บทสรุปเนื้อเรื่องนี้จะเรียงลำดับแบบ Chronological คือเรียงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหลังภายในเกม ไม่ได้เรียงตามสิ่งที่ผู้เล่นจะรู้จากการเล่นนะครับ คือไม่ได้เล่าจากเริ่มเกมไปจนจบเกม แต่เล่าตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์เลย เนื่องจากการเขียนในลักษณะนี้จะสามารถครอบคลุมเนื้อหาได้ละเอียดและสับสนน้อยกว่า ก็หวังว่าจะสนุกกันครับ

พร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย

ในปี 2033 เท็ด แฟโร่ (Ted Faro) นักธุรกิจหนุ่มชาวอเมริกันได้ก่อตั้งบริษัท Faro Automated Solution (FAS) โดยตั้งเป้าจะขึ้นเป็นผู้นำทางด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีหุ่นยนต์ โดยในปี 2038 FAS ประสบความสำเร็จอย่างมากจากการเปิดตัวสายการผลิตหุ่นยนต์ผู้ช่วยและหุ่นยนต์เฝ้ายาม ส่งผลให้ FAS ขึ้นเป็น 1 ใน 50 บริษัทชั้นนำของโลกอย่างรวดเร็ว

ต่อมาในปี 2040 อลิซาเบท โซเบค (Elisabet Sobeck) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้จบปริญาเอกสาขาการออกแบบหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ด้วยวัยเพียง 20 ปี ได้เข้าทำงานกับ FAS ในฐานะ Junior Scientist และไต่เต้าขึ้นเป็น หัวหน้าทีมวิจัยอย่างรวดเร็ว อลิซาเบทได้ออกแบบหุ่นยนต์รักษาสิ่งแวดล้อมออกมามากมายซึ่งช่วยฟื้นคืนธรรมชาติของโลกจากวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ FAS ทำกำไรอย่างมหาศาลและขึ้นเป็นผู้นำในอุตสากรรมอย่างรวดเร็ว

ในปี 2048 เท็ด แฟโร่ ตัดสินใจนำ FAS เข้าไปลงเล่นในอุตสาหกรรมพัฒนาอาวุธทางทหาร การตัดสินใจนี้ทำให้อลิซาเบทไม่พอใจอย่างมากและลาออกจาก FAS ในปีเดียวกัน ก่อนจะไปก่อตั้ง Miriam Tech บริษัทผู้พัฒนาและจัดจำหน่ายหุ่นยนต์รักษาสิ่งแวดล้อมในปี 2049 และได้รับรางวัลมากมายจากผลงานของเธอ

ทางด้าน FAS หลังจากที่อลิซาเบธลาออกไปแล้วก็เริ่มเดินสายการผลิตหุ่นยนต์ทางการทหารอย่างเต็มรูปแบบในชื่อสายการผลิต Chariot ซึ่งเป็นโมเดลของหุ่นยนต์ที่สามารถแปรสภาพชีวโมเลกุลใดๆก็ได้ มาเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนตัวเองยามฉุกเฉิน

โดยโมเดลของหุ่นยนต์ในสายการผลิต Chariot นั้นประกอบไปด้วย

  • ACA3 – Scarab ซึ่งก็คือเจ้า Corruptor ที่เราเจอในเกมนั่นเองครับ โดย Scarab เป็นหุ่นรบสำหรับสอดแนมที่ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถในการเคลื่อนที่และปฏิบัติการภายใต้ภูมิประเทศทุกรูปแบบ เมื่อเชื้อเพลิงใกล้หมด Scarab จะทำการแปรสภาพชีวโมเลกุลจากสิ่งมีชีวิตโดยรอบเพื่อขับเคลื่อนตัวมันเองจนกว่าจะเดินทางกลับถึงฐาน ที่สำคัญ Scarab ยังมีความสามารถในการแฮคและควบคุมการทำงานของหุ่นยนต์ฝ่ายศัตรูผ่าน network ของมันเองได้ ซึ่งก็คือเวลาที่มัน corrupt เครื่องจักรตัวอื่นๆให้เข้าโจมตีเราแบบที่เราเห็นในเกมนั่นเองครับ
  • FSP5 – Khopesh หรือก็คือเจ้า Deathbringer นั่นเอง Khopesh เป็นหุ่นรบติดอาวุธหนัก ถูกออกแบบมาให้สามารถติดตั้งอาวุธได้หลากหลายด้วยการใช้วัสดุที่สามารถรับแรงถีบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความสามารถในการดูดซับชีวโมเลกุลจากสิ่งมีโดยรอบมาเป็นเชื้อเพลิงทำให้ Khopesh สามารถทำงานได้แม้อยู่ในภาวะฉุกเฉิน เรียกได้ว่า Khopesh คือหุ่นรบสำหรับทำลายล้างเป็นหลักนั่นเอง
  • BOR8 – Horus หรือก็คือตัว Metal Devil ไอ้ตัวมีหนวดเยอะๆ เหมือนปลาหมึกที่เป็นซากบนยอดเขานั่นเองครับ Horus เป็นเหมือนโรงงานและศูนย์สั่งการเคลื่อนที่ของหุ่นรบในการสายการผลิต Chariot ทั้งหลาย Horus สามารถดำเนินการซ่อมแซมหรือสร้างหุ่นรบตัวอื่นหรือแม้กระทั่งตัวมันเองขึ้นมาใหม่ได้ด้วยตัวเอง และใช้เชื้อเพลิงจากชีวโมเลกุลที่หุ่นรบตัวอื่นๆแปรสภาพมาในการปฏิบัติการ ก็คือ ถ้า Scarab หรือ Khopesh ตัวไหนถูกทำลาย Horus ก็สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้เองทันทีโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องรอคำสั่ง หรือแม้กระทั่งหากตัว Horus เองถูกทำลาย มันก็สามารถซ่อมแซมตัวเองขึ้นมาได้เช่นกัน

กล่าวโดยสรุปก็คือ หุ่นรบสายการผลิต Chariot พวกนี้ คือหุ่นรบในอุดมคติที่สามารถเพิ่มจำนวนเองได้ ซ่อมแซมกันเองได้ และตราบใดที่รอบๆ พวกมันยังมีสิ่งมีชีวิตหรืออะไรก็ตามที่มีส่วนประกอบของชีวโมเลกุลอยู่ อย่างเช่นพืชหรือสัตว์ พวกมันก็สามารถเติมพลังงานให้ตัวเองได้ด้วยการแปรสภาพสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นให้กลายเป็นเชื้อเพลิง

โดยในกระบวนการออกแบบและผลิตหุ่นยนต์เหล่านี้ ตัวเท็ด แฟโร่ ได้กำชับกับทีมวิศวกรที่เขียนโค้ดให้กับระบบการทำงานของเครื่องจักร ให้ใช้ระบบที่มีความซับซ้อนสูงที่สุด วัสดุที่ดีที่สุด และปราศจากส่วนที่เป็นเหมือน backdoor ของระบบ เพื่อป้องกันการถูกแทรกแซง

หุ่นรบในสายการผลิต Chariot ถูกเปิดตัวและจัดจำหน่ายให้แก่กองกำลังทหารทั่วโลกในชื่อ Peacekeeper (ผู้รักษาสันติภาพ) โดยลับหลัง FAS ก็คอยหาทางยุยงให้ฝ่ายนู้นฝ่ายนี้องค์กรนั้นองค์กรนี้ตีกันด้วย แล้วก็ขาย Peacekeeper ให้กับทั้งสองฝ่าย เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับหุ่นรบของตนเอง จนไม่นาน FAS ก็ได้ขึ้นไปอยู่ในรายชื่อบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดของโลก

ลางร้ายเริ่มปรากฎ

จนกระทั่งในช่วงปี 2064 ทั่วโลกเริ่มพบเห็นและตระหนักถึงผลกระทบของ Peacekeeper ต่อสิ่งแวดล้อม เช่น มีคนพบเห็นหุ่น Khopesh กำลังแปรสภาพปลาโลมาที่ใกล้จะสูญพันธุ์แล้วให้กลายเป็นเชื้อเพลิงแถวๆ ชายฝั่งที่ออสเตรเลีย (นึกภาพว่าปลาโลมาโดยคั้นจนเละ แล้วดูดไปเป็นเชื้อเพลิง) เพียงไม่นานก็มีกว่า 127 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกฟ้องร้อง FAS เนื่องจากผลกระทบจากการใช้งาน Peacekeeper ดังกล่าว

ในจังหวะเดียวกันนั่นเอง ที่เกิด Glitch (ความผิดปกติ) ขึ้นในระบบปฏิบัติการของ Peacekeeper ทำให้พวกมันไม่สามารถตอบรับคำสั่งจากมนุษย์ได้อีกต่อไป พวกมันเริ่มทำการแปรสภาพชีวโมเลกุลเป็นเชื้อเพลิงอย่างไม่มีวันหยุด และทำการเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆแบบทวีคูณ ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ

เท็ดจึงสั่งให้หาทางปิดเครือข่ายระบบปฏิบัติการทั้งหมดของ Peacekeeper แต่จะปิดตรงๆก็ไม่ได้เพราะ Peacekeeper ไม่ตอบรับคำสั่งโดยตรงอีกต่อไป และด้วยความที่ Peacekeeper ไม่มี Backdoor ในระบบปฏิบัติการ การแฮคหรือแทรกแซงเข้าไปจึงเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายๆ … เรียกได้ว่าทำตัวเองแท้ๆ

เท็ดที่หมดหนทาง จึงติดต่ออลิซาเบทให้กลับมาช่วย หลังจากที่อลิซาเบทรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เธอก็ตระหนักทันทีว่านี่ไม่ใช่วิกฤตการณ์ธรรมดา เพราะหากปล่อยไว้แบบนี้ Peacekeeper ก็จะค่อยๆ สูบชีวโมเลกุลของโลกไปเรื่อยๆ พร้อมกับขยายประชากรไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ชั้นบรรยากาศจะค่อยๆ ถูกทำลาย ผืนดินและทะเลจะเต็มไปด้วยสารพิษ ในที่สุดโลกก็จะอยู่ในสภาพที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป ไม่ใช่แค่มนุษยชาติที่จะสูญพันธุ์ แต่ชีวิตทั้งหมดบนดาวโลกจะสูญพันธุ์ไปด้วย เหลือเพียงโลกที่ตายไปแล้ว และหุ่นรบสังหารนับล้านๆ ที่หลับใหลเพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลือมาป้อนพลังงานให้อีกต่อไป

ด้วยเหตุนั้นเอง แม้เธอจะไม่พอใจแค่ไหน แต่อลิซาเบทก็ยอมให้ความร่วมมือในการหาทางปิดเครือข่ายปฏิบัติการของ Peacekeeper ให้ได้ก่อนที่เรื่องนี้จะแดงออกไปถึงหูประชาชน ทว่าจนแล้วจนรอด เธอก็ไม่พบหนทางที่เป็นไปได้ เพราะจากการคาดการณ์ของเธอ การจะแกะโค้ดในระบบปฏิบัติการของ Peacekeeper เพื่อเจาะเข้าไปปิดระบบของพวกมันได้ จำเป็นจะต้องใช้เวลากว่า 50 ปี แต่ด้วยอัตราการขยายตัวของ Peacekeeper แล้ว อย่างดีที่สุด โลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็อยู่ได้อีกเพียงไม่ถึง 2 ปี ซึ่งเราเรียกกองทัพหุ่น Peacekeeper พวกนี้ว่า Faro Plague แต่เพื่อกันความสับสน ผมจะเรียกพวกมันว่า Peacekeeper ต่อไปนะครับ แม้ในเกมจะเรียกมันว่า Faro Plague บ้าง Swarm บ้างในต่างวาระกัน

