ด้วยไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันพฤติกรรมผู้ชมมีช่องทางการรับสื่อหลากหลายมากขึ้น ทั้งทีวีช่องใหม่และสื่อออนไลน์  โดยผลการสำรวจของ นีลเส็น ประเทศไทย พบว่าพฤติกรรมรับชมทีวีในช่วงไตรมาส 3 ปี 2559 กลุ่มผู้ชมอายุ 15 ปีขึ้นไป ดูทีวีเฉลี่ย 2.41 ชั่วโมงต่อวัน  ในขณะที่คนไทยมีแนวโน้มการใช้สมาร์ทโฟนเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 234 นาที หรือคิดเป็น 4 ชั่วโมงต่อวัน  ดังนั้น “แบรนด์” จึงต้องปรับการใช้งบโฆษณาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

นายณัฐพงศ์ ตังเดชะหิรัญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท โอทีวี จำกัด (OTV) เปิดเผยว่า “ในฐานะที่เป็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทยแท้ๆ ภายใต้แพลตฟอร์ม VDO Content Network ซึ่งเกิดขึ้นจากการรวมตัวของผู้ก่อตั้ง 2 คน  คือผม และ คุณณดล ธัญญากรดิลก  กรรมการผู้จัดการของบริษัทฯ  ซึ่งเรามีประสบการณ์และคลุกคลีในแวดวงไอทีมากว่า 15 ปี และเคยร่วมอยู่ในคณะกรรมาธิการ ICT ของรัฐสภาในยุคที่ผลักดันให้เกิดกสทช. ขึ้น   โดยยุคนั้นธุรกิจในด้านการเผยแพร่กระจายคอนเทนต์บนช่องทางออนไลน์ยังน้อยมาก  และยังมีโอกาสเติบโตสูง    จึงเป็นจุดกำเนิดของบริษัท โอทีวี จำกัด เมื่อปี 2556  โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ทำงานอยู่เบื้องหลัง และสร้างเน็ทเวิร์กมาอย่างต่อเนื่อง  ปัจจุบันเรามีพันธมิตรทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศกว่า 200 ราย  รวมถึงได้พัฒนาออกแบบโมเดลธุรกิจเพื่อให้ตอบโจทย์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักๆ 4 กลุ่มด้วยกัน ประกอบด้วย

  1. Content Provider  กลุ่มที่ผลิตคอนเทนต์และเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในรูปแบบของข่าว ละคร  ภาพยนตร์  มิวสิคเพลง วาไรตี้  ซีรีส์  การ์ตูน  กีฬา ฯลฯ
  2. Publisher พันธมิตรของโอทีวี ที่เป็นทั้งเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น  ปัจจุบันมีกว่า 200 ราย โดยกลุ่มนี้จะสามารถนำรายการต่างๆ ของโอทีวี ไปเผยแพร่บนช่องทางของ publisher ได้อย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์
  3.  Advertising Agency  เอเจนซี่โฆษณา หรือเจ้าของแบรนด์ ที่มองหาช่องทางโปรโมทบนสื่อออนไลน์ที่มีศักยภาพ โดยสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามความต้องการ และครอบคลุมทั้งบนแพลตฟอร์มของโอทีวี และช่องทางของ publisher  และ
  4. Audience คือกลุ่มผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลด แอป  OTV เพื่อรับชมรายการต่าง ๆ  และ แอป OMU เพื่อชมมิวสิควิดีโอได้ฟรี! ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงสามารถดูผ่าน publisher ได้ด้วยเช่นกัน  ซึ่งผู้ใช้งานจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย ในรูปแบบสะสมแต้ม “ยิ่งดูมาก…ยิ่งได้มาก” เพื่อลุ้นรับของรางวัลมากมาย”

สำหรับ แคมเปญ “ยิ่งดูมาก…ยิ่งได้มาก” นั้น ผู้ใช้งานสามารถสะสมแต้มเพื่อแลกหรือลุ้นรับของรางวัลได้อย่างมากมาย อาทิ มือถือรุ่นล่าสุด บัตรสตาร์บัคส์ ตั๋วหนังเครือเมเจอร์ รวมถึงบัตรคอนเสิร์ตต่างๆ เป็นต้น

ล่าสุด บริษัท โอทีวี จำกัด ได้ผนึกความร่วมมือกับ “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” ในฐานะผู้นำในการผลิตคอนเทนต์ และผู้นำด้านสื่อธุรกิจเพลง และความบันเทิงครบวงจร โดยบริษัทฯ ได้ลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่มิวสิควิดีโอ จากค่ายแกรมมี่อย่างถูกต้องตามกฎหมายจำนวนกว่า 5,000 เพลง ของศิลปินยอดนิยม อาทิ เบิร์ด ธงไชย, ตูน บอดี้สแลม,  โปเตโต้,  ปาล์มมี่,  ดา เอ็นโดรฟิน,  ลุลา,  เป๊ก ผลิตโชค, อะตอม, ลาบานูน,  พลอยชมพู,  มิว MBO  ฯลฯ  โดยมิวสิควิดีโอทั้งหมดของแกรมมี่จะอยู่บน แพลตฟอร์ม OMU ดูมิวสิควิดีโอ ฟรี!  ไม่มีค่าใช้จ่าย  และยังมีสิทธิ์ได้ของรางวัลอีกด้วย  สามารถดาวน์โหลดแอป OMU ได้ ทั้งในระบบ iOS , ระบบแอนดรอยส์ และบนเว็บไซต์ ซึ่งผู้ใช้งานยังสามารถสะสมแต้ม จากการเข้าชมบนแพลตฟอร์มของ OTV และ OMU รวมถึงจากช่องทางของพันธมิตรทั้งเว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่น รวมกว่า 200 ช่องทางได้อย่างครอบคลุม

