รีวิว Apple AirTag อุปกรณ์ติดตามสิ่งของที่ต้องมี?
Our score
8.3

Apple AirTag

จุดเด่น

  1. มีขนาดเล็ก เบาและพกง่ายเหลือเชื่อ
  2. ดีไซน์สวย ล้ำ มากๆ ออกมาไม่เหมือนใคร
  3. แบตอยู่ได้นานกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ Bluetooth beacon อื่นๆ
  4. การใช้งานง่าย แกะตัวห่อพลาสติกออกแล้วใช้งานได้ทันที
  5. ขนาดเล็กกระทัดรัด เคสชาร์จพกพาสะดวก
  6. ติดตามค้นหาค่อนข้างง่าย
  7. สั่ง custom สลักตัวย่อใส่บนพื้นผิว Airtag ได้

จุดสังเกต

  1. ตรงส่วน logo Apple ที่เป็น stainless นั้น อาจเป็นรอยได้ง่ายควรหาเคสมาใส่
  2. อาจจะใช้งานไม่ได้ค่อยได้ประสิทธิภาพเต็มที่ ถ้าไม่มีอุปกรณ์ Apple อยู่แถวนั้น อาจไม่เหมาะกับพื้นที่กว้างนอกตัวเมือง
  3. ต้องแกะแบตเตอรี่มาเปลี่ยนเองหากหมดแล้ว
  4. การเล่นเสียงติดตามออกมาค่อนข้างเบา
  5. จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ iPhone หรือ iPad ถึงจะใช้งานได้
  6. สามารถสลักตัวหนังสือได้มากสุดสี่ตัวอักษร
  • คุณภาพวัสดุ

    9.0

  • คุณภาพเสียงเรียก

    6.0

  • ความคล่องตัวในการใช้

    10.0

  • ความไวในการเรียกใช้งาน

    9.0

  • อายุการใช้งาน

    8.0

  • ความคุ้มค่า

    8.0

หลังจากที่ Apple ได้เปิดตัว Apple AirTag ในงานล่าสุดไป ผมเองก็ตื่นเต้นมาก เพราะผลิตภัณฑ์ Airtag นี้
Apple ระดมทำตั้งนาน แต่ไม่ได้ออกมาซักทีเป็นปี จนในที่สุดเราก็ได้ AirTag ตัวเป็นๆ มารีวิวกันสักทีในตอนนี้

ก่อนหน้านี้เราทราบกันดีว่าระบบติดตาม Findmy ของ Apple ที่ใช้ติดตามอุปกรณ์ที่เรามีนั้นดีแค่ไหน จนระบบปฏิบัติการต่าง ๆ จึงเริ่มทำออกมาให้มีเหมือนกัน ต้องบอกว่าระบบ FindMy ของ Apple นั้นดีมากๆ ไวและตรวจจับอุปกรณ์ได้ง่ายและค่อนข้างแม่นและใช้งานง่ายมากๆ

แต่ข้อเสียมันก็คือ เราไม่สามารถจะตรวจหาอุปกรณ์ต่าง ๆ อันอื่นได้เลย เช่น กระเป๋า หรือ สิ่งอื่น ๆ ได้ ซึ่งหากจะให้ทำได้ ก็ต้องไปซื้อ iPhone หรือ iPad มาใส่กระเป๋าไว้เพื่อให้ตามหาได้ ยังไม่รวมถึง simcard ที่ต้องใส่ไว้ตลอด ด้วยราคาและการเข้าถึงยาก เราก็เลยไม่ได้ใช้มันเท่าไหร่

แต่มาวันนี้แอปเปิลเปิดตัว AirTag มา มันเลยเปลี่ยนแปลงโลกเลย เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้แทร็กหาตัวเองได้ ผ่านระบบ FindMy ซึ่งค่าใช้จ่ายเข้าถึงได้มากๆ ราคา ตัวละ 990 บาท หรือแบบ pack 4 ที่ 3,390 บาทเท่านั้นเอง มันก็เลย Endgame ครับ

ผมก็เลยไม่รีรอ จัดไปเลยครับ แต่เนื่องจาก Apple Store ของประเทศเรานั้น ของมาค่อนข้างช้าและต้องทำการขออนุญาตหลายขั้นตอน ผมจึงเลยไปสั่งจากประเทศอื่นเข้ามาใช้ก่อนและลองก่อนทันที ภายในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ช่างน่าตื่นเต้นมากๆ ครับ

สิ่งแรกที่ผมประทับใจ คือแพ็กเกจ AirTag!

นั้นก็คือการ Pack สินค้า ผมได้สั่งแบบ 4 Packs มาครับ Apple เค้าทำออกมาไว้ด้วยกล่องเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ขนาดเท่ากล่องใส่ CD แบนๆ (บอกอายุ) มันดู เรียบหรูและย้ำถึงคุณภาพที่ Apple ได้ให้กับสินค้าของเค้าทั้งหมดครับ

พอเปิดออกมา จะมีความรู้สึกเหมือนเปิด กล่องหูฟัง Airpod ครับ เหนียว ๆ หน่อยเป็นกาว แกะแล้วกล่องจะย้วยขาดเลยครับ เพื่อกันคนเอาสินค้ามือสองหรือมาย้อมแมวใส่เข้าไปในกล่องจริงได้ครับ

เมื่อเปิดมา มีไส้กระดาษอีกชั้น อยู่ข้างในครับ ที่พับแบบเรียบ และเมื่อเราเปิดมันออกมาจะพบกับ Airtag ทั้ง 4 ตัว วางเรียงกันอย่างดี ยึดด้วยการเจาะรูตรงกระดาษพับ ซึ่งเชื่อไหมครับ ไม่มีตัวไหนตกลงมาเลยระหว่างแกะ เพราะเค้าเจาะรูมาแบบคิดแล้วว่า จะล็อกอุปกรณ์ไว้ได้ยังไง โดยใช้แพ็กเกจแค่นี้

โดยเจ้าตัว Airtag จะโดนห่อหุ้มด้วยพลาสติกขุ่นที่เป็นซีลไว้อยู่เพื่อกันรอยขีดข่วนนั้นเองครับ ซึ่งเวลาเราแกะพลาสติกออก ในส่วนท้ายของตัวห่อนั้นจะไปดึงสลักให้แบตเตอรี่ของ AirTag เริ่มทำงานครับ โดยมีเสียง activate ใหม่ ให้ได้ยินกันด้วยครับ

โดยตัว AirTag เองจะมี 2 ด้าน ด้านที่เป็นพลาสติกสีขาวมัน กับอีกด้านที่เป็นเหมือนลักษณะเหรียญบาท stainless รูปแอปเปิลครับแต่ผมว่าส่วนนี้น่าจะเป็นรอยง่ายมาก ใครเป็นคนห่วงความสวยงามของอุปกรณ์ก็ ควรหาเคสมาใส่นะครับ ก็จะช่วยได้เยอะ ส่วนสำหรับผมเอง ผมเอาสก๊อตเทปพันรอบเลยครับ แล้วโยนไว้ในเป้แทนครับ haha อันนี้ก็ช่วยได้เหมือนกันครับในการกันรอย

การเชื่อมต่อ AirTag กับอุปกรณ์แอปเปิล

เมื่อเราดึงพลาสติกห่อออก หลังจากนั้นก็พร้อมใช้งานได้เลย โดยเข้าสู่โหมดการเชื่อมต่ออุปกรณ์ ของแอปเปิลครับ แค่นำ AirTag มาใกล้ๆ iPhone แค่นั้น AirTag ก็จะโผล่มาให้เราเพิ่ม Add โดยมันง่ายมากๆ ครับเพราะการกดทีแค่ 3 ขั้นตอนเท่านั้น

กด Add >> กดตั้งชื่อ เลือกรูป >> กดจบ

จากนั้นเราก็จะสามารถควบคุม AirTag ได้เหมือนกับที่ใช้ในการตามหาอุปกรณ์ Apple เราได้เลย เราสามารถให้มันส่งเสียงได้ ซึ่งเสียงนั้นก็เป็นเสียงเดียวกับตอนที่มันดังครั้งแรกครับ โดยเราจะเห็นสถานที่ล่าสุดที่ AirTag เราไปมา อยู่บนแผนที่เสมอ หาก AirTag นั้น ๆ ไม่อยู่ในรัศมีการจับได้แล้ว มันจะแสดงพื้นที่เป็นพื้นที่คร่าว ๆ ให้ทราบแทนครับ

ส่วนอันไหนที่อยู่ใกล้ๆ เวลาเริ่มตามหา จะถูกเปลี่ยนเป็นโหมด proximity ให้อัตโนมัติ โดยไอโฟนเราจะสั่นไล่ระดับ และแสดง หน้าจอ หาระยะใกล้ไกล ระหว่างตัว AirTag นำทางให้เรารู้ว่าเราอยู่จุดใกล้แค่ไหนก่อนจะเจอตัวอุปกรณ์ครับ ซึ่งผมว่ามันครบดีมากๆ เลยครับ

AirTag นั้นใช้แบตเตอรี่ CR2032 1 ก้อน และอยู่ได้ประมาณ 1 ปี ซึ่งเป็นอะไรที่ว้าวมากๆ ในวงการ Beacon เพราะเราทราบกันดีว่าหากทำอุปกรณ์แบบนี้ แบต AAx2 ก้อนก็อยู่ไม่พอ 6 เดือนครับ เพราะมันต้องส่งสัญญาณ อยู่ตลอดครับ แต่นี่แอปเปิลทำได้ขนาดนี้คือเก่งมากยอมจริงๆ แค่นี้ก็นวัตกรรมมากแล้ว

จากนี้เราคงได้เห็นการใช้งานมากขึ้นของ AirTag ไม่ว่าจะใส่ในกระเป๋าเดินทาง เมื่อลงเครื่องแล้วจะหากระเป๋าง่ายขึ้น หรือจะใส่ไปในรถใคร (เอ้ย ไม่ใช่) ก็เป็นไปได้ครับ

แต่ที่ผมทึ่งกว่านี้ก็คือ อีกหน่อยเราคงได้เห็น อุปกรณ์อื่น ที่ถูกทำมาใช้ใน FindMy ได้มากขึ้นเช่นกัน โดยที่ AirTag เป็นการแสดงตัวอย่างความสามารถของ FindMy เท่านั้น เราคงจะเห็นอะไรอย่างอื่นตามมาอีกเยอะมาก เช่น แบรนด์หูฟังต่างๆ พวกทำ IoT ต่างๆ ต้องมาแน่นอน ไม่แน่ เราอาจจะเห็นฟีเจอร์ตามหาหูฟัง Sony เลยก็เป็นได้
รอติดตามกันดูไปครับ

ควรซื้อ AirTag ตอนนี้ไหม

ใครสนใจอยากซื้อ Airtag ก็อยากจะให้รอของไทยครับ เพราะมันใส่ตัวหนังสือ หรือตัวย่อ เข้าไปได้ด้วยนะ ก็อาจจะสนุกกว่าครับ

สรุปส่วนตัวผมก็ Happy มาก ๆ ครับ เพราะเอาไปใช้งานได้จริง ๆ แต่ตอนนี้ยังใช้ไม่ครบ 4 ชิ้นเลยครับ เพราะแค่ 2 ชิ้นก็ เต็มที่แล้วในภาวะ Covid นี้ครับ

ขอให้ทุกคนดูแลรักษาตัวเองดีดี และปลอดภัย นะครับ แล้วเจอกันใหม่

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส