จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ไม่มีใครคาดคิดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เราได้ตระหนักถึง “ความไม่แน่นอน” ของชีวิตอย่างชัดเจน ไม่มีใครรู้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดเมื่อไหร่ น้ำจะท่วมตอนไหน หรือภัยพิบัติจะมาในรูปแบบใด แต่เมื่อเราไม่อาจคาดเดาได้ การรับมือที่ขาดความพร้อมย่อมตามมา แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราบอกคุณว่า ภัยพิบัติเหล่านี้สามารถคาดการณ์ได้ ?
ใน BT Originals เทปนี้ เราจะพาคุณไปฟัง “คำทำนาย” จาก รศ. ดร. เสรี ศุภราทิตย์ พร้อมเจาะลึกแนวทางการวิเคราะห์ ป้องกัน และรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงภัยใหม่ ๆ ที่ประเทศไทยอาจยังไม่เคยเผชิญ ว่าภัยพิบัติที่อาจมาเยือนมีอะไรรอเราอยู่ ?
แผ่นดินไหว : ความสั่นสะเทือนที่ไม่อาจคาดเดาได้
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แผ่นดินไหวที่เริ่มจากพม่าส่งผลกระทบถึงประเทศไทย สะท้อนว่าเราไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อใดพื้นดินจะสั่นสะเทือนอีกครั้ง รศ. ดร. เสรี อธิบายว่าแผ่นดินไหวเกิดจากรอยเลื่อน อย่างในไทยเราก็มีรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีความสามารถก่อแผ่นดินไหวระดับ 5-6 แต่ไม่ถึงระดับ 7 ที่รุนแรงถึงขั้นทำลายล้าง แม้จะไม่รุนแรงเท่าญี่ปุ่น แต่ก็เพียงพอให้เกิดความเสียหายได้หากไม่มีการเตรียมพร้อม ดังนั้นจึงแนะนำวิธีการรับมือแผ่นดินไหวคร่าว ๆ
การรับมือแผ่นดินไหว
- หลบใต้โต๊ะ : เมื่อเกิดแผ่นดินไหว การหลบใต้โต๊ะแข็งแรงคือวิธีที่ปลอดภัยที่สุด หลีกเลี่ยงการวิ่งลงบันได เพราะอาคารที่สั่นสะเทือนอาจทำให้บันไดกลายเป็นกับดักอันตราย
- ระบบเตือนภัย : คลื่นแผ่นดินไหวมี 2 ระยะ ได้แก่ Primary Wave (คลื่นแรกที่ตรวจจับได้) และ Shear Wave (คลื่นที่สร้างแรงสั่นสะเทือนรุนแรง) การพัฒนาระบบเตือนภัยฉุกเฉินจะช่วยให้ประชาชนมีเวลาเตรียมตัวเพียงไม่กี่วินาที ซึ่งอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตและความตาย ทั้งยังเสริมว่ามาตรฐานอาคารก็มีส่วนสำคัญ ตึกสูงในไทยส่วนใหญ่ผ่านมาตรฐานทนแผ่นดินไหว แต่ตึกเตี้ยที่อยู่นอกกฎหมายอาจเสี่ยงถล่มได้ โดยเฉพาะอาคารเก่าที่ไม่ได้ออกแบบรับแรงสั่นสะเทือน
น้ำท่วมใหญ่ : ฝันร้ายที่อาจย้อนกลับ
จากการประเมินด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) รศ. ดร. เสรี คาดการณ์ว่าในปี 2573 ประเทศไทยอาจเผชิญน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่รุนแรงกว่าปี 2554 ซึ่งครั้งนั้นสร้างความเสียหายมหาศาลทั้งในเมืองและชนบท น้ำท่วมครั้งต่อไปอาจครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางกว่าเดิม โดยยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าจะเกิดในพื้นที่ใด พร้อมยังแนะนำการรับมือน้ำท่วมสำหรับประเทศไทยเอาไว้
การรับมือน้ำท่วม
- ปรับปรุงผังเมือง : ปัญหาน้ำท่วมส่วนหนึ่งมาจากผังเมืองที่ไม่เหมาะสม เช่น การก่อสร้างในพื้นที่ลุ่มต่ำหรือการพัฒนาที่ขาดการวางแผน การแก้ไขผังเมืองอาจต้องรื้อถอนอาคารบางส่วนหรือย้ายชุมชน ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายและต้องใช้เวลา
- ระบบระบายน้ำ : การพัฒนาระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพและการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบจะช่วยลดความรุนแรงของน้ำท่วม
ภัยแล้ง : ความแห้งแล้งที่อยู่ใกล้กว่าที่คิด
ก่อนน้ำท่วมใหญ่ AI คาดการณ์ว่าไทยจะเผชิญภัยแล้ง 2 ครั้งในปี 2569 และ 2571 โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีน้ำสำรองจำกัด เช่น จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งปัจจุบันมีน้ำสำรองเพียง 15% หากฝนไม่ตกตามฤดูกาล ภัยแล้งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อการเกษตรและการดำรงชีวิต
การรับมือภัยแล้ง
- บริหารจัดการน้ำ : การวางแผนจัดสรรน้ำอย่างรอบคอบ รวมถึงการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝน จะช่วยลดผลกระทบจากภัยแล้ง