“บริษัทฯ มีแผนการขยายการลงทุนเพิ่มทั้งในส่วนของ OTV จะมุ่งเน้น content ของไทยและต่างประเทศ  ทั้งละคร ภาพยนตร์ไทย หนังฮอลลีวูด หนังจีน หนังอินเดีย และซีรีส์เกาหลี ส่วน แอป OMU จะมุ่งเน้นมิวสิควิดีโอเพลงไทย ทั้งเพลงไทยสากล และลูกทุ่ง โดยมีฟีเจอร์ที่มีเนื้อเพลงสามารถร้องตามได้  (หรือ Off Screen Mode)  รวมถึงสามารถเปิดฟังได้ขณะที่เล่นแอปอื่นๆ  และสามารถแชร์ Play List ให้กับเพื่อนได้ โดยจุดเด่นของทั้ง 2 แอปพลิเคชั่นนี้ ผู้ใช้งานโหลดดูฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน  สามารถสะสมแต้มเพื่อลุ้นรับบัตรคอนเสิร์ต และของรางวัลอีกมากมาย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นสื่อกลางที่สนับสนุนคอนเทนต์ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ กระจายไปยังเน็ทเวิร์กที่เป็นพันธมิตรกว่า 200 ช่องทางอีกด้วย”

นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัท โอทีวี จำกัด  ในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของแกรมมี่ที่พยายามมองหาช่องทางใหม่ๆ โดยเฉพาะช่องทาง Digital เพื่อขยายฐานลูกค้าในการรับชม Content music ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของมิวสิควิดีโอ หรือการฟังเพลงแบบสตรีมมิ่งให้ทั่วถึง  ซึ่งแพลตฟอร์มโอทีวี ก็เป็นหนึ่ง partner ที่ตรงกับเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้  เพราะมีพันธมิตรที่เป็น publishers กว่า 200 ราย ทำให้แกรมมี่มีโอกาสเพิ่มยอดผู้ชมได้มากขึ้นประมาณ 17  ล้านคนต่อเดือน ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้มิวสิควิดีโอเพลงของแกรมมี่    สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกเพศ ทุกวัย กว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยผ่าน แอปพลิเคชั่น OMU แบบไม่มีค่าใช้จ่าย และผ่านเน็ทเวิร์กกิ้งต่างๆ และยังเป็นช่องทางการเผยแพร่ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ โดยแกรมมี่ จะจัดส่งคอนเทนต์ใหม่ๆ ให้กับโอทีวีเป็นประจำทุกสัปดาห์”

ปัจจุบันบริษัทฯ  ได้รุกหาพันธมิตรทั้งในไทย และในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เป็นค่ายหนัง ค่ายเพลง และเจ้าของลิขสิทธิ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของคอนเทนต์ และสำหรับ OMU App ในขณะนี้ มีพันธมิตรค่ายเพลงดังๆ ได้เข้ามาร่วมแล้วกว่า 20 แห่ง และยังมีค่ายใหม่ๆ ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นอีก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการฟังเพลงของผู้บริโภคในทุกๆ กลุ่ม  นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีแผนจะเปิดตัวแพลตฟอร์มโอทีวีในกัมพูชาภายในปีนี้ และพม่าในช่วงต้นปีหน้า  ซึ่งบริษัทฯ สามารถนำคอนเทนต์เข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ครอบคลุมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และสามารถ customize กลุ่มเป้าหมายได้ตามต้องการโดยดูจากสถิติ รวมถึงพฤติกรรมการรับชมของผู้ใช้งาน จากรายงานล่าสุดของบริษัทฯ พบว่ามีผู้รับชมรายการในประเภทต่างๆ รวมกันมากกว่า 17 ล้านคนต่อเดือน แบ่งเป็นหญิง 65% และชาย 35% โดย 45% เป็นคนกรุงเทพฯ รองลงมาเป็นคนภาคกลาง อยู่ที่ 29% และอันดับต่อมาเป็นคนภาคเหนืออีก 7% โดยส่วนใหญ่ผู้ชมจะมีอายุระหว่าง 18 – 44 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่มีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 82.7% โดย 57% ดูวิดีโอคอนเทนต์จากมือถือ และอีก 43% ดูจากคอมพิวเตอร์

ในขณะที่กลุ่มคนดู หรือ end users ก็ได้รับประโยชน์สูงสุดด้วยเช่นกัน สามารถเลือกชมรายการได้หลากหลายมากขึ้น ดูฟรีแบบไม่อั้น ดูได้ทุกที่ทุกเวลา แถมยังมีสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลต่างๆ อีกมากมาย เพียงแค่ดูรายการหรือ MV โปรดผ่านช่องทางต่างๆ ของบริษัทฯ เพื่อสะสมคะแนนแลกสิทธิพิเศษมากมาย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ยิ่งดูมาก…ยิ่งได้มาก” และหากโหวตและแชร์ต่อบนโลกโซเซียล ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสได้รางวัลมากขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความต่างที่บริษัทฯ มุ่งมั่นในการพัฒนา ฟีเจอร์ CRM เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม (engagement) กับผู้ใช้งาน ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคมิลเลนเนียลมากยิ่งขึ้น