Samsung ได้วางจำหน่ายสมาร์ตโฟนเรือธงดีไซน์บางเฉียบอย่าง Galaxy S25 Edge ในหลายประเทศ ภายหลังจากเปิดตัวเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา ซึ่ง Samsung กล่าวว่ามาพร้อมงานวิศวกรรมที่ล้ำหน้าและแก้ปัญหาภายในตัวเครื่องที่มีมาอย่างยาวนาน
Samsung อธิบายว่า นวัตกรรมดังกล่าวทำให้สามารถติดตั้งชิปเซต Qualcomm Snapdragon 8 Elite เวอร์ชัน ‘for Galaxy’ ที่มีความเร็วสูงสุด 4.47 GHz และกล้องความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ภายใต้ตัวเครื่องที่มีความบางเพียง 5.8 มม. และมีน้ำหนักเพียง 163 กรัม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้


- พัฒนาระบบติดตั้งแบบใหม่ภายในตัวเครื่อง เพื่อให้สามารถติดตั้งชิ้นส่วนต่าง ๆ ในระดับ 0.1 มม. ซึ่งทางบริษัทได้ปรับปรุงดีไซน์ดังกล่าวในเครื่องต้นแบบหลายเวอร์ชันจึงได้ดีไซน์ที่มีความเหมาะสมที่สุด
- ลดความหนาของกล้องความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ด้วยการปรับแต่งฮาร์ดแวร์ระบบออโตโฟกัส และระบบป้องกันการสั่นของภาพ รวมถึงออกแบบโครงสร้างกล้องแบบ 2 ชั้น ซึ่งช่วยลดความสูงของโมดูลกล้องได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ Galaxy S25 Ultra ที่มาพร้อมกล้อง 200 ล้านพิกเซล เช่นกัน

- เพิ่มขนาดช่องระบายอากาศให้ใหญ่ขึ้นอีก 10% เมื่อเทียบกับ Galaxy S25+, ใช้โครงสร้างแบบมีรู เพื่อทำให้ชิปเซตเชื่อมต่อกับช่องระบายอากาศโดยตรง และระบายความร้อนได้ดีขึ้น และติดตั้งวัสดุระบายความร้อนที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างชิปเซตและช่องระบายความร้อน ซึ่งช่วยดูดซับความร้อนจากชิ้นส่วนอื่น ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ Samsung Galaxy S25 Edge ยังพร้อมกรอบตัวเครื่องที่ผลิตด้วยวัสดุไทเทเนียมที่มีน้ำหนักเบา คล้ายกับ Galaxy S25 Ultra โดยได้รับการติดตั้งแผงหน้าจอแบบ LTPO (Low-Temperature Polycrystalline Oxide) ขนาด 6.7 นิ้ว, ป้องกันรอยหน้าจอด้วยกระจก Gorilla Glass Ceramic 2 ของ Corning เป็นรุ่นแรก และป้องกันรอยด้านหลังตัวเครื่องด้วยกระจก Gorilla Glass Victus 2


แม้ว่า Samsung จะแสดงความพึงพอใจต่อนวัตกรรมใหม่นี้ แต่ต้องติดต่อไปว่า Galaxy S25 Edge จะสามารถระบายความร้อนในการใช้งานระยะยาวได้ดีเพียงใด