- เกษตรยั่งยืน : ส่งเสริมการปลูกพืชที่ทนแล้งและใช้น้ำน้อย เพื่อลดความเสี่ยงในพื้นที่เกษตร
พายุและไฟป่า : ภัยที่มาพร้อมกับความร้อน
ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ร้อนตลอด ดังนั้นภัยธรรมชาติที่เลี่ยงได้ยากคือภัยที่มาพร้อมความร้อนของอากาศ และสภาวะอื่น ๆ ที่อาจจะตามมา เช่น พายุและไฟป่า
- พายุ : การคาดการณ์พายุทำได้เพียงล่วงหน้าในระยะสั้น การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงจึงเป็นแนวทางหลักในการลดความสูญเสีย
- ไฟป่าและ PM 2.5 : อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพิ่มความเสี่ยงต่อไฟป่าและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 การคาดการณ์สภาพอากาศระยะสั้นและการแจ้งเตือนประชาชนจะช่วยลดความเสียหาย
ผังเมือง : รากฐานของปัญหาและทางออก ?
ผังเมืองที่ขาดการวางแผนเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ภัยพิบัติทวีความรุนแรง เช่น การก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมหรือการพัฒนาเมืองที่ไม่คำนึงถึงการระบายน้ำ การแก้ไขผังเมืองอาจต้องใช้มาตรการเด็ดขาด เช่น รื้อถอนอาคารหรือย้ายชุมชน ซึ่งเป็นภารกิจที่ยากและต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล
ย้ายเมืองหลวง ? รศ. ดร. เสรี เสนอว่าราชบุรีอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับเมืองหลวงแห่งใหม่ เนื่องจากมีสภาพภูมิศาสตร์ที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม ภัยแล้ง และความร้อนจัด อย่างไรก็ตาม การย้ายเมืองหลวงต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นประเด็นที่ซับซ้อน
อนาคตของโลกและประเทศไทย : ความร้อนที่หนีไม่พ้น
จากการวิจัยของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) อุณหภูมิโลกอาจสูงขึ้นถึง 5 องศาเซลเซียสในอีก 200 ปีข้างหน้า (จาก 19 องศาเซลเซียสในปัจจุบัน) หากอุณหภูมิเพิ่มเกิน 2 องศาเซลเซียส การอยู่อาศัยของมนุษย์จะเผชิญความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะในเขตร้อนอย่างประเทศไทย
แนวทางรับมือความร้อน
- ผังเมืองเย็น : ออกแบบเมืองให้มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพิ่มพื้นที่สีเขียว และสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อลดความร้อน
- ปลูกป่า : การปลูกต้นไม้จำนวนมากจะช่วยดูดซับคาร์บอนและลดอุณหภูมิในเมือง
- จัดการน้ำและอาหาร : น้ำและอาหารคือหัวใจของความอยู่รอด การพัฒนาระบบน้ำและเกษตรที่ยั่งยืนจะช่วยให้ไทยรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้
เตรียมพร้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ภัยพิบัติไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถลดความเสียหายและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับสังคมได้ รศ. ดร. เสรี เน้นย้ำ 2 ภารกิจหลักที่ประเทศไทยต้องโฟกัสคือ
- ป้องกันน้ำท่วม : ผ่านการปรับปรุงผังเมือง ระบบระบายน้ำ และการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างที่อยู่อาศัยที่เย็นสบาย : ด้วยการออกแบบเมืองที่ระบายอากาศดีและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
ประชาชนทุกคนมีบทบาทสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้วิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดแผ่นดินไหว การประหยัดน้ำในช่วงภัยแล้ง หรือการสนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมความยั่งยืน หากเราร่วมมือด้วยกันเราสามารถสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่งและพร้อมรับมือกับความท้าทายแห่งอนาคตได้แน่นอน
ภัยพิบัติอาจเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ด้วยความรู้ การวางแผน และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราจะสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและปลอดภัยยิ่งขึ้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะมองไปข้างหน้าด้วยความหวังและความมุ่งมั่น เพื่อประเทศไทยที่อยู่รอดและเจริญรุ่งเรืองท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลกใบนี้