ปี 2564 นับเป็นปีที่ BMW มียอดขายในเมืองไทยขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในรอบ 18 ปี และเพื่อรักษาตำแหน่งแชมป์ในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทย จึงได้แนะนำรถยนต์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดราคาและอุปกรณ์ที่คุ้มค่ามากขึ้น วันนี้ beartai ได้รับเชิญจากทาง BMW Thailand ร่วมทดสอบ 2 รถยนต์รุ่นใหม่อย่าง BMW 5-Series LCI และอีกหนึ่งรุ่นคือ BMW 3-Series Grand Sedan ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

BMW 5-Series LCI 530e M Sport และ 520d M Sport

เริ่มต้นด้วย BMW 5-Series LCI (LCI ย่อมาจาก Life Cycle Impulse หมายถึงรุ่นปรับโฉมตามอายุตลาด) ที่ได้การปรับโฉมไปเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยห่างจากเวอร์ชันตลาดโลก 9 เดือน ในด้านภายนอกได้ปรับปรุงดีไซน์ให้มีเส้นสายที่เฉียบคมสปอร์ตขึ้น ทั้งกระจังหน้าที่เหลาดีไซน์ให้หรูหราขึ้น ไฟหน้าแบบ Adaptive LED ดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วย Shadow Line ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางแบบ Runflat ที่สามารถวิ่งได้แม้ยางแบน ไฟท้ายที่ได้ปรับรายละเอียดใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น เสริมด้วยชุดแต่งภายนอก M Sport รอบคัน

เข้าไปดูภายในห้องโดยสารมีการตกแต่งเพิ่มและมีฟีเจอร์ใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นจอกลางขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมสวิตช์ควบคุม iDrive ที่สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto มาพร้อมระบบ BMW ConnectedDrive ที่สามารถแสดงข้อมูลการจราจรแบบสด ๆ รองรับการควบคุมผ่านการเคลื่อนไหวของมือ Gesture Control และ บริการติดต่อผู้ช่วยส่วนตัวพร้อมปุ่มโทรออกฉุกเฉิน อีกฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ Digital Key สามารถสั่งล็อกรถได้ผ่านสมาร์ตโฟน ซึ่ง ณ ขณะนี้รองรับเพียง iPhone เท่านั้น (Android รอก่อนนะ) นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ระบบ Driving Assitance ที่ช่วยเหลือการขับขี่ตั้งแต่

  • ระบบเตือนรถออกนอกช่องจราจร (Lane Departure Warning)
  • ระบบเตือนมุมอับสายตา (Lane Change Warning)
  • ระบบเตือนรถผ่านขณะถอยหลัง (Crossing-traffic Warning Rear)
  • ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ความเร็วต่ำ (City Braking Function)
  • ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ขณะถอยหลัง (Rear Collision Prevention)
  • ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติในระยะ 50 เมตร สุดท้าย (Reversing Assistant)
  • ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ (Parking Assistant)

2 ขุมพลัง ที่มีคาแรกเตอร์แตกต่าง

สำหรับ BMW 5-Series LCI มีให้ 2 ขนาด เริ่มกันที่รุ่น 530e M Sport ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Twin Power Turbo 4 สูบ 180 แรงม้า แรงบิด 300 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Sychronous Eletric Motor 109 แรงม้า แรงบิด 265 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกันจะได้พละกำลังสูงสุด 252 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร หากอยากได้ความแรงเพิ่มอีก BMW ได้ใส่ระบบ XtraBoost ทำให้พละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 292 แรงม้า ส่วนแรงบิดจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 100-250 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic ขับเคลื่อนล้อหลัง เชื่อมกับแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ขนาด 12 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง (kWh) รองรับการชาร์จไฟทั้งแบบปลั๊กทั่วไป และชาร์จผ่าน BMW i Wallbox กำลังชาร์จ 3.7 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง
ขณะที่ช่วงล่างเป็นแบบ Adaptive ที่จะปรับตามความเร็วและสามารถเลือกโหมดได้ 3 แบบคือ Hybrid Sport และ Electric มาพร้อมระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering) เพื่อให้การเข้าโค้งทำได้คล่องตัวขึ้น

ขณะที่รุ่น 520d M Sport จะมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Twin Power Turbo 4 สูบ 190 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่วนช่วงล่างเป็นแบบ M Sport