(อ่านต่อหน้า 2)

ทางออกของปัญหา ที่จบลงด้วยโศกนาฎกรรม

อลิซาเบทจึงคิดค้นโปรเจ็คต์ที่ชื่อ Zero Dawn ขึ้นมาเป็นทางออกสุดท้ายของวิกฤตการณ์นี้ โดยบังคับให้เท็ดเซ็นสัญญาเป็นผู้ออกทุนให้กับโปรเจ็คต์ในนามของบริษัท FAS และนำเรื่องทั้งหมดและโปรเจ็คต์นี้ ส่งเข้าเสนอต่อกองกำลังความร่วมมือระหว่างประเทศ ภายใต้การนำของนายพล Herres

ทีนี้เรามาทำความเข้าใจกับโปรเจ็คต์ Zero Dawn กันก่อน

อย่างที่บอกไปว่าการจะเจาะระบบของ Peacekeeper เข้าไปปิดการทำงานนั้นต้องใช้เวลากว่า 50 ปี แต่เรามีเวลาอีกเต็มที่ก็ปีกว่าๆก่อนที่มนุษยชาติจะสูญพันธุ์ ซึ่งทำยังไงก็ไม่ทัน ดังนั้นโปรเจ็คต์ Zero Dawn จึงเป็นโปรเจ็คต์ที่ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่าจะไม่มีทางที่จะช่วยเหลือโลกและมนุษยชาติในตอนนี้ให้รอดพ้นจากการสูญพันธุ์ได้แล้ว ต้องยอมปล่อยให้โลกล่มสลายไป แต่จะเตรียมการทุกอย่างไว้ เพื่อให้อนาคตที่ห่างออกไปหลังจากนี้ โลกจะถูกสร้างขึ้นใหม่ พร้อมๆ กับเผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นใหม่ ที่จะไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิม

จึงเป็นที่มาของชื่อโปรเจ็คต์ Zero Dawn คือ เมื่อนับถอยหลังจนถึงวันที่โลกล่มสลายลง เปรียบเสมือนเป็นวันที่ศูนย์ของโลก และวันนั้นก็จะเป็นวันที่โปรเจ็คต์นี้เริ่มฟื้นฟูแล้วสร้างโลกขึ้นมาใหม่ เป็นรุ่งอรุณใหม่ของโลกที่เริ่มต้นจากศูนย์ใหม่นั่นเอง

หัวใจหลักของโปรเจ็คต์ Zero Dawn คือการสร้าง A.I. ที่มีความรู้ สติสัมปชัญญะ และความสามารถในการตัดสินใจบนความเป็นไปได้นับแสนล้านเพื่อสร้างโลกใหม่ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา ชื่อของมันคือ ไกอา (Gaia) โดยเมื่อปล่อยให้โลกล่มสลายไปแล้ว ไกอา จะเป็นผู้ดำเนินกระบวนการสร้างโลกใหม่ขึ้นมา

ซึ่งกระบวนการที่ไกอาจะสร้างโลกขึ้นมาใหม่และให้กำเนิดมนุษยชาตินั้น จำเป็นจะต้องประกอบไปด้วยโปรเจ็คต์ย่อยๆ อีก 9 โปรเจ็คต์ เป็นเสมือนแขนขาให้กับไกอาในการดำเนินการต่างๆ ถ้าพูดแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ ถ้าเปรียบไกอาเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง โปรเจ็คต์ย่อยๆดังกล่าวนี้ก็เป็นพวกซอฟท์แวร์ต่างๆในคอมพิวเตอร์นั้นเอง

ซึ่งโปรเจ็คต์ย่อยทั้ง 9 นั้นจะดำเนินการต่อเนื่องกันตามลำดับดังนี้

1. Minerva

เมื่อปล่อยให้โลกล่มสลายไปแล้ว Minerva จะเป็นตัวช่วยไกอาทำการคำนวนอย่างต่อเนื่องเพื่อหา solution ในการเจาะระบบเข้าไปในเครือข่ายระบบปฏิบัติการของ Peacekeeper โดยเมื่อสามารถหาได้แล้ว ไกอาก็จะสร้างเสาสัญญาณขนาดยักษ์ เพื่อปล่อยสัญญาณเจาะระบบดังกล่าวไปปิดการทำงานของ Peacekeeper ทั่วโลก เป็นอันยุติการทำงานของกองทัพหุ่นสังหารที่ทำลายล้างโลกทั้งหมด

ซึ่งเสาสัญญาณที่ว่านี่ก็คือ The Spire หอคอยขนาดยักษณ์ใกล้ๆกับ Meridian ที่เราต้องไปปกป้องในตอนจบเกมนั่นเองครับ

2. Hephaestus

หลังจากที่เหล่า Peacekeeper ถูกปิดการทำงานแล้ว ก็ถึงเวลาที่ไกอาจะทำการฟื้นฟูสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของโลกขึ้นมาใหม่เพื่อให้เหมาะแก่การให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ซึ่งนั่นก็คือหน้าที่ของ Hephaestus ครับ

โดย Hepheastus จะช่วย Gaia ในการออกแบบและผลิตเครื่องจักรรูปแบบต่างๆซึ่งจะถูกส่งออกไปทำหน้าที่ในการปรับสภาพดิน สภาพอากาศ ตลอดจนแหล่งน้ำและทะเลต่างๆ โดยอ้างอิงโครงสร้างและรูปลักษณ์จากสายพันธุ์ของสัตว์ต่างๆที่มีอยู่เดิมบนโลกเพื่อให้เครื่องจักรเหล่านั้นมีสรีระที่เหมาะสมกับหน้าที่ของมัน โดยไกอาจะทำการก่อสร้างสถานที่ที่เป็นเหมือนโรงงานผลิตเครื่องจักรเหล่านี้ตามที่ต่างๆของโลก

ซึ่งเครื่องจักรพวกนี้แหละครับ คือพวกสัตว์เครื่องจักรทั้งหลายที่เราเจอในเกมนั่นเอง และโรงงานผลิตที่ว่า ก็คือ Cauldron สถานที่ที่เราเข้าไปเอาข้อมูลของเครื่องจักรต่างๆ มาเพื่อใช้ Override พวกมันนี่แหละครับ ว่าง่ายๆ คือพวกสัตว์เครื่องจักรที่เราฆ่าๆไปทั้งหลาย จริงๆพวกมันกำลังช่วยฟื้นฟูสภาพโลกของเรา ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์แบบที่เห็นได้ (ยกเว้นบางตัว ซึ่งเราจะพูดถึงทีหลัง)

ควบคู่ไปกับ Hephaestus จะมีโปรเจ็คต์ย่อยอีกสามตัว ที่มีบทบาทในการช่วย Hephaestus ออกแบบเครื่องจักร ได้แก่

3. Aether

เป็นตัวช่วยสนับสนุน Hephaestus ในการออกแบบสัตว์เครื่องจักรสำหรับปรับสภาพอากาศ เช่น Glinthawk

4. Poseidon

เป็นตัวช่วยสนับสนุน Hephaestus ในการออกแบบสัตว์เครื่องจักรสำหรับปรับสภาพแหล่งน้ำและทะเล เช่น Snapmaw

5. Demeter

เป็นระบบเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชจากทั่วโลก และเป็นตัวช่วยสนับสนุน Hephaestus ในการออกแบบสัตว์เครื่องจักรสำหรับปรับสภาพดินและหว่านเมล็ดพันธุ์พืชเพื่อคืนความอุมสมบูรณ์ให้กับโลก เช่น Grazer

6. Artemis

ทำหน้าที่เป็นคลังเก็บพันธุกรรมของสายพันธุ์สัตว์ต่างๆที่ถูกคัดสรรมาแล้วว่ามีบทบาทต่อความอุดมสมบูรณ์ในระบบนิเวศน์ เมื่อไกอาเห็นว่าพร้อม ก็จะนำพันธุกรรมของสัตว์เหล่านี้ไปเพาะเลี้ยง และปล่อยให้พวกมันออกไปใช้ชีวิตในธรรมชาติ เกิดเป็นระบบนิเวศน์ในที่สุด ซึ่งก็คือพวกหมูป่า กระต่าย แรคคูน หมาจิ้งจอก แซลม่อน และอื่นๆที่เราเจอในเกมนั่นเอง

7. Eleuthia

ถึงตอนนี้ก็แทบจะเรียกว่าไกอาสามารถสร้างโลกขึ้นมาใหม่จนสมบูรณ์แล้ว มีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต มีพืชพรรณและสัตว์ต่างๆมากพอจนเกิดเป็นระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ ก็ถึงเวลาที่จะให้กำเนิดมนุษยชาติรุ่นใหม่

Eleuthia คือโปรเจ็คต์ที่มีหน้าที่เก็บพันธุกรรมของมนุษยชาติที่ถูกคัดสรรไว้ภายในแคปซูลด้วยเทคโนโลยีแช่แข็งเพื่อให้พันธุกรรมเหล่านี้สามารถดำรงอยู่ได้แม้ผ่านไปหลายร้อยปี โดยแคปซูลเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ตามสถานที่เพาะเลี้ยงต่างๆทั่วโลก เรียกว่า Cradle Facility โดยเมื่อไกอาเห็นว่าพร้อมแล้ว ก็จะนำพันธุกรรมของมนุษย์เหล่านี้ มาเพาะเลี้ยงในเครื่องจักรที่เป็นเหมือนครรภ์เทียม พอตัวอ่อนเจริญเติบโตถึงวัยแรกเกิด Eleuthia จะส่งหุ่นที่ถูกโปรแกรมให้เป็นผู้ปกครอง เข้ามาดูแลเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้ภายใน Cradle Facility อบรมสั่งสอนมนุษยชาติรุ่นใหม่ จนกว่าพวกเขาจะพร้อม เพื่อออกไปสร้างอารยธรรมของตัวเองในโลกภายนอก

8. Apollo

เพื่อที่จะไม่ให้มนุษยชาติรุ่นใหม่ทำผิดซ้ำสองแบบเรา จึงต้องส่งต่อองค์ความรู้ทั้งปวงที่มนุษยชาติรุ่นเก่าสั่งสมมาตลอดหลายพันปีของอารยธรรม ไปเป็นบทเรียนให้แก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถก่อร่างสร้างอารยธรรมและเทคโนโลยีของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนเข้าใจความสำคัญของเก็บรักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม พูดง่ายๆก็คือเพื่อที่คนรุ่นใหม่จะได้ฉลาดกว่าพวกเรานั่นแหละ

Apollo คือระบบที่หน้าที่เป็นห้องสมุดขนาดยักษ์ที่กักเก็บองค์ความรู้เหล่านี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆทุกแขนง เป็นเหมือนโรงเรียนสำหรับสอนมนุษยชาติรุ่นใหม่

ซึ่งอุปกรณ์อย่าง Focus เอง ก็ถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของ Apollo ด้วย โดย Focus นั้นเดิมทีเป็นหนึ่งในสินค้าที่พัฒนาโดย FAS เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์สร้างความสะดวกสบายส่วนบุคคล พอมาเป็นส่วนหนึ่งของ Apollo ก็จะถูกใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับการเรียนรู้ให้มนุษยชาติรุ่นใหม่ได้สวมใส่ ก็เลยมีพวกฟังก์ชั่นในการแสดงข้อมูลต่างๆเมื่อใช้ focus แสกนสิ่งของนั่นเอง

