมาร์ลอนในจังหวะที่กำลังกอบโกยรายได้จากชื่อเสียง ก็เลยเรียกค่าตัวซะแพงหูฉี่ ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ บท จอร์เอ็ล ที่มาร์ลอน แบรนโด แสดงนั้น ปรากฏตัวบนจอเพียงแค่ 10 นาทีแค่นั้นเอง จากความยังของหนัง 143 นาที แต่กลายเป็นว่ามาร์ลอนเป็นนักแสดงที่รับค่าตัวสูงที่สุดในเรื่อง สูงกว่า คริสโตเฟอร์ รีฟ พระเอกของเรื่องเสียอีก แล้วยังสูงกว่า ยีน แฮ็กแมน อีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือที่ก็มี 1 ออสการ์จาก The French Connection (1971) รับประกันฝีมืออยู่เหมือนกัน มาร์ลอน ขอค่าตัวก่อนเลย 3.7 ล้านเหรียญ แล้วยังได้รับส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์จากกำไรของหนังอีกด้วย Superman ก็ทำรายได้ถล่มทลายเสียด้วย กวาดไป 300 ล้านเหรียญจากการฉายทั่วโลก ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว มาร์ลอน แบรนโด ได้รับไปรวมแล้ว 19 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบอัตราเงินเฟ้อในวันนี้ เท่ากับ 74 ล้านเหรียญเลยล่ะครับ

2.ฌอน คอนเนอรี่ ใน Robin Hood: Prince of Thieves (1991)

เรื่องราวของจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่กับเหล่าเมอรี่เม็น กลุ่มผองเพื่อนของเขา ที่ร่วมสร้างวีรกรรมปล้นคนรวยมาแจกจ่ายให้คนจน ทั้งยังต้องคอยหนีการไล่ล่าของนายอำเภอแห่งนอตธิงแฮม ไม้เบื่อไม้เมาของเขาอีกด้วย เรื่องราวของโรบินฮูดนั้นกลายเป็นตำนานที่เล่าขานต่อกันมายาวนานในภาษาอังกฤษ ด้วยเหตุนี้โรบินฮูดจึงไม่ใช่นิยาย ไม่มีเจ้าของลิขสิทธิ์ จึงเป็นเหตุให้โรบินฮูดถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และทีวีหลายต่อหลายครั้ง เพราะผู้สร้างไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับใคร และครั้งหนึ่งที่นับว่าเป็นเวอร์ชันที่ฮือฮาได้รับความสนใจอย่างมากก็คือ Robin Hood: Prince of Thieves ในปี 1991 เพราะเวอร์ชันนี้ได้ เควิน คอสต์เนอร์ พระเอกสุดฮอตในยุคนั้นมารับบทเป็น โรบิน ฮูด ประกบคู่กับ แมรี่ อลิซาเบ็ธ มาสทรานโทนิโอ ในบท เลดี้ แมเรียน เธอเพิ่งแจ้งเกิดมาจากหนัง The Abyss ปี 1989 ของผู้กำกับเจมส์ คาเมรอน

Robin Hood มีฉากจบที่สวยงาม เมื่อโรบิน ฮูด สามารถเอาชนะบรรดาวายร้ายได้ เขาก็แต่งงานกับเลดี้ แมเรียน จัดพิธีสมรสกันกลางป่าเขา ขณะที่ดำเนินพิธีอยู่นั้นก็พลันมีแขกผู้มีเกียรติที่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจของผู้คนในงาน เพราะเขาคือ กษัตริย์ริชาร์ด ที่มาเป็นเกียรติร่วมอวยพรให้กับบ่าวสาว และกล่าวขอบคุณในวีรกรรมของโรบิน ฮูด และผู้ที่รับบทเป็นกษัตริย์ริชาร์ดโดยไม่ได้รับเครดิตนี้ก็คือ ฌอน คอนเนอรี่ ซึ่งอยู่ในช่วงที่เขาได้รับการต้อนรับจากฮอลลีวูดอย่างดีมาก หลังลาจากบทเจมส์ บอนด์ มาในปี 1983 ก็มีงานแสดงรอรับอยู่เพียบ ทั้งการได้รับบทเป็น ศจ.เฮนรี่ โจนส์ พ่อของอินเดียนา โจนส์ ใน Indiana Jones and the Last Crusade ได้รับบทนำใน The Hunt for Red October, The Untouchables และอีกหลายเรื่อง

สำหรับค่าตัวของ ฌอน คอนเนอรี่ ในบทกษัตริย์ริชาร์ดนั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด เพราะมี 2 สื่อรายงานตัวเลขไม่ตรงกัน สื่อแรกบอกว่าได้รับไป 500,000 เหรียญ อีกสื่อหนึ่งบอกว่า 250,000 เหรียญ แต่นั่นก็เป็นตัวเลขที่นับว่ามากอยู่สำหรับการปรากฏตัวเพียงแค่ไม่กี่นาที แต่ข่าวที่ได้รับการยืนยันก็คือไม่ว่าตัวเลขที่เขาได้รับจะเท่าใด แต่ฌอนก็นำค่าตัวที่ได้ไปบริจาคการกุศลทั้งหมด เอ้า…ปรบมือ

3.ชาร์ลี ชีน ใน Scary Movie 5 (2013)

อดีตนักแสดงสุดฮอตของฮอลลีวูดในยุค 80s ต่อเนื่องถึง 90s มาในยุค 2000s แม้ว่าชาร์ลี ชีน จะไม่มีผลงานภาพยนตร์ แต่ชื่อเสียงที่เขาสั่งสมไว้ ก็ทำให้เขาได้บทนำในทีวีซีรีส์สุดฮิต Two and a Half Men ชาร์ลีได้รับค่าตัวมหาศาล สูงถึง 2 ล้านเหรียญต่อตอน แต่ในระยะหลังนี้เขากลับมีชื่อเสียงทางด้านข่าวฉาวเสียมากกว่าผลงานการแสดงเสียอีก เหตุจากการติดยาจนเริ่มเสียการเสียงาน บางครั้งถึงกับหมดสติต้องส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ผู้สร้างทีวีซีรีส์ Two and a Half Men ทนไม่ไหวจึงไล่เขาออก ทำเอาชาร์ลีหัวร้อนโพสต์ด่า ชัก ลอร์ เสียยืดยาว

ในช่วงก่อนที่ชีวิตเขาจะลงเหวนั้น ชาร์ลี ชีน ได้ไปร่วมแสดงในแฟรนไชส์ Scary Movie หนังตลกล้อเลียนหนังดัง เขารับบทเป็น ทอม โลแกน ใน Scary Movie 3 (2003) และกลับมารับบทเดิมใน Scary Movie 4 (2006) แต่พอถึง Scary Movie 5 (2013) ชาร์ลี ชีน กลับมาในบทรับเชิญ ที่รอบนี้ไม่ได้รับบทเป็น ทอม โลแกน แล้ว แต่มาในฐานะตัวตนของ ชาร์ลี ชีน เอง ในตอนต้นของหนัง เล่นล้อตัวเองในฐานะดาราผู้สร้างข่าวฉาว ว่างั้นเหอะ เขายังประกบคู่กับ ลินด์เซย์ โลฮาน เจ้าแม่ข่าวฉาวที่มารับบทเป็นตัวเองเช่นกัน ทั้งคู่รับบทเป็นคู่รักที่บรรเลงฉากโรมรันพันตูกันบนเตียงแบบฮา ๆ เวอร์ ๆ ก่อนที่ปีศาจจะเข้าสิง ลินด์เซย์ โลฮาน แล้วฆ่าชาร์ลี ชีน ซะงั้น

มีรายงานว่าการทำงานแค่วันเดียวของชาร์ลี ชีน นี้ เขารับค่าตัวไปเหนาะ ๆ 250,000 เหรียญ ซึ่งชาร์ลีเองก็คงอยากจะสร้างข่าวดี ๆ มาลบล้างข่าวฉาวของเขาเสียบ้าง เขาจึงแบ่งค่าตัวส่วนหนึ่งออกมา 150,000 เหรียญ ไปบริจาคให้กับการกุศล ส่วนที่เหลือ 100,000 เหรียญนั้นมอบให้กับ ลินด์เซย์ โลฮาน ที่ร่วมแสดงกับเขา เพื่อให้เธอนำไปจ่ายเงินภาษีมูลค่ามหาศาลที่กำลังโดนสรรพากรตามล้างตามเช็ดอยู่ในขณะนั้น

4.แบรด พิตต์ ใน Deadpool 2 (2018)

หนังซูเปอร์ฮีโรในช่วงหลัง มักจะมาในแนวการรวมเหล่าซูเปอร์ฮีโรหลาย ๆ รายมาปฏิบัติภารกิจร่วมกัน ทั้งทางฝั่งดีซี และมาร์เวล แม้กระทั่งทางฟอกซ์ที่มี Deadpool ซูเปอร์ฮีโรสายฮาก็เอากับเขาด้วย ด้วยการฟอร์มกลุ่ม X-Force ใน Deadpool 2 เป็นกลุ่มซูเปอร์ฮีโรที่มีความสามารถพิเศษแบบประหลาด ๆ อย่างเช่น Domino ซูเปอร์ฮีโรสาวผู้มากับดวง แล้วยังมี Zeitgeist , Bedlam และ ปีเตอร์ ซึ่งแต่ละคนก็โผล่หน้ามากันคนละนิดคนละหน่อย แต่สำหรับ แบรด พิตต์ ในบท Vanisher นั้นโผล่มาแบบพริบตาเดียวก็ว่าได้

แม้ว่าหน้าของ แบรด พิตต์ นั้นใครเห็นก็จำได้ แต่ถ้าใครกำลังหาว หรือก้มไปล้วงข้าวโพดคั่วก็อาจจะพลาดเห็นเขาไปเลยก็ได้ เพราะความสามารถพิเศษของ Vanisher นั้นคือล่องหนได้ ทำให้เราไม่เห็นเขาปรากฏตัวบนจอเลย จะมีก็แค่ชั่วแว้บเดียวตอนที่ Vanisher โดนสายไฟฟ้าแรงสูงชอร์ตตายที่เราได้เห็นหน้าของ แบรด พิตต์ มาเซอร์ไพรส์ในบทนี้โดยไม่ได้รับเครดิต

เร็ตต์ รีส ผู้กำกับร่วมเป็นผู้มาเปิดเผยรายละเอียดเรื่องนี้ว่า ในการถ่ายทำฉากนี้ แบรด พิตต์ ใช้เวลาทำงานแค่ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งค่าตัวที่จ่ายให้กับแบรด ก็ค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อ จ่ายไปตามอัตราการทำงานต่อชั่วโมง ก็เป็นเงินประมาณ 1,000 เหรียญ ถือว่าไม่โหดนัก แบรดก็เหมือนได้ค่าข้าวแพง ๆ ไปสักมื้อนึง ก็ไม่เลวนักสำหรับการทำงานแค่ครึ่งชั่วโมง

5.อเล็ก บอลด์วิน ใน Glengarry Glen Ross (1992)

หนังดัดแปลงมาจากบทละครเวทีของ เดวิด มาเม็ต ที่ตามมาเขียนบทภาพยนตร์ให้เรื่องนี้ด้วย เรื่องราวของบริษัทนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ที่เต็มไปด้วยเซลส์แมนสูงวัยที่แต่ละคนหมดไฟในการทำงาน แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเหตุให้ต้องร้อนก้นลุกมาเร่งทำการขายเพื่อรักษางานของตัวเองไว้ หนังเต็มไปด้วยบรรดานักแสดงชายมากฝีมือทั้ง อลัน อาร์กิน, เควิน สเปซีย์, แจ็ก เล็มมอน, เอ็ด แฮร์ริส และ อัล ปาชิโน