BMW 3-Series Grand Sedan

ชื่อในการทำตลาดคือ BMW 3-Series Grand Sedan 330Li M Sport หลายคนอาจจะงงว่ามันคือรุ่นย่อยอะไร แล้วมันแตกต่างจาก BMW 3-Series ที่จำหน่ายก่อนหน้านี้อย่างไร จริง ๆ แล้วมันคือรุ่นสูงสุดของตระกูล 3-Series แม้ภายนอกแทบจะเหมือนกันทุกจุด แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือตัวรถและฐานล้อที่ยาวกว่า 110 มิลลิเมตร ส่วนภายในห้องโดยสารได้เพิ่มหลังคาแบบ Panoramic Sunroof เครื่องปรับอากาศแบบ 3 โซน ผู้โดยสารแถวหน้า ซ้าย-ขวา และ ผู้โดยสารหลัง อีกทั้งเบาะหลังมีพื้นที่กว้างขึ้นอีกด้วย

ด้านขุมพลังของ BMW 3-Series Grand Sedan 330Li MSport รุ่นที่ทำตลาดในประเทศไทยไม่ได้ใช้บล็อก Plug-in Hybrid เหมือนกับ BWM 3-Series 330e แต่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TwinTurbo 4 สูบ รีดพละกำลังได้ 258 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ

ลงสนามลองขับจริง

งานนี้ทางครูฝึกได้จัดรูปแบบการทดสอบ 2 แบบหลัก ๆ คือ ในสนามและถนนจริง โดยที่ผู้ทดสอบสามารถเลือกได้อย่างอิสระแต่มีเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับการทดสอบในสนาม ครูฝึกได้แบ่งเป็น 3 สถานี คือ ทดสอบอัตราเร่งช่วงออกตัว แล้ววนรอบสนาม เข้าสถานีเปลี่ยนเลนกะทันหัน (Erk-Test) , การทดสอบสลาลอม และ การทดสอบระบบควบคุมความเร็วแปรผันตามรถคันหน้าอัตโนมัติ อีกส่วนคือการทดสอบบนถนนจริง โดยทาง BMW ได้วางเส้นทางแนะนำระยะทาง 19.1 กิโลเมตร หรือจะวิ่งเส้นทางอื่นได้ แต่ต้องกลับมาเปลี่ยนรถทดสอบภายในเวลาที่กำหนด เรียกว่าการทดสอบในงานนี้ ได้รับรู้สมรรถนะกันแบบขั้นสุดจริง ๆ เมื่อรับบรีฟข้อมูลตัวรถและการทดสอบเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาลงสนามจริงกัน

BMW 530e M Sport

สำหรับรถคันแรกที่ผู้เขียนได้ทดลองขับคือ BMW 5-Series 530e M Sport เริ่มจากสถานีทดสอบอัตราเร่ง ทันทีที่กดคันเร่งเต็มเท้าพบว่าพละกำลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร eDrive ทำได้เร็วทันใจ ใช้เวลาถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแบบรวดเร็ว ก่อนที่จะขับตามเส้นทางที่ทางครูฝึกได้วางไว้ การเข้าโค้งในความเร็วสูงทำได้มั่นใจ แม้จะมีอาการนุ่มให้สัมผัสแต่ไม่ทำให้ความสนุกในการเข้าโค้งลดลง ก่อนที่จะเข้าสู่สถานีเปลี่ยนเลนกะทันหันเพื่อดูเรื่องการถ่ายเทน้ำหนัก พบว่าการทำงานของพวงมาลัยทำได้ไว แม่นยำ ส่วนช่วงล่างมีลักษณะไปตามที่เราบังคับได้ดี ด้านหน้าและด้านหลังไปทางเดียวกัน จบจากสถานี Mini-Circuit แล้วไปลองสถานีสลาลอม โดยใช้ความเร็วประมาณ 40-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สิ่งที่สัมผัสได้คือการควบคุมวงเลี้ยวทำได้คล่องตัวมาก องศาพวงมาลัยลดน้อยลง เพราะระบบปรับองศาของล้อหลังที่ช่วยเลี้ยวทำให้ระยะการหักเลี้ยวกระชับขึ้น ภาพรวมหากต้องการความนุ่มสบายแต่ไม่ทิ้งความสนุกแสบซ่า BMW 5-Series 530e M Sport คันนี้จะตอบโจทย์ที่สุดครับ