พอมนุษยชาติรุ่นใหม่เกิด เติบโต และได้รับองค์ความรู้จาก Apollo แล้ว ก็จะถูกส่งออกจาก Cradle Facility ไปที่โลกภายนอก เพื่อสร้างอารยธรรมใหม่ต่อไป นี่คืออนาคตที่โปรเจ็คต์ Zero Dawn วาดไว้

9. Hades

เนื่องจากกระบวนการปรับสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศนั้นเป็นกระบวนซับซ้อนและมีความเสี่ยง จึงมีโอกาสที่ไกอา อาจทำพลาด เผลอสร้างสภาพแวดล้อมที่รุนแรงและไม่เหมาะสมต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ชาติ Hades จึงเปรียบเสมือนปุ่ม reset ให้กับระบบของไกอา

ในยามปกติ ระบบของ Hades จะถูกปิดไว้ให้ไม่มีบทบาทใดๆในกระบวนการสร้างโลกใหม่ของไกอา แต่เมื่อใดก็ตามที่ไกอาตรวจพบปัญหาหรือความผิดพลาดในกระบวนการของตน ที่อาจทำโลกที่กำลังสร้างขึ้นไม่เหมาะสมให้มนุษยชาติอาศัยอยู่ได้ เมื่อนั้น Hades จะเริ่มเดินเครื่องปฏิบัติการ เข้าควบคุมระบบทั้งหมดของไกอา และหาทางรีเซ็ตโลกใหม่หมด พูดง่ายๆก็คือ ทำลายโลกทิ้งอีกรอบหนึ่ง เพื่อให้โลกกลับไปอยู่ในสภาวะเป็นศูนย์เหมือนตอนเริ่มต้นโปรเจ็คต์ Zero Dawn เมื่อลุล่วงแล้ว Hades ก็จะถูกปิดการใช้งานอีกครั้ง และให้ไกอา ลองดำเนินการสร้างโลกใหม่อีกที

เกร็ดเล็กน้อย ชื่อของโปรเจ็คต์แต่ละตัวใน Zero Dawn ตั้งชื่อตามเทพเจ้ากรีก
ซึ่งมีความหมายดังนี้

  • Gaia เทพีผู้เป็นมารดาของทุกสรรพสิ่ง
  • Minerva เทพีแห่งปัญญา
  • Hephaestus เทพเจ้าแห่งช่างตีเหล็ก
  • Aether เทพเจ้าแห่งอากาศบริสุทธิ์
  • Poseidon เทพเจ้าแห่งท้องทะเล
  • Demeter เทพีแห่งการเพาะปลูกและเกษตรกรรม
  • Artemis เทพีแห่งการล่าสัตว์
  • Eleuthia เทพีแห่งการให้กำเนิด
  • Apollo เทพเจ้าแห่งการให้แสงสว่างและดวงอาทิตย์
  • Hades เทพเจ้าแห่งนรก

ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า โปรเจ็คท์มันเว่อวังอลังการขนาดนี้ จะใช้เวลาแค่ไม่ถึง 2 ปี ที่มนุษยชาติเหลืออยู่ สร้างนู่นสร้างนี้ให้เสร็จทันได้ยังไง แต่ความพิเศษของ Zero Dawn อยู่ที่ตรงนี้ นั่นคือการที่ทีมงานของ Zero Dawn ไม่จำเป็นต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาเอง เพียงแค่ “เตรียมการ” สิ่งที่จำเป็นเอาไว้ให้ไกอาสามารถที่จะสร้างนู่นสร้างนี่ขึ้นมาเองได้ทีหลัง

ดังนั้น ไกอา จึงเป็นหัวใจสำคัญของโปรเจ็คต์ ไกอาจะต้องถูกพัฒนาให้มีความรู้และความสามารถในการเรียนรู้ระดับสูง เพื่อให้เมื่อมนุษยชาติสูญพันธุ์ไปแล้ว ตัวไกอาเองจะต้องสามารถจินตนาการ ออกแบบ และสร้างเทคโนโลยีทุกอย่างขึ้นมาใหม่ได้เอง ไม่ว่าจะเป็นหอส่งสัญญาณปิดระบบของ Peacekeeper หรือโรงงานผลิตสัตว์เครื่องจักร เราจะปล่อยให้ไกอาจัดการดำเนินแผนการเองทั้งหมดได้ เรียกว่าฝากความหวังของมนุษย์ชาติไว้กับ A.I. ตัวนี้เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้เอง อลิซาเบทจึงรับหน้าที่ในการเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาไกอาด้วยตัวเอง โดยเธอเห็นว่า นอกจากไกอาจะต้องมีสติปัญญาที่สูงส่งแล้ว ยังต้องพัฒนาให้ไกอามีอารมณ์ความรู้สึก มีชีวิตจิตใจจริงๆ เพื่อให้ไกอาสามารถตัดสินใจสิ่งต่างๆไม่เพียงแต่บนพื้นฐานของตรรกะเท่านั้น แต่ยังด้วยความรักและความใส่ใจ ที่มีต่อมนุษยชาติ

อย่างไรก็ตาม เท็ด ไม่เห็นด้วยกับอลิซาเบทซะทีเดียว ด้วยความที่เค้าเป็นผู้ทำให้เกิดวิกฤตทั้งหมด เท็ดคิดว่า การใส่พัฒนาการทางด้านอารมณ์ความรู้สึกและจิตใจแก่ไกอา อาจทำให้ไกอาตัดสินใจด้วยความชั่วร้ายแทนได้เช่นกัน จึงขอให้อลิซาเบท ติดตั้งคำสั่งบังคับยุติการทำงานให้กับไกอา หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น จะได้มีใครสักคนที่ไปสับสวิตซ์ ปิดการทำงานของไกอาได้ทันท่วงที โดยในทีแรก อลิซาเบทไม่เห็นด้วยเพราะเป็นเหมือนการจ่อปืนไว้บนหัวของไกอาตลอดเวลา แต่เพราะไกอาเองก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ อลิซาเบทจึงยอมติดตั้งระบบนี้ไปในชื่อ Master Override

กล่าวโดยสรุป โปรเจ็คต์ Zero Dawn จะมีขั้นตอนการทำงานหลังจากโลกล่มสลายไปแล้วแบบคร่าวๆดังนี้

  1. ใช้ Minerva ทำการเจาะระบบปฏิบัติการของ Peacekeeper และสร้างเสาสัญญาณเพื่อส่งสัญญาณปิดระบบพวกมันทิ้ง
  2. ใช้ Hephaestus ควบคู่กับ Aether, Poseidon และ Demeter ในการสร้างโรงงานผลิตเครื่องจักรที่ใช้สำหรับปรับปรุงสภาพของดิน ฟ้า อากาศ และน้ำ ของโลก ให้เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตอีกครั้ง
  3. ใช้ Atemis เพาะเลี้ยงและส่งสัตว์สายพันธุ์ต่างๆออกไปในธรรมชาติ เพื่อสร้างระบบนิเวศน์
  4. ใช้ Eleuthia เพาะเลี้ยงมนุษย์รุ่นใหม่ขึ้นมา ให้พวกเขาเติบโตโดยได้รับการศึกษาองค์ความรู้จาก Apollo เพื่อเตรียมความพร้อมให้พวกเขา เมื่อถึงเวลา ก็ปล่อยพวกเขาออกไปสร้างอารยธรรมของตนเอง โดยไกอาก็จะยังทำหน้าที่ดูแลความเป็นไปของโลกอยู่ห่างๆ
  5. หากเกิดกรณีฉุกเฉินที่ไกอาทำพลาดในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของโลก ทำให้มันไม่เหมาะสมที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ Hades จะถูกเรียกขึ้นมาทำลายทุกอย่างทิ้งอีกรอบ เพื่อให้ไกอาเริ่มต้นใหม่
  6. หากเกิดกรณีฉุกเฉินที่จิตสำนึกของไกอามีพัฒนาการที่ผิดปกติ และอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของไกอา สามารถอออกคำสั่งบังคับปิดระบบปฏิบัติการของเธอได้ด้วยการใช้ Master Override

แน่นอนว่ากว่ากระบวนการทั้งหมดนี้จะเสร็จสมบูรณ์ ก็ต้องใช้เวลาหลายร้อยปี ไม่มีทางที่มนุษย์ยุคเก่าจะสามารถอยู่ได้นานขนาดนั้นเนื่องจากทรัพยากรต่างๆไม่เพียงพอ จึงเป็นอย่างที่ว่าไว้ตอนต้น โปรเจ็คต์นี้คือการปล่อยให้มนุษย์ยุคเก่าสูญพันธุ์ไปพร้อมกับโลก แล้วสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ด้วยไกอาในภายหลัง

(อ่านต่อหน้า 3)

ชะตากรรมของมนุษยชาติ

กลับมาที่เหตุการณ์ในปัจจุบัน เมื่ออลิซาเบทยื่นเรื่องราวทั้งหมดพร้อมเสนอโปรเจ็คต์ Zero Dawn ให้แก่นายพล Herres แล้ว แม้จะมีการถกเถียงกันในที่ประชุม แต่ตัวนายพลก็เห็นด้วยว่าไม่มีทางเลือกอื่น จึงให้ความร่วมมือกับอลิซาเบทแต่โดยดี

ในขั้นแรก เพื่อที่จะซื้อเวลาให้กับโปรเจ็คต์ Zero Dawn นายพล Herres ได้ประกาศใช้ยุทธการ Enduring Victory เป็นการขอความร่วมมือประชาชนทั้งหมดที่พอจะถืออาวุธได้ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้หญิงก็ตาม ให้เข้าร่วมกองกำลังภายใต้การร่วมมือของนานาชาติทั่วโลก ในการทำสงครามยับยั้งกองทัพหุ่นยนต์ Peacekeeper ไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อยื้อเวลาจนกว่าโปรเจ็คต์ Zero Dawn จะสมบูรณ์ เพราะไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนก็ไม่สามารถลดจำนวน Peacekeeper ได้เร็วกว่าจำนวนที่พวกมันสร้างขึ้นได้ใหม่ และที่ต้องใช้มนุษย์ถือปืนออกไปทำสงครามแทนที่จะส่งหุ่นรบหรืออาวุธสมัยใหม่ออกไปสู้ ก็เพราะจะถูก Peacekeeper แฮคและควบคุมไปเป็นพวกตัวเองได้นั่นเอง

นายพล Herres รู้ดีว่าถ้าบอกประชาชนทุกคนไปว่าโปรเจ็คต์ Zero Dawn คือการยอมปล่อยให้มนุษยชาติสูญพันธุ์แล้วไปสร้างโลกขึ้นมาใหม่ทีหลัง ก็คงเป็นการยากที่ได้รับความมือร่วมมือจากประชาชน ซ้ำจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจหรือแม้กระทั่งทำให้เกิดการจลาจลทั่วโลกอีกต่างหาก ดังนั้น เขาถึงทำการปล่อยข่าวลือออกไปว่า Zero Dawn คือโปรเจ็คต์ที่จะสร้างอาวุธลับสุดยอดที่เมื่อสำเร็จสมบูรณ์แล้ว มนุษย์ก็จะชนะในสงครามครั้งนี้

ซึ่งแน่นอน… เป็นเรื่องโกหก เพื่อสร้างความหวังปลอมๆ หลอกประชาชนหลายล้านคนที่ไม่เคยแม้แต่จับปืน ให้ออกไปสู้จนตัวตาย ด้วยความหวังว่าการเสียสละของตน จะทำให้มนุษยชาติอยู่รอด…

ขั้นตอนต่อมา เมื่อยุทธการ Enduring Victory ถูกบังคับใช้แล้ว นายพล Herres ก็ได้ออกคำสั่งเรียกตัวนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงจากทุกสาขาทั่วโลก มารวมตัวกันที่ศูนย์ปฏิบัติการของโปรเจ็คต์ Zero Dawn ที่นั่นเหล่านักวิชาการได้รับรู้ตัวจริงของโปรเจ็คต์ Zero Dawn และถูกขอความร่วมมือให้เข้าร่วมกับโปรเจ็คต์ ในการช่วยพัฒนาไกอาและโปรเจ็คต์ย่อยอื่นๆ เตรียมความพร้อมให้กับอนาคตที่จะถูกส่งต่อไปให้โลกและมนุษยชาติรุ่นใหม่ โดยแลกกับการที่เมื่อโลกล่มสลายลง พวกเขาและครอบครัวจะได้อพยพไปอาศัยอยู่ในเชลเตอร์ทั่วโลกที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ และสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ถึงช่วงเวลาหนึ่งภายในนั้น เชลเตอร์เหล่านี้ถูกเรียกว่า Elysium

แต่ไม่ว่าจะให้ความร่วมมือหรือไม่ นักวิชาการเล่านี้ก็จะต้องถูกกักตัวไม่ให้ออกไปโลกภายนอกอีกจนกว่าจะถึงเวลาอพยพ เพื่อกันไม่ให้ความลับของโปรเจ็คต์ Zero Dawn แพร่งพรายออกไปนั่นเอง

สำหรับผู้ที่ให้ความร่วมมือกับโปรเจ็คต์ จะถูกส่งไปทำงานในโปรเจ็คต์ย่อยๆแต่ละตัวตามความถนัดและบทบาทของแต่ละคน โดยจะมีการสัมภาษณ์เพื่อเลือกหาคนที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าผู้ดูแลแต่ละโปรเจ็คต์ย่อย เราเรียกพวกเขาเหล่านี้ว่า Alpha

ซึ่ง Alpha นั้นน่าจะมี 10 คนตามจำนวนโปรเจ็คต์ย่อยของไกอาที่กล่าวถึงไปแล้ว แต่คนที่ถูกพูดถึงหลักๆจะมีแค่ 6 คนนี้

  1. Elisabet Sobeck เป็น Alpha Prime ดูแลการพัฒนาไกอา
  2. Margo Shen เป็น Alpha ให้กับ Hephaestus
  3. Charles Ronson เป็น Alpha ให้กับ Artemis
  4. Patrick Brochard-Klein เป็น Alpha ให้กับ Eleuthia
  5. Samina Ebadji เป็น Alpha ให้กับ Apollo
  6. Travis Tate เป็น Alpha ให้กับ Hades

โดยเมื่อโปรเจ็คต์ Zero Dawn เสร็จสิ้นแล้ว สมาชิกอื่นๆจะอพยพไปอยู่ตาม Elysium แต่ละที่ มีเพียงแค่สมาชิกระดับ Alpha ทั้ง 10 คนที่จะต้องอยู่ปฏิบัติการต่อภายในศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการของไกอาที่เรียกว่า Gaia Prime เพื่อดูแลและตรวจเช็คความเรียบร้อยในระบบของไกอาต่อไปจนกว่าจะตาย จากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของไกอาต่อไป

ถึงจุดนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน ยุทธการ Enduring Victory ประสบความสำเร็จ การเสียสละของผู้บริสุทธิ์นับแสนนับล้านชีวิต แลกมาด้วยการซื้อเวลาที่ทำให้โปรเจ็คต์ Zero Dawn เสร็จสมบูรณ์ในปี 2066

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการอพยพทีมงาน Zero Dawn ตั้งแต่ระดับ Beta ลงไป พร้อมครอบครัวของพวกเขา และผู้รอดชีวิตเท่าที่เหลืออยู่ ไปตาม Elysium ต่างๆ ส่วนสมาชิก Alpha ก็อยู่ประจำการที่ Gaia Prime นับถอยหลังสู่เวลาที่พวกเขาจะทำการปิดผนึกทั้ง Elysium และ Gaia Prime จากโลกภายนอก และทำการเดินระบบของไกอาอย่างสมบูรณ์

ทว่า ในขั้นตอนสุดท้ายนั่นเอง Charles Ronson ได้ตรวจพบความผิดปกติในระบบปิดผนึกประตูของ Gaia Prime ทำให้เกิดช่องว่างมากเกินไป มากพอที่เมื่อพวกเขาทำการเดินระบบของไกอาแล้ว พวก Peacekeeper จะสามารถตรวจจับพลังงานใน Gaia Prime แล้วเข้ารุกรานได้ ทางเดียวที่จะแก้ไข คือต้องให้ใครซักคนไปทำการปิดผนึกประตูโดยตรง แต่จะต้องทำจากภายนอก  นั่นเท่ากับว่าเมื่อคนๆนั้นทำการผิดผนึกประตูแล้ว ก็จะไม่สามารถกลับเข้ามาใน Gaia Prime ได้อีก ถูกทิ้งให้ต้องตายในโลกภายนอกที่ล่มสลายไปแล้ว

Ronson จึงเรียกตัวสมาชิกทุกคนเข้าประชุมเพื่อหาผู้เสียสละ แต่อลิซาเบทกลับไม่มา เพราะในขณะที่ทุกคนกำลังเกี่ยงกันว่าใครจะออกไปนั้นเอง อลิซาเบทก็ได้ออกทำการปิดผนึกประตูด้วยตนเองแล้ว และสั่งให้ Ronson เดินเครื่องไกอาได้ทันที เธอเตรียมที่จะสละชีวิตไว้แล้ว และจะขอไปตายที่บ้านเกิดของเธอ

การสูญเสียอลิซาเบทนำความโศกเศร้ามาสู่สมาชิก Alpha ทุกคน อย่างไรก็ตามแผนการก็ต้องดำเนินต่อไป ทุกคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตน ทั้ง Gaia Prime และ Elysium ทั่วโลกทำการปิดผนึกตัวเอง เป็นอันเสร็จสิ้นการเตรียมการทั้งหมด

และแล้วในปี 2066 โลกและมนุษยชาติ ก็ล่มสลายอย่างเป็นทางการ

หายนะซ้ำซ้อน

ในตอนนั้นเองที่ เท็ด แฟโร่ เริ่มรู้สึกว่าการส่งต่อองค์ความรู้และประวัติศาสตร์ของพวกเราไปให้กับมนุษย์รุ่นใหม่ผ่าน Apollo นั้น ไม่ใช่เรื่องดี ในขณะที่อลิซาเบทและสมาชิก Alpha คนอื่น มองว่ามันเป็นการป้องกันไม่ให้มนุษย์รุ่นใหม่ทำผิดพลาดซ้ำสองเหมือนพวกเรา เป็นพรที่มนุษย์ยุคเก่าจะมอบให้กับมนุษย์รุ่นใหม่ แต่สำหรับเท็ด เค้ามองว่ามันเป็นเหมือนโรคร้าย เป็นการโยนภาระให้มันมนุษย์รุ่นใหม่ ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ต้องแบกรับความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่พวกเขาไม่เคยทำ เราควรจะปล่อยให้พวกเขาได้เรียนรู้และสร้างอารยธรรมของตัวเอง ไม่ถูกผูกมัดด้วยองค์ความรู้ของมนุษย์ยุคเก่าอย่างพวกเรา

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เท็ด จึงตัดสินใจทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เขาเรียกประชุมสมาชิก Alpha ทุกคน พร้อมๆกับแอบทำการลบข้อมูลทั้งหมดจากเซิร์ฟเวอร์ของ Apollo ทิ้ง สร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิก Alpha เป็นอย่างมาก และเพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิก Alpha แก้ไขอะไรได้ เขาจึงเปิดท่ออากาศในห้องประชุม ทำให้อากาศที่เป็นพิษจากภายนอกพุ่งเข้ามาในห้องและสังหารสมาชิก Alpha ทั้งหมด…

สำหรับชะตากรรมของเท็ดนั้นไม่เป็นที่ระบุแน่ชัด แต่ตอนนี้ก็เท่ากับสมาชิกทุกคนใน Gaia Prime ได้เสียชีวิตลง เหลือเพียง ไกอา ที่ต้องสานต่อทุกอย่างเพียงลำพัง

จากตรงนี้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามอย่างที่ควรจะเป็น กว่า 60 ปีให้หลัง ไกอาก็ได้ใช้ Minerva เจาะระบบของ Peacekeeper จนสำเร็จ สร้าง the Spire เสาสัญญาณขนาดยักษ์และทำการส่งสัญญาณปิดการทำงานของ Peacekeeper จนหมด จากนั้นก็ทำการฟื้นฟูโลกใหม่ด้วยการใช้ Hephaestus,  Aether และ Poseidon สร้างเหล่าสัตว์เครื่องจักรขึ้นมาฟื้นฟูสภาพดิน ฟ้า อากาศ และผืนน้ำ ตลอดจนนำพันธุกรรมพืชพรรณจาก Demeter และพันธุกรรมสัตว์จาก Artemis สร้างระบบนิเวศน์ขึ้นมาใหม่ ตามแผนที่วางไว้ ส่วนมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใน Elysium ไม่นานทรัพยากรก็หมดและตายในที่สุด

ถึงจุดหนึ่ง ไกอา ก็เห็นสมควรว่าจะให้กำเนิดมนุษย์ยุคใหม่

กำเนิดมนุษย์หลังโลกล่มสลาย

ไกอาประสบความสำเร็จในการนำพันธุกรรมของมนุษย์จาก Eleuthia มาเพาะเลี้ยงและให้กำเนิดมนุษย์รุ่นใหม่ตาม Cradle ต่างๆทั่วโลก และได้รับการดูแลจากหุ่นยนต์ผู้ปกครองในฐานะ พ่อและแม่ ของเด็กๆเหล่านั้น

ทว่าก็อย่างที่รู้กัน ข้อมูลทุกอย่างใน Apollo ถูกลบไปจนหมดสิ้น ไกอาจึงไม่มีคลังความรู้หลงเหลือเพื่อจะสอนองค์ความรู้ให้มนุษย์รุ่นใหม่ พวกเขาจึงเติบโตขึ้นโดยไม่มีความรู้ทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์หรือศาสตร์ต่างๆ จากยุคก่อนเลย จนในที่สุด หุ่นยนต์ผู้ปกครองก็จำเป็นต้องส่งพวกเขาออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกแม้ว่าจะปราศจากองค์ความรู้ต่างๆ ก็ตาม เพราะทรัพยากรอาหารภายใน Cradle ได้หมดลงแล้ว

เมื่อมนุษย์รุ่นใหม่ออกมาจาก Cradle พวกเขาก็เริ่มหาทางเอาตัวรอดและสร้างสังคมและอารยธรรมของตนขึ้นมา มนุษย์พวกนี้แหละครับ ที่เป็นบรรพบุรุษของชนเผ่าต่างๆ ที่ปรากฏในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Nora, Carja, Oseram หรือ Banuk ก็ล้วนแล้วแต่สืบสายพันธุ์มาจากมนุษย์พวกนี้ทั้งนั้น

ว่าง่ายๆ ก็คือ ที่ชนเผ่าต่างๆในเกมทั้งหลายต่างงมงาย ขาดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เชื่อแต่ไสยศาสตร์ทั้งหลายทั้งปวงเนี่ย ก็เป็นเพราะเท็ดนี่แหละ ที่ไปลบข้อมูลทั้งหมดของ Apollo

อย่างไรก็ตาม แม้จะปราศจากเทคโนโลยีและองค์ความรู้ มนุษย์รุ่นใหม่ก็สามารถสร้างอารยธรรมและสานต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติได้ ก็ถือว่าไกอาประสบความสำเร็จในการสร้างโลกขึ้นมาใหม่อยู่ดี

นับจากปี 2066 ที่มนุษยชาติล่มสลาย เวลาก็ผ่านไปกว่า 900 ปี เผ่านู้นเผ่านี้ของมนุษยุคใหม่ก็เจริญรุ่งเรืองสร้างอารยธรรมสร้างความเชื่อของตัวเองกันไป ที่นี้เรามาพูดถึงประวัติของชาวนอร่า (Nora) คนนึง ที่ชื่อ รอสท์ (Rost) กัน ซึ่งจะเป็นส่วนขยายของเรื่องราวหลัก หากใครอยากข้ามไปเนื้อเรื่องหลักต่อก็ต่อไปย่อหน้าถัดไปได้เลย

เรื่องราวของรอสต์

เกริ่นถึงชาวนอร่ากันก่อน ชาวนอร่านั้น มีความเชื่อในเทพเจ้าสูงสุดที่เรียกว่า All-Mother หรือ พระมารดาแห่งทุกสรรพสิ่ง และเชื่อว่าซากของหุ่นยนต์ยักษ์รูปร่างคล้ายปลาหมึกตามภูเขาคือ Metal Devil (ปีศาจโลหะ) ที่ All-Mother ปราบลงในอดีตกาล โดยชาวนอร่าเชื่อว่าภายในอาณาเขตดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่นี้ คือแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Land) ที่ All-Mother รังสรรค์ขึ้นเพื่อพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นผืนแผ่นดิน แม่น้ำลำธาร ต้นไม้ใบหญ้า สัตว์ป่า หรือแม้กระทั่งสัตว์เครื่องจักร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของ All-Mother และพวกเขาชาวนอร่า ก็เปรียบเสมือนผู้ปกปักษ์คุ้มครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ โดยมีกฏห้ามไม่ให้ชาวนอร่าคนใด ออกนอกเขตแดนของแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ไม่เช่นนั้นจะถือว่ามีมลทิน นอกจากนี้ที่ภูเขาทางใต้สุดของดินแดนศักดิ์สิทธ์ ยังมีถ้ำในหุบเขาที่ซึ่งเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์พิเศษที่มีเพียงสามผู้เฒ่า (Matriarch) ของชนเผ่าเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ พวกเขาเรียกที่นั่นว่า Mother’s Cradle ที่ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า All-Mother ได้ให้กำเนิดบรรพบุรุษของพวกเขามาจากภายในนั้น

ถึงจากตรงนี้เราก็จะเข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้ว ความเชื่อต่างๆนาๆของชาวนอร่า ก็มาจากโปรเจ็คต์ Zero Dawn เนี่ยแหละ โดยมีไกอาคือ All-Mother ผู้สร้างทุกสิ่งขึ้นมา ส่วน Metal Devil ก็คือซากของหุ่น Horus ที่หยุดทำงานลงโดยฝีมือของไกอา และที่ Mother’s Cradle ก็คือหนึ่งใน Cradle Facility ของโปรเจ็คต์ Eleuthia ที่ซึ่งไกอาทำการเพาะเลี้ยงและให้กำเนิดมนุษย์รุ่นใหม่ ที่กลายเป็นบรรพบุรุษของชาวนอร่านั่นเอง… ประมาณว่า ความเชื่อดันมีรากฐานมาจากความจริงซะงั้น

กลับมาที่เรื่องของรอสต์ คาดว่าตอนนั้นน่าจะประมาณ 20 กว่าปีก่อนเหตุการณ์ในเกม ได้มีกลุ่มโจรชั่วจำนวน 12 คน เข้าบุกแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของเผ่านอร่า พวกมันข้ามเส้นแบ่งเขตแดนเข้ามา เข้าโจมตี Mother’s Vigil หมู่บ้านชาวนอร่าเล็กๆที่ตั้งอยู่ใกล้กับชายแดน พวกมันจับตัวคนในหมู่บ้านไปเป็นตัวประกัน โดยในการโจมตีครั้งนั้น พวกมันได้ฆ่าภรรยาของรอสต์ ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น และจับอลาน่า (Alana) ลูกสาวของเขาไป

ชาวนอร่าได้พยายามส่งนักรบและนักล่าในเผ่าไล่ตามกลุ่มโจรเหล่านี้ ซึ่งรอสต์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ทุกครั้งที่พวกเขาเข้าใกล้ พวกมันก็จะฆ่าตัวประกันทีละคนๆ จนในที่สุด พวกมันก็หนีกลับไปที่เส้นแบ่งเขตแดน ที่นั่นพวกมันได้ฆ่าปาดคอตัวประกันที่เหลือทุกคนซึ่งรวมถึงลูกสาวของรอสต์ด้วย และทิ้งศพของพวกเขาเอาไว้ตรงนั้น ก่อนหลบหนีข้ามฝั่งชายแดนไป เพราะพวกมันรู้ดีว่าชาวนอร่า ไม่สามารถออกนอกเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้

เพื่อจะล้างแค้น รอสต์จึงขอผู้เฒ่าทั้งสาม ให้ทำพิธีแต่งตั้งเค้าให้เป็น Death Seeker ซึ่งเป็นการอุปมาอุปไมยว่ารอสต์จะทิ้งวิญญาณในฐานะชาวนอร่าไว้ที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ กลายเป็นร่างไร้วิญญาณที่มีหน้าที่เพียงเพื่อตามล้างแค้นผู้ที่ทำร้ายชนเผ่านอร่าเท่านั้น เพื่อให้รอสต์ออกนอกเขตแดนไปในนามของชาวนอร่าได้ แต่จะกลับเข้ามาไม่ได้อีก ต้องตายอยู่ข้างนอก

สุดท้ายรอสต์ก็ทำสำเร็จ เขาออกไปตามฆ่าเหล่าสมาชิกกองโจรทั้ง 12 จนหมด แต่รายสุดท้ายต่อสู้กลับและทำให้รอสต์บาดเจ็บปางตาย รอสต์ที่ไม่ตั้งใจจะมีชีวิตอยู่ต่ออยู่แล้ว จึงพาร่างของตัวเองกลับมาที่ชายแดนของแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ด้วยหวังว่าเค้าจะได้ตายใกล้กับบ้านเกิดของเขาที่สุด

แต่ปรากฏว่าก็มีชาวนอร่าหญิงคนนึงยอมทำผิดกฏ ออกไปนอกเขตแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำร่างของรอสต์กลับเข้ามา เนื่องจากเธอเองก็สูญเสียครอบครัวไปจากการบุกของกองโจรนั้นเช่นกัน รอสต์ได้รับการรักษาและช่วยชีวิตไว้ได้ในที่สุด เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสามตกที่นั่งลำบาก ตามกฏแล้วรอสต์ก็ควรจะต้องถูกเนรเทศออกไปนอกเขตแดน แต่ด้วยความที่รอสต์ก็ปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จและแสดงถึงความรักที่เขามีต่อเผ่า การทำเช่นนั้นก็จะใจร้ายเกินไป พวกเขาจึงตกลงให้รอสต์ได้รับโทษในฐานะผู้ถูกขับไล่ (Outcast) ตลอดชีวิต โดยรอสต์จะยังอาศัยอยู่ในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่จะไม่มีสิทธิ์เข้าไปในส่วนของหมู่บ้านหรือพูดคุยกับชาวนอร่าคนอื่นๆ อีกต่อไป อาจจะดูโหดร้าย แต่สำหรับรอสต์ การที่เขายังมีชีวิตอยู่และได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์บ้านเกิดของเขา ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้ว

หลังจากนั้น เวลาก็ล่วงเลยไป จนมาถึง 19 ปี ก่อนเหตุการณ์ในเกม…

ไกอา ตรวจพบการส่งสัญญาณปริศนาเข้ามาแทรกแซงระบบการทำงานของเธอ เธอไม่รู้ว่าสัญญาณนี้ส่งมาจากไหน แต่สัญญาณปริศนานี้ก็ได้ทำการเปิดการทำงานของ Hades และทำให้ Hades พัฒนาจิตนึกคิดที่ชั่วร้ายของตัวเองขึ้นมา Hades พยายามเข้าควบคุมระบบทั้งหมดของไกอาและดำเนินการทำลายล้างโลกตามหน้าที่ของมัน ซึ่งหากสำเร็จ จะแล้วเสร็จภายใน 53 วัน

แน่นอนไกอาไม่อาจยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นได้ เพราะโลกในตอนนี้ก็อยู่ในสภาพที่ดีแล้ว มนุษยชาติรุ่นใหม่ก็ดำรงอยู่ได้แล้ว เธอจึงรีบตัดสินใจ ออกคำสั่งทำลายเพื่อให้ Gaia Prime ที่เป็นศูนย์รวมระบบปฏิบัติการของไกอาโอเวอร์โหลดและระเบิด ด้วยหวังว่าจะเป็นการปิดการทำงานของ Hades ไปพร้อมๆกับตัวของไกอาเอง ซึ่งการทำแบบนี้แม้จะทำให้ไกอาหยุดการทำงานลง แต่ระบบอื่นๆอย่าง Hephaestus ซึ่งยังคงทำการผลิตสัตว์เครื่องจักรอยู่จะยังคงทำงานต่อไปเป็นอัตโนมัติอีกสักพักหนึ่ง แต่เมื่อไม่มีไกอาควบคุม ระบบเหล่านี้จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ และอาจเป็นภัยต่อมนุษยชาติได้

ไกอาจึงต้องหาทางเตรียมการให้มีใครสักคนกลับมาซ่อมแซมตนเองในภายหลัง แต่เพราะไกอาไม่สามารถสื่อสารกับชนเผ่าต่างๆภายนอกได้เนื่องจากข้อบังคับของระบบ ไกอาจึงเลือกที่จะฝากความหวังไว้กับเด็กคนหนึ่ง ไกอาได้ใช้ข้อมูลพันธุกรรมของอลิซาเบทที่ถูกเก็บไว้ มาเพาะเลี้ยง กำเนิดเป็นเด็กทารกที่เป็นเสมือนลูกของอลิซาเบท โดยจะส่งเด็กคนนั้นไปให้เผ่านอร่าเลี้ยงดู และเด็กคนนั้นเมื่อโตขึ้น ด้วยรหัสดีเอ็นเอของเธอจะทำให้เธอสามารถเข้ามายัง Cradle Facility ที่ Mother’s Cradle ได้ ที่นั่นเธอจะได้พบ Focus แล้วใช้มันหาทางที่จะซ่อมระบบของไกอาขึ้นมาใหม่ได้ในที่สุด

ทว่า Hades ที่ควรจะปิดการทำงานลงพร้อมกับการระเบิดของ Gaia Prime กลับต่อต้านด้วยการสร้างความเสียหายต่อระบบปฏิบัติการทั้งหมดของไกอาก่อนที่จะหลบหนีไป ความเสียหายนี้ทำให้ Cradle Facility ไม่สามารถตรวจสอบรหัสดีเอ็นเอของเด็กคนนั้นได้อย่างถูกต้อง ทำให้แผนการที่จะให้เด็กคนนั้นได้พบกับ Focus ล้มเหลว และ Hades ที่หลบหนีไปได้ก็คงจะหาทางทำลายล้างโลกอีกแน่

