ล่าสุด NASA ชี้ว่าตอนนี้วงการดาราศาสตร์กำลังเผชิญกับ ‘มลภาวะทางแสง’ จากดาวเทียมนับหมื่นที่กำลังบดบังทัศนียภาพของกล้อง Hubble และกล้องโทรทรรศน์ทั่วโลก เสี่ยงทำให้ภาพเสีย และกระทบการตามหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ อ้างอิงข้อมูลจาก The Verge มีโอกาสถึง 40% ที่ดาวเทียมเหล่านี้จะแย่งซีนกล้อง Hubble ซึ่งต่างจากเดิมเพียง 4.3% ในช่วงปี 2018-2021 แต่สำหรับกล้องโทรทรรศน์อื่น ๆ ภาพถ่ายอาจได้รับความเสียหายสูงถึง 96%

ทำความรู้จักกล้อง Hubble 

กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble) เปรียบเสมือน ‘ดวงตาของมนุษยชาติ’ ที่ลอยอยู่เหนือชั้นบรรยากาศโลก ทำให้สามารถถ่ายภาพจักรวาลได้คมชัดที่สุด โดยไม่มีเมฆหรืออากาศมาบดบังเหมือนกล้องบนพื้นโลก หน้าที่สำคัญของมันคือการเป็นเครื่องย้อนเวลาและบันทึกภาพอวกาศที่ช่วยไขปริศนาต้นกำเนิดของเอกภพ ตั้งแต่การระบุอายุของจักรวาลว่าเก่าแก่ถึง 13,800 ล้านปี การยืนยันการมีอยู่ของหลุมดำ ไปจนถึงการค้นพบกาแล็กซีเกิดใหม่นับพัน

ทำไมเรื่องนี้ถึงเป็นเรื่องใหญ่ ?

การเพิ่มขึ้นของ Mega Constellations หรือกลุ่มดาวเทียมสื่อสารขนาดใหญ่อย่าง Starlink ทำให้จำนวนดาวเทียมในวงโคจรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เทียบข้อมูลในปี 2019 มีดาวเทียมประมาณ 5,000 ดวง และปัจจุบัน 2025 มีดาวเทียมมากกว่า 15,800 ดวง นั่นคือถ้าคำนวณดี ๆ อีก 10 ปีข้างหน้าอาจพุ่งสูงถึง 560,000 ดวง ถ้าปล่อยตามแผนบริษัทต่าง ๆ

ทีนี้มาดูเรื่องผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์ หลัก ๆ คือพอดาวเทียมเยอะเกินไปจะเกิดการแย่งซีน นั่นคือเมื่อแสงสะท้อนจากดาวเทียมสว่างมาก ๆ มันจะไปกลบรายละเอียดของดาวฤกษ์หรือเนบิวลาที่ไกลออกไป และส่งผลต่อการพลาดการค้นพบหรือตรวจจับดาวเคราะห์นอกระบบ หรือแม้กระทั่งการแจ้งเตือนภัยอุกกาบาตที่อาจพุ่งชนโลก เพราะแสงจากดาวเทียมไปรบกวนการวัดค่าความสว่าง

ทางออกที่น่าจะเหมาะสมที่สุด ?

อันที่จริงก่อนหน้านี้ที่มีปัญหาก็มีการพยายามทาสีดาวเทียมให้มืด ๆ ลง เพื่อไม่ให้สว่างเกินไปบ้างแล้ว แต่การทำแบบนี้มันก็ทำให้เครื่องร้อนขึ้นและปล่อยรังสีอินฟราเรดออกมาแทน สุดท้ายแล้วปัญหาเรื่องการคำนวณเวลาถ่ายภาพเพื่อหลบดาวเทียมก็ทำได้ยากขึ้นถ้าอวกาศแออัดมากขนาดนี้

ทางออกที่ดีที่สุด คือต้องมีการจัดการและมีระเบียบข้อบังคับร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อจัดวางตำแหน่งวงโคจรให้เหมาะสม เพื่อที่จะให้เครือข่ายดาวเทียมและการสำรวจอวกาศสามารถอยู่ร่วมกันได้ยาว ๆ และยั่งยืน