BMW 520 d M Sport

ลงจากคันหรูมาขับตัวสปอร์ตกันบ้าง สำหรับ BMW 5-Series 520d M Sport รุ่นนี้ออปชั่นบางอย่างหายไปพอสมควร แต่เน้นการขับขี่ที่สนุกมากขึ้น ด้านอัตราเร่งช่วงออกตัวพบว่ามีอาการหน่วงแต่ไม่เยอะมาก และเริ่มกระฉับกระเฉงในความเร็วประมาณ 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วเข็มไมล์ทะยานขึ้นไปถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นเข้าโค้งตามเส้นทางในสนามที่ครูฝึกวางไว้ อาการนุ่มที่เคยเจอใน 530e M Sport จะลดลงระดับนึง ทดแทนด้วยความแข็งตึง โดยเฉพาะสถานีหักหลบกะทันหันจะเห็นได้ชัดว่าอาการท้ายออกมีให้สัมผัสเล็ก ๆ แต่ควบคุมได้ ส่วนการออกถนนจริงการซับรอยต่อถนนมีจังหวะตึงให้สัมผัส แต่ยังคงความนุ่มนวลอยู่ ภาพรวมหากต้องการความสนุกขณะขับขี่ ข้าวของไม่ล้ำแต่ไม่น้อย คันนี้น่าสนใจไม่แพ้กัน

BMW 330 Li Grand Sedan

มาถึงคันสุดท้ายอย่าง BMW 3-Series Grand Sedan 330 Li M Sport มาดูในเรื่องอัตราเร่งช่วงออกตัว ทันทีที่กดคันเร่งเต็มเท้า พละกำลังจะปล่อยออกมาเร็วกว่า 520d M Sport นิดนึง จากนั้นเข็มความเร็วทะยานขึ้นถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างรวดเร็ว ถือว่าไม่ขี้เหร่มีความกระฉับกระเฉงกำลังดี จากนั้นวิ่งรอบสนามเข้าโค้งในความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อจับอาการถ่ายเทน้ำหนัก ก่อนที่จะลองหักหลบกะทันหันผ่านสถานี Erk-Test จากที่จับอาการของช่วงล่างพบว่ามีคาแรกเตอร์กระเดียดไปทางความนุ่มนิดนึง แต่ความแข็งสปอร์ตมีให้สัมผัสอยู่ บางจังหวะที่เข้าโค้งรู้สึกได้ว่าด้านหน้ามีความนุ่มและแอบมีอาการหน้าดื้อ (Understeer) ให้รู้สึกเล็ก ๆ หลังจากนั้นลองออกวิ่งบนถนนจริง พบว่าการซับรอยต่อบนถนนทำได้นุ่มและตึงกำลังดี ขณะที่สมรรถนะในย่านความเร็วสูงทำได้นิ่งและกำลังเครื่องทะยานได้เร็ว หากใครต้องการรถที่นั่งสบายแต่ความสนุกมีให้ไม่เยอะในราคาที่ไม่แพ้มาก BMW 330 Li Grand Sedan ถือว่าเป็นตัวเลือกที่อยากคุณได้ไปทดลองขับจริง ๆ

3 รุ่นที่มีคาแรกเตอร์ชัดเจนและราคาที่เร้าใจ

การได้ทดลองขับรถ BMW ทั้ง 3 รุ่น ทำให้ผู้เขียนค้นพบคาแรกเตอร์ของรถที่แตกต่างกัน หากจะให้บอกถึงความประทับใจที่สุดจากการได้ทดลองขับทั้ง 3 คันในงานนี้ ผู้เขียนกลับรู้สึกชื่นชอบ BMW 530e M Sport เพราะด้วยสมรรถนะที่ให้ความแรงทันใจ ช่วงล่างที่นุ่มแต่ให้ความสปอร์ตในเวลาเดียวกันได้ดี แต่คล่องตัวเกินคาด ในขณะที่ 520d M Sport แม้กำลังเครื่องกลับทำได้ไม่แรงทันเท้า แต่ช่วงล่างที่ออกไปในทางสปอร์ตสุด ให้ความสนุกเวลาขับขี่ในสนาม ส่วน 330 Li Grand Sedan จะอยู่กลาง ๆ เน้นความนุ่มสบายแต่ความสนุกยังคงมีให้กำลังดี

สำหรับราคาของ BMW ทั้ง 3 รุ่นที่ผมได้มีโอกาสทดลองขับมีดังนี้

  • BMW 3-Series 330 Li Grand Sedan ราคา 2,899,000 บาท
  • BMW 5 Series 520d M Sport ราคา 3,539,000 บาท
  • BMW 5 Series 530e M Sport ราคา 3,739,000 บาท

หากใครที่อ่านแล้วสนใจหรืออยากรู้สมรรถนะของรถทั้ง 3 รุ่น สามารถติดต่อสอบถามและนัดทดลองขับได้ที่ผู้แทนจำหน่าย BMW อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ แล้วจะรู้ว่าสมรรถนะของรถทั้ง 3 รุ่น ตรงกับจริตคุณมากแค่ไหน

ขอขอบคุณ BMW Thailand ที่เชิญ beartai ร่วมทดสอบในครั้งนี้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส