[รีวิวเกม] Aeternoblade อีกเกมน่าเล่นฝีมือคนไทยบน Nintendo Switch
Our score
7.0

Aeternoblade

จุดเด่น

  1. รูปแบบการเล่นผสม RPG
  2. ลูกเล่นการย้อนเวลา
  3. ปรับค่าตัวละครได้หลากหลาย
  4. ราคาเกมไม่แพง

จุดสังเกต

  1. กราฟิกดูเชยไปหน่อย
  2. ตัวละครดูแข็งๆ
  3. ศัตรูไม่หลากหลาย
  • กราฟิกและการนำเสนอ

    6.0

  • เกมเพลย์

    7.5

  • ความแปลกใหม่

    7.0

  • ความคุ้มค่า

    7.0

  • ภาพรวม

    7.5

ในทุกวันนี้นอกจากจะมีภาษาไทยออกมาให้เล่นแล้ว ยังเป็นยุคทองของนักสร้างเกมชาวไทยอีกด้วย เพราะมีเกมที่ถูกสร้างลงบนคอนโซลมากขึ้น และบางเกมยังสร้างออกมาได้ดีมากจนหากไม่บอกก็ไม่รู้เลยว่าสร้างโดยชาวไทย และล่าสุดถึงคิว Aeternoblade เกมแอ็คชั่น RPG ที่เคยออกวางขายทั้งบน 3DS , PSvita รวมทั้ง PS4 มาแล้วคราวนี้ได้เวลาลงเครื่องเกมลูกผสมอย่าง Nintendo Switch กันอีกรอบ

และการที่ต้นฉบับเกมออกบน 3DS ทำให้กราฟิกโดยรวมไม่ได้ดูดีนัก เพราะตั้งแต่เวอร์ชั่น PS4 ที่แม้มีการปรับภาพให้ดีขึ้นแต่ก็ไม่มากพอเมื่อเทียบกับสเปกเครื่อง โดยรวมก็เหมือนกับเกมในยุค PS2 หรือต้นยุค PS3 แต่หากทำความเข้าใจว่ามันคือการนำเวอร์ชั่น 3DS มาอัพเกรดมันก็ถือว่าอยู่ในระดับน่าพอใจ และการเล่นในโหมดพกพาบน Nintendo Switch ทำให้กราฟิกดูดีขึ้นเพราะหน้าจอมีขนาดเล็กลงกว่าบนทีวี ส่วนการนำเสนอเกมมี CG คัทซีนที่ดูเหมือนลงทุนอยู่แต่โดยรวมก็ดูธรรมดาไปหน่อย เช่นเดียวกับเพลงประกอบที่เหมือนกับดนตรีในยุค 90 มาปรับแต่งแต่เมื่อคิดว่ามันคือเกมดาวน์โหลดราคาไม่แพงก็ถือว่าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

รูปแบบการเล่นจะเป็นเกมแอ็คชั่น 2 มิติมุมมองด้านข้าง โดยกราฟิกและฉากในเกมแม้จะดูเหมือนมีมิติแต่มันก็คือเกม 2D ที่เดินได้แค่ซ้ายกับขวา ที่หากคุณเล่นแค่ฉากแรกอาจจะไม่ได้ประทับใจอะไรนักเพราะมันแทบจะไม่ได้แตกต่างจากเกมแอ็คชั่นทั่วไป แต่เมื่อเล่นไปจนเราปลดล็อกความสามารถตัวละครหลักอย่าง Freyja โดยเฉพาะการย้อนเวลา เกมจะสนุกขึ้นมาก เพราะเกมจะเปลี่ยนมาเป็นแอ็คชั่น RPG ที่ผู้เล่นต้องแก้ปริศนาเพื่อหาทางไปต่อแบบเดียวกับเกมคลาสสิกในอดีตอย่าง Castlevania: Symphony of the Night และ Metroid ซึ่งในบางจุดถือว่ามีความซับซ้อนพอสมควร และถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะถึงตายได้ง่ายๆ เช่นการใช้ระบบย้อนเวลาเพื่อให้พื้นเลื่อนไปยังจุดที่ต้องการ หรือกด Switch แล้วใช้พลังย้อนกลับไปแล้วเปิดทางไปต่อ

นอกจากนี้เกมยังเสริมทัพด้วยระบบพัฒนาตัวละคร ทั้งค่าพลัง HP, MP และการใส่เครื่องป้องกันเครื่องประดับ และการอัปเดตสกิลท่าไม้ตายใหม่ๆมาให้ใช้ ทำให้เราสามารถอยู่กับเกมได้นานๆ เพื่อหาไอเทมที่ซ่อนอยู่และอัพเกรดตัวละครให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพราะตัวเกมไม่ได้ง่าย หากเราลุยไปแบบไม่ได้เพิ่มค่าพลังตัวละครก็คงจะไม่สามารถผ่านไปได้ เพราะทั้งฉาก ศัตรูและบอสในเกมก็มีความโหดพอสมควร แต่หากเตรียมตัวไปดีๆ และใช้ท่าย้อนเวลาให้ถูกจังหวะแล้วก็จะผ่านไปได้และบอกได้เลยว่าปริศนาและบอสของฉากท้ายๆของเกมนั้นโหดพอตัว

แต่สิ่งที่เกมอาจจะแตกต่างกับ Castlevania: Symphony of the Night คือมันมีการแบ่งออกเป็นฉาก แต่เราสามารถย้อนกลับไปเล่นได้ตลอดเพื่อปลดล็อคของที่ซ่อนอยู่ และเมื่อเราอัพเกรดตัวละครให้มีความสามารถมากขึ้นเช่นการกระโดดสองจังหวะ เราก็จะไปยังฉากที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถไปได้ ทำให้เกมมีความหลากหลายและเล่นได้นานกว่าที่คิดมาก

เกมมีความยาวพอสมควรและคุ้มค่าหากเทียบกับราคาดาวน์โหลดที่ไม่แพงมากนัก อย่างไรก็ตามมันคือเกมเดิมๆที่ออกมาหลายเวอร์ชั่นแล้วทั้งแบบพกพาอย่าง 3DS , PSvita และบนคอนโซล PS4 ซึ่งหากคุณเคยเล่นมาแล้วก็อาจจะไม่คุ้มค่า แต่ถ้ายังไม่เคยมีก็ถือว่าไม่ควรพลาดเพราะมันเป็นอีกก้าวของวงการเกมไทยที่ควรให้การสนับสนุน

เอาเข้าจริงๆหากมองแค่ภายนอก Aeternoblade อาจจะเป็นเกมแอ็คชั่นธรรมดาๆ แต่หากได้ลองเล่นแบบเต็มๆแล้วมันมีดีซ่อนอยู่ แต่อาจถูกกลบด้วยการนำเสนอดูธรรมดาเพราะต้นฉบับออกมาหลายปีแล้วทำให้กราฟิกดูเชยไปหน่อย แต่หากคุณชอบเกมแนว Castlevania แบบ 2D ที่ต้องสำรวจแก้ปริศนาก็ไม่ควรพลาด และหากคุณอยากเล่นแบบภาพที่ดูดีกว่านี้แนะนำให้รอเล่น Aeternoblade 2 เพราะเกมใช้อันเรียล 4 ในการสร้าง และจะออกทั้ง PS4 , XBoxone , Nintendo Switch และ PC

Play video