แม้ว่าจะอัดแน่นไปด้วยนักแสดงชายแถวหน้า แต่ฉากที่น่าจดจำจาก Glengarry Glen Ross กลับไม่ได้มาจากนักแสดงชายตามรายชื่อที่กล่าวมา และไม่ใช่บทบาทของ อัล ปาชิโน ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในสาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมจากเรื่องนี้ แต่กลับเป็นการแสดงของ อเล็ก บอลด์วิน ที่มาในบทรับเชิญแล้วฉากการปรากฏตัวของเขายังถูกนำไปใส่ไว้ในตัวอย่างหนังเสียด้วย อเล็กรับบทเป็น เซลส์แมนผู้ประสบความสำเร็จชื่อ “เบลค” เขาถูกเชิญมาเพื่อพูดปลุกขวัญกำลังใจให้กับบรรดาเซลส์แมนสูงวัย แต่ลีลาการพูดของเบลคนั้นค่อนข้างรุนแรง เพราะเขาทั้งใช้ถ้อยคำรุนแรง หยาบคาย ดูถูก เหยียดหยามบรรดาเซลส์แมนรุ่นลุงทั้งหลาย เพื่อกระตุ้นความสนใจ แล้วจากนั้นก็ประกาศการแข่งขันทำยอดขาย ใครปิดการขายได้มากสุดในเดือนนั้น จะได้รับรถยนต์ คาดิลแล็ก เอลโดราโด รางวัลที่ 2 ได้ชุดมีดหั่นสเต๊ก ส่วนรางวัลที่ 3 คือโดน “ไล่ออก”

อล็ก บอลด์วิน ปรากฏตัวในบท “เบลค” แค่ในฉากนี้เท่านั้นเป็นเวลา 8 นาที แล้วก็หายไปจากหนังเลย บรรดานักวิจารณ์กล่าวชื่นชมว่าฉากนี้คือการแสดงที่ดีที่สุดของ อเล็ก บอลด์วิน ตลอดอาชีพการแสดงของเขาเลยก็ว่าได้ ตามข้อมูลเบื้องหลังนั้น อเล็ก บอลด์วิน ใช้เวลาถ่ายทำฉากนี้ถึง 3 วัน เขารับค่าเหนื่อยไป 250,000 เหรียญ จำนวนเงินนี้สามารถซื้อ คาดิลแล็ก เอ็ลโดราโด ได้ถึง 7 คันเลยนะ

(อ่านต่อหน้า 2 จ้า)

6.ไมเคิล บีห์น ใน Alien 3 (1992)

ไมเคิล บีห์น เป็นพระเอกสุดฮอตในยุค 80s เขามักจะได้รับบทเดิม ๆ คือเป็นทหารแกร่งมากประสบการณ์ เป็นดาราขาประจำของผู้กำกับเจมส์ คาเมรอน บทสร้างชื่อของเขาคือ ไคล์ รีส ใน The Terminator, ร้อยโท คอฟฟีย์ ใน The Abyss และเป็น ดเวย์น ฮิค ใน Aliens ภาค 2 ของแฟรนไชส์ Alien

ย้อนไปถึงฉากจบของ Aliens (1986) กลุ่มผู้รอดชีวิตจากการรบกับกองทัพเอเลียน ได้หนีกันมาบนยานอวกาศ ซูลาโค พวกเขาเข้าสู่โหมดไฮเปอร์สลีปในเตียงแคปซูลระหว่างเดินทางกลับสู่โลกมนุษย์ ตัดข้ามมาใน Alien 3 ยานซูลาโค เกิดอุบัติเหตุไฟลุกไหม้ ทำให้ระบบอัตโนมัติยิงห้องเก็บแคปไฮเปอร์สลีปหลับออกนอกตัวยาน ไปตกบนดาวลึกลับ ระหว่างผ่านชั้นบรรยากาศแคปซูลเกิดไฟลุกไหม้ ลูกเรือตายหมด รวมถึง ดเวย์น ฮิค ร่างของเขาถูกไฟคลอกตายภายในแคปซูล คงรอดเพียงแค่ริปลีย์เท่านั้น ดเวย์น ฮิค ถูกอ้างถึงใน Alien 3 ด้วยภาพถ่ายเท่านั้น