แต่ไกอาก็ยังไม่หมดสิ้นความหวัง ไกอาเชื่อว่าด้วยพันธุกรรมของอลิซาเบทที่อยู่ในตัวเด็กคนนั้น เธอจะต้องหา Focus พบด้วยตัวเอง และใช้มันเพื่อหาทางรับรู้ความจริงทั้งหมดในที่สุด โดยไกอาจะทิ้งข้อความที่บอกเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ที่ Mother’s Cradle และได้ทิ้งท้ายถึงวิธีการหยุด Hades เอาไว้ ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนั้นจะได้มาพบกับข้อความนี้

ซึ่งใช่แล้วครับ เด็กคนนั้นก็คือ เอลอย (Aloy) นั้นเอง

(อ่านต่อหน้า 4)

จากแผนการนั้น เอลอยจึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาที่ Cradle Facility ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่านอร่า ซึ่งก็คือที่ Mother’s Cradle นั่นเอง เมื่อผู้เฒ่าทั้งสามของชาวนอร่าได้พบกับเอลอยซึ่งเป็นเด็กทารกปริศนาที่ปรากฏตัวขึ้นมาหน้า Cradle ก็ถกเถียงกันว่าเอลอยคืออะไรกันแน่ เทียร์ซ่า (Teersa) เชื่อว่า เอลอยคือพรของ All-Mother เพื่อทำหน้าที่บางอย่าง (แน่ะ! เดาถูกอีก) แต่ลานซ์รา (Lansra)เชื่อว่าเอลอยเป็นตัวกาลกิณี เป็นเด็กต้องสาปที่เกิดมาจากซากของ Metal Devil และจะนำพาหายนะมาสู่ชาวนอร่า

สุดท้ายทั้งสามก็เลยตกลงกันครึ่งทาง โดยจะให้เอลอยอาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวนอร่านี้ได้ แต่จะต้องอยู่ในฐานะของผู้ถูกขับไล่ ห้ามเข้าหมู่บ้าน ห้ามพูดห้ามคุยกับชาวนอร่าคนอื่นๆ และให้รอสต์ เป็นผู้รับเลี้ยงเด็กเอลอย โดยจะทำการปิดบังเรื่องราวที่เอลอยเกิดขึ้นมาที่ Mother’s Cradle ไว้ ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลให้เอลอยไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาได้ยังไง และคนอื่นๆ ในเผ่านอร่า ก็รังเกียจเธอในฐานะคนไร้มารดา (Motherless)

จากนั้นก็เป็นฉากเปิดเกมครับ รอสต์แอบพาเอลอยตัวน้อยๆ ไปทำพิธีประกาศนาม แม้จะเป็นการไม่สมควรเพราะพวกเขาเป็นผู้ถูกขับไล่ แต่เทียร์ซ่าก็มาช่วยทำพิธีให้ แม้สุดท้ายลานซ์ราจะเข้ามาวีนใส่ก็ตาม โดยชื่อเอลอยนี้ รอสต์ก็คงตั้งมาจากชื่อ อลาน่า ชื่อของลูกสาวเขาที่ตายไปนั่นเอง

และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยของเอลอยของเรานั่นเองครับ

6 ปีต่อมานับจากการระเบิดของ Gaia Prime ก็มาถึงฉากแรกสุดของเกม เด็กน้อยเอลอยที่กำลังน้อยอกน้อยใจเพราะโดนคนในเผ่ารังเกียจได้วิ่งหนีตกลงไปในซากโบราณสถานของอารยธรรมยุคเก่า ซึ่งจริงๆแล้ว นั่นคือซากของหนึ่งใน Elysium เชลเตอร์ที่มนุษย์ที่เหลือรอดจากการล่มสลายในปี 2066 เคยอาศัยอยู่ และเสียชีวิตกันไปหมดแล้ว

ที่นั่นเอลอยได้พบกับ Focus ที่ยังใช้งานได้อยู่ แล้วก็เป็นอย่างที่ทุกคนได้เห็นกันในเกม เอลอยใช้ Focus พาตัวเองออกมาจาก Elysium และกลับไปหารอสต์ได้สำเร็จ

วันต่อมารอสต์ก็พาเอลอยไปฝึกล่าสัตว์ ด้วยการใช้ Focus ทำให้เธอเรียนรู้สิ่งต่างๆได้รวดเร็ว และยังได้ช่วยชีวิตของ เท็บ (Teb) เด็กหนุ่มชาวนอร่าที่พลาดตกไปอยู่ท่ามกลางฝูง Strider พอดี ทำให้เธอได้เพื่อนใหม่ไปในตัว

แต่ที่สำคัญคือ ในวันนั้น เอลอยได้ตัดสินใจที่จะเข้ารับการทดสอบ (Proving) ของชนเผ่านอร่า ซึ่งหากเธอทำได้สำเร็จ เธอก็จะหลุดจากสภานะผู้ถูกขับไล่ และได้ขึ้นเป็น Brave ประมาณว่านักรบของเผ่า แต่ที่สำคัญ หากเธอสามารถได้ที่หนึ่งในการแข่งขัน เธอจะสามารถขออะไรก็ได้จากสามผู้เฒ่าหนึ่งอย่าง ซึ่งสิ่งที่เธออยากจะขอ ก็คือให้สามผู้เฒ่าเล่าอดีตในวันที่เธอเกิด เธออยากจะรู้ว่าแม่ของแท้จริงของเธอคือใคร โดยไม่รู้เลยว่า จริงๆ แล้วสามผู้เฒ่าเองก็ไม่รู้เช่นกัน

การตัดสินใจนั้นทำให้เธอต้องเข้ารับการฝึกอย่างหนักหลายปีจากรอสต์จนกว่าจะพร้อม

ในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง ความผิดปกติในระบบของ Hephaestus ที่ไกอาคาดการณ์ไว้ ก็เริ่มแสดงออกมา

เดิมที สัตว์เครื่องจักรที่ถูกสร้างภายใน Cauldron จะถูกโปรแกรมมาให้รักสงบ ขี้กลัว เมื่อมนุษย์เข้าใกล้ พวกมันก็จะหนี หรือต่อให้ถูกล่า พวกมันก็จะไม่ตอบโต้ ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ เพราะยังไง Cauldron ก็สามารถสร้างพวกมันขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ แต่เมื่อไม่มีไกอาควบคุมระบบอีกต่อไป ก็ทำให้ Hephaestus เริ่มโปรแกรมสัตว์เครื่องจักรพวกนี้ให้ดุร้ายขึ้น พวกมันเริ่มตอบโต้และทำร้ายมนุษย์กลับหากเข้าใกล้มากเกินไป ซ้ำร้าย ยังออกแบบและผลิตสัตว์เครื่องจักรหลายๆตัวที่ไม่ได้มีหน้าที่ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของโลก แต่กลับมีนิสัยดุร้ายและติดตั้งอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับการรบไว้เต็มตัว อย่างเช่นพวก Stalker, Ravager และ Thunderjaw นั่นเอง

การที่พวกสัตว์เครื่องจักรดุร้ายมากขึ้นนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้คนเรียกกันว่า Derangement ซึ่งปรากฏการณ์นี้ก็นำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อกษัตริย์จีรัน (Jiran) แห่งเมอริเดียน เมืองหลวงของเผ่าคาร์จา (Carja) เชื่อว่าปรากฏการณ์ที่สัตว์เครื่องจักรทั้งหลายดุร้ายขึ้นนี้ เป็นเพราะเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์กำลังพิโรธ จึงต้องมีการบูชายัญเพื่อขอขมา กษัตริย์จีรันได้สั่งการให้ทหารออกตามจับชาวเผ่าอื่นมาใช้เป็นเครื่องสังเวย เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้บริสุทธิ์ต้องถูกสังเวยให้กับความเชื่อของจีรันและชาวคาจาร์เป็นจำนวนมาก กลายเป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่ถูกเรียกว่า Red Raid และจีรันก็ได้รับการขนานนามว่า Mad Sun King หรือ กษัตริย์แห่งดวงอาทิตย์ผู้บ้าคลั่ง

Red Raid ดำเนินอยู่หลายปีจนกระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อนเหตุการณ์ในเกมหลักจะเริ่ม อาว้าด (Avad) บุตรชายคนโตของจีรัน ผู้ฝักใฝ่ในสันติภาพและบ้านเมืองที่ไร้การฆ่าฟัน ทนต่อความบ้าคลั่งของจีรันไม่ไหว จึงแอบร่วมมือกับกองกำลังจากเผ่าออเซรัม (Oseram) อย่างลับๆ เพื่อสั่งสมกำลังทำการปฏิวัติต่อบิดาของตน ด้วยความร่วมมือจาก เออร์ซ่า (Erza) และ เอเรนด์(Erend) สองพี่น้องนักรบจากออเซรัม กองกำลังปฏิวัติของอาว้าดก็ได้รับชัยชนะ อาว้าดสามารถสังหารจีรันได้สำเร็จและขึ้นครองราชย์ในฐานะกษัตริย์องค์ใหม่ เป็นอันจบการสังหารหมู่ Red Raid และยุติยุคสมัยแห่งความบ้าคลั่งของจีรัน

อย่างไรก็ตาม เฮลิส (Helis) นายพลผู้ซื่อสัตย์ของจีรัน ได้หลบหนีออกไปสำเร็จ พร้อมกับพา อิโตมาน(Itoman) ลูกชายคนเล็กของจีรันและมารดา หนีออกไปด้วย พวกเขาเดินข้ามฝั่งแม่น้ำขึ้นไปทางตอนเหนือของเมอริเดียน และก่อตั้งเป็นอาณาจักรใหม่ในชื่อ Shadow Carja ที่เมือง Sunfall สั่งสมกำลังเพื่อรอโอกาสที่จะได้แก้แค้นอาว้าดและทวงเมอริเดียนคืน

ต่อมาไม่นาน ไซเลนส์ (Sylens) ชายผู้มีความ กระหายในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และอารยธรรมของโลกยุคเก่า ก็ได้บังเอิญไปเจอกับ Focus อันนึงเข้า ไซเลนส์นำ Focus อันนั้นกลับมาซ่อมจนใช้การได้ ตอนนั้นเองที่โฟกัสของเขา จับคลื่นสัญญาณเบาๆ จากบางสิ่งได้ ไม่รอช้า ไซเลนส์จึงไปตามหาต้นตอของสัญญาณนั้น ที่นั่น เขาได้พบกับซากของ Horus บนหุบเขา และสิ่งที่ส่งสัญญาณถึง Focus ของเขา ก็คือ Hades ที่มาหลบอยู่ในซาก Horus ตัวนี้นั่นเอง

ไซเลนส์ช่วยซ่อมแซม Hades จนถึงระดับที่ทำการสื่อสารได้ Hades ยื่นข้อเสนอให้กับไซเลนส์ โดยไซเลนส์จะต้องรับใช้และช่วยเหลือ Hades กระทำการบางอย่าง โดยแลกกับที่ Hades จะถ่ายทอดองค์ความรู้จากอารยธรรมยุคเก่าให้แก่ไซเลนส์ ด้วยความกระหายใคร่รู้โดยไม่สนใจสิ่งใด ไซเลนส์จึงตอบตกลง เขาได้เรียนรู้ศาสตร์วิทยาการมากมาย ตั้งแต่ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ชีวะ เคมี และอื่นๆ จาก Hades

ทางด้าน Hades นั้นมีเป้าหมายคือการใช้ The Spire ในการส่งสัญญาณไปทั่วโลกเพื่อปลุกเหล่าหุ่น Peacekeeper ให้ตื่นขึ้นมา เพื่อใช้พวกมันในการทำลายโลกอีกครั้ง