Alien 3 ในเวอร์ชันที่ออกฉายนั้น เป็นบทภาพยนตร์ทีผ่านการแก้ไขมาแล้ว ย้อนไปถึงบทร่างแรกนั้น ดเวย์น ฮิค ก็ยังคงตายตั้งแต่ต้นเรื่องอยูดี แต่เขาจะตายแบบน่าสยดสยอง เพราะถูกตัวอ่อนของเอเลียนฉีกอกออกมาขณะอยู่ในภาวะไฮเปอร์สลีป แม้ว่าท้ายที่สุดบท ดเวย์น ฮิค จะถูกแก้ให้ตายแบบดูดีขึ้นไม่สยดสยองอย่างในร่างแรก แต่บทของเขาก็ถูกเขียนให้ตายตั้งแต่ต้นเรื่องอยูดี พอรู้ไปถึง ไมเคิล บีห์น ว่าเขาไม่ได้กลับมาแสดงใน Alien 3 เขาก็ไม่ค่อยพอใจนัก พอทีมงานติดต่อมาว่าจะขออนุญาตใช้ภาพถ่ายของเขาอ้างถึงตัวตนของ ดเวย์น ฮิค ในหนังภาค 3 นี้ ด้วยความไม่พอใจเป็นทุนเดิม ไมเคิล บีห์น กล่าวอนุญาตให้ใช้ภาพของเขาได้ มีการเปิดเผยเรื่องนี้ในส่วน Special Feature ของแผ่นดีวีดี Alien 3 ว่า สุดท้ายแล้ว ไมเคิล บีห์น ก็รับทรัพย์ไปเหนาะ ๆ เทียบเท่ากับค่าเหนื่อยจากการแสดงหนังหนึ่งเรื่อง แม้ทีมงานจะใช้แค่เพียงภาพถ่ายของเขาเท่านั้น ส่วนตัวเลขนั้นไม่ได้รับการเปิดเผย

7.ดเวย์น จอห์นสัน ใน The Other Guys

หนังคอมเมดี้แนวตำรวจคู่หู ขายชื่อ มาร์ก วาห์ลเบิร์ก และวิล เฟอร์เรล ทั้งคู่เป็นตำรวจเฟอะฟะ ที่ต่างก็ไม่เคยมีผลงานและชื่อเสียง ไอดอลของทั้งคู่คือ พี.เค. ไฮสมิธ และคริส แดนสัน คู่หูสุดระห่ำที่ออกปฏิบัติการทีไร เป็นต้องระเบิดภูเขาเผากระท่อม วินาศสันตะโรกันไปทั้งเมือง แม้ว่าผู้ร้ายคดีนั้นจะแค่ขายกัญชาก็ตาม เมื่อบทเขียนให้ พี.เค และคริส ถอดแบบมาจากคาแร็กเตอร์ที่เห็นกันประจำในหนังตำรวจคู่หู ก็จำต้องเลือกนักแสดงฮอลลีวูดที่ผ่านงานแอ็กชันแบบนี้กันมาอย่างโชกโชนแล้ว ก็ได้ตัวเลือกที่เหมาะเหม็งมาก นั่นก็คือ ซามูเอล แอล. แจ็กสัน และดเวย์น จอห์นสัน ที่เห็นการแสดงเข้าขาแล้วชวนให้นึกว่าคู่นี้น่าจะได้ประกบกันในหนังคู่หูแบบนี้จริง ๆ ไปเลย

ดเวย์น รับบท คริส แดนสัน แบบสบาย ๆ แค่ช่วงต้นเรื่อง ก่อนจะถูกตัดจบให้ตายแบบโง่ ๆ เพื่อเปิดทางให้ อัลเล็น แกมเบิล และ เทอร์รี ฮอยตส์ อีกหนึ่งตำรวจคู่หูที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นได้อย่าง พี.เค และคริส ได้โอกาสทำผลงานดูบ้าง งานนี้อาจจะเรียกว่าเป็น”บทรับเชิญ”ของ ดเวย์น จอห์นสัน ได้ไม่เต็มปากนัก แต่บทของเขาก็มีส่วนสำคัญกับเนื้อหาของเรื่อง แม้จะแสดงแค่ 2 ฉากเท่านั้น แต่เขาก็รับค่าเหนื่อยไปเบา ๆ 9 ล้านหรียญ ก็ถือว่าน้อยกว่าครึ่งของค่าตัวในอัตราปกติของเขา แต่แค่นี้ก็ถือว่าผู้สร้างค่อนข้างเจ็บหนัก เพราะหนังคอมเมดี้เรื่องนี้ค่อนข้างใช้ทุนสูงถึง 100 ล้านเหรียญ แต่รายรับที่ 170 ล้านเหรียญ ก็นับว่าไม่น่าแฮปปี้นัก

8. วิง เรมส์ ใน Mission: Impossible — Ghost Protocol (2011)

แม้ว่า วิง เรมส์ จะมีแต่งานแสดงในหนังเกรด B เสียเป็นส่วนใหญ่ งานระดับบล็อกบัสเตอร์ของวิง เรมส์ ก็เห็นจะมีแต่แฟรนไชส์ Mission: Impossible เท่านั้นล่ะ ที่เขารับบทเป็น ลูเธอร์ สติกเคลล์ แฮกเกอร์ระดับพระกาฬ เป็นสมาชิกในหน่วยImpossible Missions Force (IMF) เป็นบทที่อยู่กับแฟรนไช์มาตั้งแต่ภาคแรก แต่เมื่อมาถึงภาคที่ 4 Ghost Protocol บทของลูเธอร์ก็หายไปจากหนังซะงั้น มาโผล่อีกทีในฉากจบ ที่ลูเธอร์ ได้มานั่งสนทนากับอีธาน ฮันต์ ซึ่งในบทสนทนาเขาก็ได้เผยสาเหตุว่าที่เขาหายไป เพราะแยกไปปฏิบัติภารกิจตามหาหัวรบนิวเคลียร์ในอ่าวซานฟรานซิสโก

ที่น่าแปลกใจก็คือ ทีมผู้สร้างให้ความสำคัญกับการปรากฏตัวของ ลูเธอร์ สติกเคลล์ ในฉากนี้อย่างมาก เพื่ออธิบายถึงการหายไปของบทนี้ ถึงกับต้องยอมจ่ายค่าตัวให้กับ วิงเ รมส์ สูงถึง 7.7 ล้านเหรียญ กับการปรากฏตัวบนจอเพียงแค่ 1 นาที ซึ่งนับว่าสูงมาก จากค่าตัวปกติที่เขาได้รับใน 3 ภาคก่อนหน้านั้น ภาคละ 3 ล้านเหรียญเท่านั้น สบายจัง ทำงานน้อย ได้มากกว่าเดิมเกินสองเท่า

9.ฮิวจ์ แจ็กแมน ใน X-Men: First Class (2011)

หลังจาก X-Men รุ่นแรกดำเนินต่อเนื่องมาถึง 3 ภาค X-Men, X2: X-Men United, and X-Men: The Last Stand สตูดิโอฟอกซ์ก็ตัดสินใจรีบูตแฟรนไชส์ ด้วยการกลับไปเล่าเรื่องราวของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในวัยหนุ่มสาว ด้วยวิธีนี้พวกเขาก็ได้วางตัวทีมนักแสดงใหม่ทั้งหมด โดยใช้ตัว วูล์ฟเวอรีน เป็นตัวเชือมเรื่องราวในอดีตและปัจจุบัน เพราะว่าความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของวูล์ฟเวอรีนคือการเยียวยาตัวเองและทำให้เขาแก่ตัวช้ากว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้บทบาทวูล์ฟเวอรีนจึงไม่ต้องหาตัวนักแสดงคนใหม่ แม้ว่าจะย้อนไปเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเป็นทศวรรษ

ในภาค X-Men: First Class ชาร์ล เซเวียร์ รับบทโดย เจมส์ แม็กอะวอย และ เอริก เลห์นเชอร์ รับบทโดย ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ นั้นกำลังรวบรวมสมาชิกมนุษย์กลายพันธุ์ ทั้งคู่เข้ามาในบาร์แล้วเจอวูล์ฟเวอรีนนั่งดื่มอยู่คนเดียว ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากถึงจุดประสงค์ที่มา วูล์ฟเวอรีนก็ชิงตัดบทก่อนว่า “Go Fuck Yourself” เป็นอันปิดบทการสนทนา รวมเวลาแล้ว ฮิวจ์ แจ็กแมน ปรากฏตัวบนจอใน X-Men: First Class เพียงแค่ 20 วินาทีเท่านั้น แล้วก็ด่าไปเพียงแค่ 3 คำ

งานนี้ฮิวจ์ แจ็กแมน ไม่ได้รับค่าตัวเป็นเงินนะครับ เขาเปิดเผยว่า
“ฟอกซ์มีน้ำใจมากเขาบริจาคเงินให้กับโรงเรียนของลูกผม ส่วนตัวผมเองน่ะรู้สึกกระดากนะถ้าจะต้องรับเช็กค่าตัวสำหรับงานนี้ ถึงตอนนี้ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นนักแสดงคนเดียวที่ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินบริจาคการกุศลและได้รับการยกเว้นภาษีแลกกับการด่าในหนัง”

https://www.youtube.com/watch?v=hNFXHgNKwv4

10.มาร์ก ฮามิลล์ ใน The Force Awakens

นอกเหนือจากบท ลุค สกายวอล์คเกอร์ แล้ว เขาก็มีงานพากย์เสียงบ้าง ส่วนงานแสดงอื่นนั้น มาร์ก แฮมิลล์ ก็ไม่มีผลงานเป็นที่รู้จักเลย เมื่อดิสนีย์ซื้อลิขสิทธิ์ Star Wars จากจอร์จ ลูคัส มาสานต่อตำนานสงครามดวงดาว ในไตรภาคที่ 3 นั้น ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำคาแร็กเตอร์หลักจากไตรภาคแรกมาส่งต่อตำนานให้คาแร็กเตอร์ใหม่ เราจึงได้เห็นการปรากฏตัวของตัวละครอันเป็นที่รักในอดีตทั้ง ฮัน โซโล เจ้าหญิงเลอา และลุค สกายวอล์กเกอร์ ใน The Force Awakens นั้น เราได้เห็น ฮัน โซโล และ เจ้าหญิงเลอา ตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่บทหนังก็เก็บงำบทบาท ลุค สกายวอล์กเกอร์ไว้เป็นตัวละครสำคัญจนถึงนาทีสุดท้ายของหนัง ที่เรย์ตามสืบหาที่กบดานของเจไดคนสุดท้ายจนพบ เพื่อยื่นไลต์เซเบอร์คืนให้กับเขา ก็ต้องชื่นชมทีมงานว่าสร้างสรรค์ฉากเปิดตัวของลุค สกายวอล์กเกอร์ได้เท่มาก จนได้ยินเสียงฮือฮาในทุกรอบที่ฉายเมื่อถึงฉากนี้

มาร์ก แฮมิลล์ ปรากฏตัวในฉากนี้แค่ไม่กี่นาที แล้วก็เป็นการแสดงที่ไม่มีบทพูดเลยแม้แต่ประโยคเดียว แต่เมื่อโอกาสมาถึง เขาก็รับทรัพย์จากบทบาทระดับตำนานนี้ไปแบบคุ้มค่าการรอคอย ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัด แต่มีการเปรยเป็นนัย ๆ ว่ามาร์กรับไปอย่างน้อย 7 หลักต้น ๆ แต่แค่นั้นก็ถือว่าเป็น 10 เท่าจากค่าตัวที่ เดซี ริดลีย์ และ จอห์น โบเยกา 2 นักแสดงนำได้รับไปในฐานะนักแสดงนำ

https://www.youtube.com/watch?v=nfsG-ZXyjeA

อ้างอิง