Hades จึงสอบถามถึงตำแหน่งของ The Spire จากไซเลนส์ ซึ่งในตอนนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมอริเดียน และกลายเป็นศาสนสถานของชนเผ่าคาร์จา รู้ดังนั้น Hades จึงสั่งให้ไซเลนส์หาทางสร้างกองกำลังให้กับตน เพื่อสั่งสมกำลังในการบุกเมอริเดียนและเข้าใช้เสาสัญญาณ The Spire

ไซเลนส์ก็ยอมทำตามแต่โดยดี เนื่องจาก Hades ไม่ได้บอกถึงจุดประสงค์ที่ให้ไปรวบรวมกำลังพลให้ และไซเลนส์ก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงวิชาความรู้ที่เขาได้รับจาก Hades เท่านั้น

ซึ่งวิธีการที่ไซเลนส์ใช้ในการสร้างกองกำลังให้กับ Hades ก็คือการสร้างลัทธิ The Eclipse ขึ้นมา

ไซเลนรวบรวม Focus ที่หาได้มาจำนวนหนึ่ง แล้วจัดการใช้ศาสตร์ความรู้ที่เรียนมาจาก Hades สร้างเครือข่ายเชื่อมต่อ Focus เหล่านั้นเข้าด้วยกัน โดยติดตั้ง Module ที่เป็นศูนย์การส่งสัญญาณเข้ากับ Tallneck สัตว์เครื่องจักรคอยาวตัวหนึ่ง จากนั้นก็นำ Focus เหล่านี้ไปมอบให้แก่กลุ่มของเฮลิส และ Shadow Carja ที่กำลังโกรธแค้นที่สูญเสียกษัตริย์จีรันและถูกยึดอำนาจมาพอดี เมื่อเฮลิสและพรรคพวกสวมใส่ Focus คำสั่งของ Hades ก็จะส่งตรงถึงหูของพวกเขา พวกเฮลิสที่ไม่ได้รู้เรื่องเทคโนโลยีอะไร ต่างก็พากันเข้าใจว่าเสียงของ Hades เป็นเสียงของเทพเจ้าที่กำลังโกรธแค้นพวกของกษัตริย์อาว้าดที่ไม่เชื่อฟัง จึงมาออกคำสั่งให้พวกเขาทำการทวงคืนเมอริเดียนคืน บูชา Hades เป็นเทพเจ้า ตั้งเป็นลัทธิ The Eclipse

Hades ได้สั่งให้ Eclipse ออกไปปลุกพวก Peacekeeper ขึ้นมาทีละตัว จนสั่งสมกำลังได้ประมาณหนึ่ง ในตอนนั้นที่ Hades เห็นว่าไซเลนส์ไม่มีประโยชน์ต่อแผนการของมันอีกต่อไปแล้ว ก็ออกคำสั่ง The Eclipse ทำการสังหารไซเลนส์ทิ้งซะในฐานะผู้ทรยศ

แต่ไซเลนส์เองก็ไหวตัวทัน เนื่องจากตอนที่ปรับแต่ง Focus เพื่อนำไปให้ The Eclipse นั้น เขาได้ติดตั้งตัวดักฟังไปด้วย ทำให้ไซเลนส์สามารถได้ยินคำสั่งที่ Hades มอบให้ The Eclipse เสมอ เมื่อรู้ตัวว่าโดนทรยศ ไซเลนส์ก็หนีออกมา แล้วจึงสำนึกได้ว่าตนอาจจะทำเรื่องไม่ดีลงไปซะแล้ว จึงเริ่มคิดหาทางหยุดยั้ง Hades และ The Eclipse

ในที่สุด ก็มาถึงช่วงเวลาของเกมหลัก หนึ่งวันก่อนที่เอลอยจะเข้ารับการทดสอบของชนเผ่านอร่า

เอลอยที่พร้อมจะทำการทดสอบในวันรุ่งขึ้นมาพบรอสต์ที่หน้าหมู่บ้าน Mother’s Heart แล้วก็ต้องบอกลากัน เพราะเมื่อเอลอยได้รับการยอมรับเป็น Brave ก็จะห้ามพบและพูดคุยกับรอสต์ที่เป็นผู้ถูกขับไล่อีก

หลังจากนั้นเอลอยก็เข้ามาในงานเฉลิมฉลองก่อนวันทดสอบ ที่นั่นเธอได้เจอกับโอลิน (Olin) ชายผู้มี Focus เหมือนกันกับเธอ โดยหารู้ไม่ว่าโอลินทำงานให้กับ The Eclipse และเมื่อ Hades ที่เฝ้ามองทุกอย่างผ่าน Focus ของโอลินได้เห็นเอลอย ก็รู้ทันทีว่านี่คือเด็กที่เกิดจากพันธุกรรมของอลิซาเบทที่ไกอาสร้างขึ้น เป็นภัยต่อแผนการของ Hades จึงสั่งให้เหล่า The Eclipse ทำการสังหารเอลอยทันที

แล้วก็อย่างที่เกิดขึ้นในเกมครับ ในวันถัดมาขณะที่เอลอยพึ่งจะชนะการทดสอบ พวก The Eclipse ก็บุกเข้ามาฆ่าทุกคนในสถานที่ทดสอบจนหมด เอลอยเกือบจะโดนสังหาร แต่รอสต์ก็เข้ามาช่วยไว้ และสละชีวิตของตัวเองให้เอลอยรอดไปได้

เมื่อเอลอยตื่นขึ้นมาที่ Mother’s Cradle ก็นำ Focus ที่เก็บได้จากศพของพวก The Eclipse ขึ้นมาตรวจสอบ ซึ่งนอกจากจะทำให้เธอได้รู้ว่าโอลินทำงานกับพวก The Eclipse แล้ว ยังได้เห็นภาพของอลิซาเบทซึ่งมีใบหน้าและข้อมูลทางกายภาพเหมือนกับเธอเป๊ะๆ ทำให้เธอสงสัยว่านี่คือแม่ของเธอรึเปล่า

จากนั้นเทียร์ซ่าก็เล่าเหตุการณ์ในวันที่เอลอยเกิดขึ้นมาที่ Mother’s Cradle นี้ให้ฟัง เอลอยก็เลยจะลองเข้าประตูของ The Cradle ด้วยหวังจะรู้ความจริง แต่เพราะระบบได้รับความเสียหายประตูจึงไม่เปิด เอลอยจึงตัดสินออกเดินทางเพื่อจะตามหา The Eclipse และล้างแค้นให้กับรอสต์ พร้อมๆ กับตามหาอดีตที่แท้จริงของตัวเอง เห็นดังนั้น เทียร์ซ่าจึงแต่งตั้งให้เอลอยเป็น Seeker ตำแหน่งของชาวนอร่าที่จะสามารถเดินทางไปยังที่ใดก้ได้โดยไม่ผิดกฏของเผ่า เพื่อให้ไม่มีสิ่งใดผูกมัดเอลอยได้อีกต่อไป

โดยก่อนจะได้ออกไปพ้นเขตหมู่บ้าน The Eclipse ก็ส่ง Corrupter มาเข้าโจมตี หลังการต่อสู้เอลอยก็ใช้ชิ้นส่วนของ the Corrupter มาอัพเกรดหอกของตัวเองให้สามารถ Override สัตว์เครื่องจักรอื่นๆ มาเป็นพวกได้

จากนั้นเอลอยก็เดินทางไปถึงเมอริเดียนเพื่อตามหาโอลิน แล้วก็ไล่ตามต่อไปจนพบเขากับ The Eclipse ที่กำลังขุดซากของ Corrupter ขึ้นมาเพื่อเปิดการใช้งานใหม่อยู่ ด้วยความช่วยเหลือจากไซเลนส์ที่ติดต่อเข้ามาผ่าน Focus ของเอลอย เอลอยปราบ The Eclipse และ Corrupter ได้ และจับตัวโอลินได้ในที่สุด แม้ในตอนนั้นเอลอยจะยังไม่รู้ว่าผู้ที่ช่วยเหลือเธอเป็นใครก็ตาม

โอลินให้เล่าให้เอลอยฟังว่ากลุ่มพวกนี้คือลัทธิที่ชื่อ The Eclipse เป็นส่วนหนึ่งของ Shadow Carja ซึ่งนับถือเทพเจ้าในชื่อ Hades โดยที่เขาก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น รู้เพียงว่าพวก Eclipse กำลังพยายามตามปลุกซากของหุ่นจากยุคเก่าอยู่ (พวก Peacekeeper) ส่วนภาพของอลิซาเบทนั้นโอลินก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ Focus ของเขาพบภาพนี้ที่ซากปรักหักพังลักษณะเหมือนหอคอยที่ Maker’s End ทางตะวันตกเฉียงเหนือ

นอกเหนือจากนั้นโอลินก็จะเล่าที่มาที่ไปของเขาที่เข้ามาทำงานให้กับ Eclipse ให้ฟัง ก็เป็นดราม่าว่าที่เขาต้องทำก็เพราะภรรยาและลูกของเขาถูก The Eclipse จับเป็นตัวประกัน ตรงนี้เอลอยจะเลือกที่จะไว้ชีวิตเขาหรือฆ่าเขาก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่น

เอลอยได้เดินทางมาที่ Maker’s End เพื่อตามหาเบาะแสของอลิซาเบท เธอได้พบและปะทะกับ The Eclipse ที่คราวนี้ปลุกหุ่น Deathbringer ขึ้นมาสู้ด้วย

จากนั้นเอลอยก็เข้าไปสำรวจหอคอยที่โอลินพูดถึง ซึ่งที่นี่ก็คืออาคารสำนักงานของบริษัท FAS นั่นเอง เอลอยใช้ Focus เก็บข้อมูลต่างๆที่หลงเหลือในสำนักงานแห่งนี้ ทำให้เธอได้รับรู้เรื่องราวของภัยพิบัติจากหุ่นรบ Peacekeeper ที่สร้างโดยบริษัท FAS และได้รู้ว่าอลิซาเบทคือนักวิทยาศาสตร์ที่หาทางหยุดยั้งภัยพิบัติด้วยสิ่งที่เรียกว่าโปรเจ็คต์ Zero Dawn ซึ่งความจริงทั้งหมดนี้ทำให้เอลอยยิ่งสับสนหนักเพราะอลิซาเบทเป็นคนที่มีชีวิตอยู่เมื่อเกือบพันปีก่อน จะเป็นแม่ของเธอได้อย่างไร

ในตอนนั้นเองที่ไซเลนส์ติดต่อเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ไซเลนส์ได้แนะนำตัวกับเอลอยอย่างเป็นทางการ และขอให้เธอร่วมมือกับเขาในการตามหาความจริงของเรื่องทั้งหมด และหยุดยั้งอะไรก็ตามที่ The Eclipse จะทำ โดยไซเลนส์ยังไม่ได้เล่าเรื่องที่ว่าเขานี่แหละเป็นคนช่วย Hades ก่อตั้ง The Eclipse ขึ้นมา

เบาะแสต่อไปของเอลอยคือฐานบัญชาการกองทัพสหรัฐที่ซึ่งอลิซาเบทนำเรื่องโปรเจ็คต์ Zero Dawn เข้าเสนอต่อนายพล Herres ซึ่งที่นั่นก็คือซากปรักหักพังทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ถูกเรียกว่า Grave-Hoard

เมื่อมาถึง Grave Hoard เอลอยก็ได้รับรู้ถึงเรื่องของยุทธการ Enduring Victory ที่ถูกใช้เพื่อซื้อเวลาให้กับโปรเจ็คต์ Zero Dawn แต่ที่สุดแล้ว เธอก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับอลิซาเบทและโปรเจ็คต์ Zero Dawn มากนัก นอกจากสถานที่ตั้งของศูนย์พัฒนาโปรเจ็คต์ Zero Dawn แต่ก่อนจะออกไป เธอก็ต้องปะทะกับหุ่น Deathbringer ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จากซากของ Horus ที่อยู่ในส่วนลึกสุดของ Grave Hoard

จากสถานที่ตั้งที่ได้ เป้าหมายต่อไปของเอลอยคือการไปยังศูนย์พัฒนาโปรเจ็คต์ Zero Dawn แต่ด้วยความที่มันตั้งอยู่ใต้ดินของ Sunfall เมืองหลวงของกลุ่ม Shadow Carja ซึ่งกว่าครึ่งเป็นสมาชิกของ The Eclipse ไซเลนส์จึงแนะนำให้เธอไปทำลายเครือข่ายการสื่อสารระหว่าง Focus ของพวก The Eclipse ก่อน เพื่อให้เธอสามารถลอบเข้าไปใน Sunfall ได้ง่ายขึ้น

เอลอยก็ทำตามนั้น เดินทางไปยังค่ายของ The Eclipse ที่เป็นที่ตั้งของ Tallneck ที่ติดตั้ง Module ซึ่งเป็นศูนย์สัญญาณเครือข่ายดังกล่าว (ในรูปที่ 38) ที่นั่นเอลอยได้พบกับ Hades ตัวเป็นๆ เป็นครั้งแรก และเมื่อทำลาย Module ได้สำเร็จและหลบหนีออกมาได้แล้ว ก็ได้เวลาบุกศูนย์พัฒนาโปรเจ็คต์ Zero Dawn

แผนการทำลายเครือข่าย Focus ของ The Eclipse ประสบผล เอลอยสามารถลอบเข้าไปใน Sunfall และหาทางลงไปยังศูนย์พัฒนาโปรเจ็คต์ Zero Dawn ได้สำเร็จ

ที่นี่ เอลอยได้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของโปรเจ็คท์ Zero Dawn การมีอยู่ของไกอาและโปรเจ็คต์ย่อยอื่นๆ ได้รู้ว่าจริงๆ โลกและมนุษยชาติได้ล่มสลายไปแล้วและถูกสร้างขึ้นมาใหม่จากผลของโปรเจ็คต์นี้ รวมถึงเรื่องที่ Hades ซึ่งเป็นเหมือนเทพเจ้าของ The Eclipse นั้น แท้จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็คต์ Zero Dawn นั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราอธิบายกันไปแล้ว

แต่เอลอยก็ยังไม่รู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตัวเองอยู่ดี เธอจึงเข้าไปจนถึงห้องทำงานของอลิซาเบทเพื่อก็อปปี้ไฟล์ข้อมูลทั้งหมดใส่ Focus ด้วยหวังว่าจะช่วยให้เธอสามารถเข้าไปใน The Cradle ที่เธอเกิดขึ้นมาได้สำเร็จ

ทว่า ทันทีที่ทำการก็อปปี้ข้อมูลเสร็จ เฮลิสก็บุกลงมาและจับตัวเอลอยไว้ได้

(อ่านต่อหน้า 5)

เมื่อตื่นมาอีกครั้ง เฮลิสได้บอกกับเอลอยว่า ก่อนหน้านี้เขาได้สั่งสมาชิก The Eclipse ให้ยกทัพไปบุกโจมตีดินแดนศักดิ์สิทธ์ของชนเผ่านอร่าและฆ่าล้างทุกคนเพื่อตามหาตัวเอลอยไปแล้ว แต่เพราะเอลอยไปทำลายเครือข่ายการสื่อสารผ่าน Focus ของพวกเขา ทำให้แม้เขาจะอยากยกเลิกคำสั่งก็ทำไม่ได้แล้ว จากนั้นก็ทำลาย Focus ของเอลอยทิ้ง และจับเอลอยเข้าพิธีประหาร ด้วยให้เอลอยลงไปสู้กับ Behemoth ที่ถูกควบคุมโดยหุ่น Corruptor ในสังเวียนด้วยมือเปล่า แน่นอนว่าด้วยสกิลตัวเอกของเอลอย เธอก็เอาตัวรอดมาได้ และได้รับช่วยเหลือจากไซเลนส์ ช่วยพาเธอหลบหนีมาจาก Sunfall ได้สำเร็จ พร้อมกับมอบ Focus อันใหม่ที่ก็อปปี้ข้อมูลแบ๊คอัพจาก Focus อันเดิมของเธอมาแล้วเรียบร้อย

ทันทีที่หลบหนีออกมาได้ เอลอยก็รีบรุดหน้ากลับไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทันที เพื่อหยุดยั้งการโจมตีของ The Eclipse

เมื่อเอลอยมาถึง ดินแดนส่วนใหญ่ก็ถูกทำลายเละเทะไปแล้ว แต่โชคยังดีชาวนอร่าส่วนใหญ่อพยพไปหลบอยู่ใน Mother’s Cradle ได้ทัน เอลอยร่วมมือกับเหล่า Brave ปราบพวก The Eclipse ได้สำเร็จ

เมื่อปกป้องชนเผ่านอร่าไว้ได้แล้ว ก็ได้เวลาที่เอลอยจะลองเข้าประตูของ The Cradle อีกครั้ง ด้วยข้อมูลที่ได้จากห้องทำงานของอลิซาเบท คราวนี้เอลอยสามารถเข้าไปได้ ในนั้นเอลอยได้รู้ถึงที่มาที่ไปของชนเผ่าต่างๆ ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงพันธุกรรมของมนุษย์ในโปรเจ็คต์ Eleuthia และเรื่องข้อมูลทั้งหมดของ Apollo ถูกลบออกไป

แต่ที่สำคัญคือ เอลอยได้พบกับข้อความของไกอาถึงเหตุการณ์เมื่อ 19 ปีก่อน วันที่ไกอาปิดตัวเองด้วยการระเบิด Gaia Prime ทิ้ง และสร้างเอลอยขึ้นมาจากพันธุกรรมของอลิซาเบทเพื่อเป็นความหวังสุดท้าย โดยไกอาได้บอกให้เอลอยไปตามหาอุปกรณ์ Master Override ที่อยู่ที่ซากของ Gaia Prime อันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการบังคับปิดการทำงานของไกอา โดยให้ใช้มันในการปิดการทำงานของ Hades แทน

เมื่อรับรู้เรื่องราวทั้งหมด เอลอยก็ไม่มีทางเลือก นอกจากทำตามสิ่งที่ไกอาคาดหวัง เป้าหมายต่อไปคือไปที่ Gaia Prime

เมื่อมาถึง Gaia Prime ไซเลนส์ก็เล่าให้เอลอยฟังว่าเขาค้นพบที่นี่เมื่อ 19 ปีก่อน หลายอาทิตย์หลังเกิดการระเบิดและวันเกิดของเอลอย เขาทำทุกวิถีทางแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปถึงข้างในได้ แต่เอลอยที่มีดีรหัสพันธุกรรมของอลิซาเบทสามารถทำได้ และในตอนนี้พวกเขาจะหยุดยั้ง Hades ด้วยกัน หลังจากนั้นจึงค่อยหาวิธีซ่อมแซมไกอาขึ้นมาใหม่ เพราะด้วยความสามารถในการผลิตของ Cauldron การหาชิ้นส่วนมาเพื่อซ่อมไกอาน่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้

เมื่อเข้ามาด้านใน Gaia Prime เอลอยได้รับรู้ถึงการเสียสละของอลิซาเบทเพื่อให้โปรเจ็คต์ Zero Dawn ดำเนินการได้สำเร็จ และได้รู้ว่าผู้ที่ลบข้อมูลทั้งหมดของ Apollo ทิ้งและฆ่าสมาชิก Alpha ของโปรเจ็คต์ Zero Dawn ทั้งหมดคือเท็ด แฟโร่ และในห้องประชุมที่อยู่ลึกสุดของ Gaia Prime นั่นเอง และเอลอยก็ได้พบกับ Master Override

เมื่อได้ Master Override มาแล้ว ที่เหลือก็แค่จัดการปิดการทำงานของ Hades ซะ แต่ก่อนจะไป ไซเลนส์ก็ได้มาเผยความจริงที่เขาเป็นผู้ค้นพบและช่วยเหลือ Hades ในการสร้าง The Eclipse ขึ้นมา ก่อนจะบอกว่าเป้าหมายของ Hades คือการใช้ The Spire ในการปลุกหุ่น Peacekeeper ทั่วโลกขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เอลอยรู้ว่า Hades และ The Eclipse จะต้องหาทางบุกเมอริเดียนเพื่อไปให้ถึง The Spire เป็นแน่ ก่อนที่ไซเลนส์จะมอบหอกของเขาให้เอลอยนำไปติดตั้งกับ Master Override เพื่อใช้หยุดยั้ง Hades

เมื่อรู้ดังนั้น เอลอยจึงขอความร่วมมือจากกษัตริย์อาว้าดในการต่อสู้กับกองทัพของ The Eclipse ที่จะมาบุกเมอริเดียนในไม่ช้า โดยมีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพัน จากนั้นก็เข้าสู่ศึกสุดท้าย

ก็ตามบทสุดท้ายในเกม The Eclipse ซึ่งนำโดยเฮลิส ยกกองทัพเครื่องจักร Peacekeeper เท่าที่ที่พวกเขาไปตามขุดขึ้นมาได้สำเร็จ เข้าทำสงครามกับเมอริเดียน ซึ่งเอลอยก็ได้เข้าต่อสู้กับเฮลิสและสังหารเขาได้ในที่สุด

จากนั้นก็ต่อสู้กันวินาศสันตะโรไปตามเรื่อง แม้เอลอยจะพลาดท่าปล่อยให้ Hades เข้าถึง The Spire ไปจนได้ แต่สุดท้ายเอลอยก็สามารถใช้ Master Override ปิดการทำงานของ Hades ได้ทันท่วงที เป็นอันจบสิ้นการต่อสู้กับ Hades และ The Eclipse และปกป้องโลกไว้ได้

เอลอยเดินทางไปยังบ้านเกิดของอลิซาเบท ที่ซึ่งอลิซาเบทได้บอกไว้ว่าเธอจะกลับมาก่อนตาย ที่นี่ เอลอยได้พบกับศพของอลิซาเบท และได้พบกับบันทึกสุดท้ายของอลิซาเบทกับไกอา

“อลิซาเบท สมมติว่าถ้าคุณมีลูกสักคน คุณหวังให้ลูกของคุณเป็นยังไง”

“ฉันว่า ฉันคงอยากให้เธอเป็นคน…ช่างสงสัย…มีความแน่วแน่ ไม่หยุดยั้งต่อสิ่งใด

…แต่มีเมตตา…มากพอที่จะดูแลรักษาโลกใบนี้…แม้จะเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ก็ตาม”

.

จบบริบูรณ์….?

End Credit

ด้วยเหตุผลบางอย่าง Hades หนีรอดจาก Master Override ไปได้ แต่ก็ถูกไซเลนส์จับเอาไว้ได้ทันท่วงที

“สวัสดี เพื่อนเก่า ยังจำฉันได้หรือเปล่า?”

“เรายังมีอะไรให้คุยกันอีกมาก อีกมากมายที่แกยังไม่ได้เปิดเผย”

“ยกตัวอย่างเช่น…เจ้านายของแก คนที่ส่งสัญญาณปลุกแกขึ้นมา”

“ความรู้เนี่ย มันมีรางวัลของมันเสมอ แกว่าไหม?”

“เอาล่ะ…มาเริ่มกันเถอะ”

ติดตามต่อได้ใน Horizon Zero Dawn 2….ถ้ามี?

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก