[Review] Marvel’s Spider-Man Remastered (PC) ฮีโร่สไปดี้ผู้มาโปรดชาวพีซี
Our score
9.0

จุดเด่น

  1. งานพอร์ตลง PC สุดเนี๊ยบนิ้ง เก็บงานละเอียดยิบ
  2. โหนใยสนุกจนลืมปุ่ม Fast Travel
  3. เนื้อหาสไปเดอร์แมนจัดเต็ม 30 ชม.

จุดสังเกต

  1. ยังเหลือบั๊กตัวเล็กตัวน้อยอยู่บ้าง
  2. Ray Tracing กินสเป็คเครื่องโหด และมีให้แค่ Ray-Traced Reflections
  3. ภารกิจที่ไม่ได้เล่นเป็นสไปดี้และมินิเกมพัซเซิลไม่ค่อยสนุก

เกม Marvel’s Spider-Man ที่ออกมาบนเครื่องเพลย์สเตชัน 4 เมื่อปี 2018 สร้างเสียงฮือฮาในหมู่แฟนมาร์เวลเป็นอย่างมาก เพราะคุณภาพแบบจัดเต็มของเกมนี้ทำให้มันขึ้นทำเนียบหนึ่งในเกมซูเปอร์ฮีโร่ระดับแนวหน้า และได้กลายเป็นเกม Spider-Man ที่ดีที่สุดอย่างไร้ข้อกังขา น่าเสียดายที่ชาวเกมเมอร์พีซีอย่างพวกเรากลับไม่มีโอกาสได้แตะต้องเพื่อนบ้านที่แสนดีนายนี้มาเนิ่นนานหลายปี เพราะเฮีย Sony เล่นล็อคให้เป็นเกม Exclusive เฉพาะในเครื่องเพลย์มาถึง 4 ปี แต่ในวันนี้ โอกาสของแฟนไอ้แมงมุมบนพีซีมาถึงแล้ว เมื่อเกม Marvel’s Spider-Man เวอร์ชัน Remastered ได้โหนใยมาลงเครื่องคอมพิวเตอร์กันซะที ว่าแต่การพอร์ตมาครั้งนี้จะเป็นชัยชนะอันสวยงามแบบในหนังภาค Homecoming หรือแพ้ย่อยยับอย่างใน Avenger’s Infinity War กันนะ? เรามาลุ้นเอาใจช่วยนายสไปดี้ไปด้วยกันเลย! 

เนื้อหาเกรด AAA สมชื่อไอ้แมงมุม

จุดที่อยากชมเป็นเรื่องแรกก็คือทั้งเนื้อหาและเกมเพลย์ในเกม Marvel’s Spider-Man Remastered ได้รับการออกแบบมาอย่างตั้งใจหวังเอาใจแฟนสไปเดอร์แมนแบบเน้น ๆ เริ่มจากเนื้อเรื่องในเกมที่สนุกน่าติดตาม ให้อารมณ์เหมือนกำลังอ่านหนังสือการ์ตูนสไปเดอร์แมนเล่มสนุก ให้เราคอยเอาใจช่วยนายฮีโรนิสัยดีที่เวิร์กไลฟ์ลาบานซ์พังพินาศ แถมนอกจากจะต้องต่อกรกับเหล่าวายร้าย ยังต้องเจอกับเรื่องมรสุมในชีวิตสารพัด (แต่ก็ยังมิวายปล่อยมุกตลกเปิ่น ๆ ออกมาได้ตลอดเวลา) ส่วนผสมเหล่านี้แหละคือแก่นของเนื้อเรื่องไอ้แมงมุมขนานแท้และดั้งเดิม

ที่เด็ดไปกว่านั้นคือเกมนี้ยังขนวายร้ายหน้าหลักของไอ้แมงมุมมาให้แบบจัดเต็ม ทั้ง Shocker Rhino Scorpion Vulture และยังมีวายร้ายหน้าใหม่อย่าง Mister Negative เข้ามาแจมด้วย ส่วนระบบออกคอมโบเวลาเราต้องสู้กับวายร้ายก็ทำออกมาได้อารมณ์สมเป็นไอ้แมงมุมมากๆ กดง่ายแต่เก่งยาก ทั้งยังรวดเร็วฉับไวจนแทบมองไม่ทัน ยิ่งถ้าคุณกดได้คล่องเมื่อไหร่คุณจะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเมพขิงๆ ไอ้แมงมุมของคุณจะสามารถเตะต่อยศัตรูได้เร็วชนิดที่เท้าแทบจะไม่แตะพื้น ทำให้แค่นั่งดูลีลาสไปดี้อัดวายร้ายอย่างเดียวก็เพลินแล้ว นอกจากนี้ เกมยังมีช่วงสลับอารมณ์ให้เราเล่นแบบลอบเร้นในฐานะ MJ และ Miles Molares บ้าง เล่นมินิเกมพัซเซิลต่อท่อ ต่อภาพบ้าง ซึ่งถึงจะค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ก็ยังดีที่มีภารกิจประเภทนี้ให้เล่นไม่ค่อยเยอะ 

ส่วนเพลงประกอบในเกมก็บรรเลงมาแนวเดียวกับไตรภาคหนัง Spider-man ของ Sam Raimi เลย คือถ้าคุณดูหนังสไปเดอร์แมนจบแล้วอารมณ์ค้าง ก็เชิญมาสานต่อด้วยการเล่นเกมนี้กันได้ และจุดที่เป็นเหมือนโบนัสก็คือเกมเวอร์ชันพีซีให้เนื้อหาเสริมจาก DLC ทั้ง 3 ตอนมาครบหมดแบบฟรีๆ ซึ่งจะทำให้คุณได้ไปทำเควสต์กับ Black Cat ต่อกรกับ Hammerhead และร่วมงานกับเจ๊สายบู๊อย่าง Silver Sable หลังเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องหลักจบไปแล้ว ซึ่งถ้าเอามาเล่นแบบไม่รีบก็น่าจะยาวขึ้นเป็นหลัก 10 ชั่วโมงได้ ของแถมอีกอย่างก็คือเกมยังให้ชุดคอสตูมสไปดี้จากเวอร์ชันหนัง Marvel Cinematic Universe มาอย่างครบครัน ไล่ตั้งแต่ Spider-Man ภาคปี 2022 ยันภาค No Way Home ที่เพิ่งชนโรงเมื่อปลายปีที่แล้วเลยด้วย

งานพอร์ตสไปเดอร์เนียนกริ๊บ เหลือแค่บั๊กจิ๊บจ๊อย

เชื่อว่าคำถามสำคัญที่สุดสำหรับคอเกมพีซีก็คือเกมนี้ “พอร์ต” มาดีแค่ไหน?​ คำตอบสั้นๆ ก็คือเกมนี้ “พอร์ตมาด้วยใจ” มากครับ เริ่มจากตัวเลือกการปรับแต่งด้านภาพกราฟิกที่มีมาให้อย่างเยอะ ทั้งระดับความละเอียดของ Texture คุณภาพของเงา ความหนาแน่นของวัตถุในฉาก ยันเอฟเฟกต์ดินฟ้าอากาศ ซึ่งตัวเกมยังรองรับการเล่นบนหน้าจอกว้างพิเศษแบบ Ultrawide ระบบปรับความละเอียดภาพเพื่อดันเฟรมเรต NVIDIA DLSS และการแสดงผลความสว่างภาพแบบ HDR บนจอพีซีอีกด้วย ซึ่งถ้าสเป็คเครื่องคุณไหว คุณสามารถดันงานภาพในเกมนี้ให้งามหยดย้อยยิ่งกว่าบนเพลย์ 5 ได้ไม่ยาก งามจนถึงระดับที่ว่าคุณอาจจะเสียเวลาเก็บสกรีนช็อตสวย ๆ ใน Photo Mode นานพอ ๆ กับเวลาเล่นเกมเลยก็ได้ แถมเฟรมเรตลื่น ๆ ที่ไม่ล็อกอยู่แค่ 30 หรือ 60 FPS อีดต่อไป ยิ่งทำให้เกมนี้เล่นเพลินจนคุณอาจลืมอาบน้ำอาบท่า

จุดที่แอบเสียดายนิดนึงในแง่งานภาพของเกมก็คือเทคโนโลยี Ray Tracing ในเกมนี้มีแค่ Ray-Traced Reflections เท่านั้น ซึ่งหลัก ๆ ก็เป็นแค่การสะท้อนเงาเมืองตามหน้าต่างตึกรามบ้านช่อง (และแอ่งน้ำ)​ ในนิวยอร์ก ถึง Ray-Traced Reflection จะทำให้มหานครนิวยอร์กดูมีชีวิตชีวาและเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่มันก็กินสเปกเครื่องดุใช้ได้ ใครไม่ได้มี CPU เจ็นใหม่คู่กับการ์ดจอ RTX ตัวแรงนี่ไม่แนะนำให้เปิดดีกว่า เพราะเฟรมเรตที่หดหายไปอาจไม่คุ้ม นอกจากนี้ เกมก็ไม่ได้เติมเทคโนโลยี RT อื่น ๆ อย่าง Ray-Traced Shadows และ Ray-Traced Global Illuminations มาให้ (แบบในเกม Metro Exodus และ Cyberpunk 2077)​ ทำให้แสงเงาในเกมยังดูค่อนข้างแข็ง ซึ่งถ้ามีเทคโนโลยี RT 2 ตัวนี้มาเพิ่มก็คงจะช่วยยกระดับให้งานภาพในเกมให้ดูตื่นตะลึงยิ่งไปกว่านี้ได้อีก

ส่วนเรื่องบั๊กในเกมแม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าเกมเวอร์ชันนี้เพอร์เฟกต์ไร้ที่ติ แต่จุดที่หาเจอระหว่างเล่นก็เป็นแค่บั๊กเล็ก ๆ น้อย ๆ ประปรายเท่านั้น เช่น ตัวศัตรูที่ถูกอัดกระเด็นเข้าไปติดในกำแพง จังหวะเกมค้างบ้างถ้าคุณเล่นปรับระดับกราฟิกแบบยกแผงตอนเล่น บั๊กสติกเกอร์หายตอนใช้ Photo Mode เป็นต้น ส่วนบั๊กตัวใหญ่อย่างเกมเด้งหลุดออกมาที่เดสก์ท็อปหรือผ่านด่านไม่ได้ก็เจอแค่ครั้งสองครั้ง และคาดว่า Patch เกมที่ออกมาหลังจากวางตลาดน่าจะช่วยเคลียร์เรื่องจุกจิกพวกนี้ได้เรียบ สรุปคร่าวๆ ได้ว่าเกมนี้เก็บงานพอร์ตลง PC มาอย่างเนี๊ยบไม่น้อยหน้าพอร์ตรุ่นพี่อย่าง God of War เลยครับ

เกมเพลย์โหนใยระดับ A+ สวิงสนุกทุกจอยยัน DualSense

ถ้าจะมีจุดไหนในเกมนี้ที่ทำออกมาได้โดดเด่นกว่าเนื้อเรื่องและระบบการต่อสู้ ก็คงเป็นระบบโหนใยไปมาในมหานครนิวยอร์กนี่แหละ มันคือสุดยอดความสนุก ทั้งในด้านความเร็ว แรงเหวี่ยง แรงส่ง ทุกอย่างช่างดูลงตัวไปหมดเวลาที่นายสไปดี้ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางหาว ซึ่งวิธีควบคุมตัวละครระหว่างโหนใยก็ทำได้ง่าย จนคุณไม่รู้สึกสะดุดระหว่างพุ่งทะยานไล่จับเหล่าร้าย นอกจากนี้ ยิ่งคุณอัพเวลสไปดี้ของคุณไปตามเนื้อเรื่องมากเท่าไหร่ ความเร็วในการเหวี่ยงตัวและท่วงท่าการออกลีลากลางเวหาก็จะยิ่งหลากหลายขึ้นเท่านั้น ยิ่งทำให้การโหนไปจุดต่างๆ บนแผนที่สนุกขึ้นจนคุณลืมใช้ระบบ Fast Travel ซะสนิท

สำหรับเรื่องตัวเลือกเรื่องการควบคุมนายสไปดี้ ต้องบอกว่าชาวพีซีสามารถเล่นเกมนี้ได้ด้วยอุปกรณ์แบบไหนก็ได้อย่างไร้ปัญหา การควบคุมด้วยเมาส์กับคีย์บอร์ดทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน ไม่ได้มีปัญหาตรงไหน เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกลื่นไหล เหมือนตอนโหนใยด้วยจอยเกม ไม่ว่าจะเป็นจอย Xbox One จอย DualShock 4 ก็สามารถใช้เสียบเล่นเกมนี้ได้หมดอย่างง่ายดาย โดยไอคอนรูปปุ่มต่างๆ ที่แจ้งเตือนขึ้นมาในเกมก็จะสลับสับเปลี่ยนไปตามจอยแต่ละยี่ห้อที่คุณเลือกใช้ด้วย ที่สำคัญ ถ้าคุณใช้จอย DualSense ของเครื่องเพลย์ 5 คุณยังจะได้สัมผัสถึงฟีเจอร์การสั่นหลายระดับอย่าง haptic feedback รวมทั้งฟีเจอร์ไกจอยแข็งมั่งอ่อนมั่งจาก adaptive triggers แบบเต็มที่ ถึงแม้ฟีเจอร์อย่างหลังจะไม่ได้ออกลีลาแพรวพราวแบบเกมเดินหน้ายิงบนเพลย์ 5 (ก็นี่มันเกมแอ็กชันเตะต่อยอะนะ) แต่โดยรวมก็เรียกได้ว่าทำงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้การเล่นบนเครื่อง PlayStation 5 

ทางฝั่งของแผนที่มหานครนิวยอร์กแบบ Open World ในเกมนี้ก็ออกแบบมาเพื่อดันความสนุกให้ระบบโหนใยได้เป็นอย่างดี มีภารกิจให้ทำหลากหลายรูปแบบตามสไตล์สไปเดอร์แมน (เช่น หยุดแก๊งโจรปล้นร้านสะดวกซื้อ เก็บของใช้ที่ลืมไว้ตามมุมต่างๆ ของเมือง บุกทลายรังโจร เป็นต้น) และภารกิจย่อยส่วนใหญ่ก็มักจะเกี่ยวกับการให้ผู้เล่นเหวี่ยงตัวไปมาตามยอดตึกนี่แหละ​ หากคุณไม่ระวังก็อาจจะโหนไปแวะนู่นนี่นั่นจนลืมทำภารกิจหลักเลยก็ได้

ยกนี้ไอ้แมงมุมชนะ (ใจ)! 

ตั้งแต่วันแรกที่มันออกมาเมื่อ 4 ปีก่อน Marvel’s Spider-Man ก็ถือเป็นเกมซูเปอร์ฮีโร่ Open-World ระดับคุณภาพตั้งแต่นั้นมา ซึ่งการที่เวอร์ชัน Remastered ของเกมนี้ได้มาลงบนเครื่องพีซีก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับเกมเมอร์หลาย ๆ คนแล้ว แต่ข่าวที่พิเศษกว่านั้นคือมันไม่ได้เป็นเกมที่ถูกพอร์ตมาอย่างทิ้งขว้าง แม้จะแอบเสียดายฟีเจอร์บางอย่างที่อาจทำให้เกมยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้น แต่เมื่อได้เล่นแล้วก็จะรู้เลยว่าทีมพัฒนาเค้าตั้งใจทำออกมาให้ชาวพีซีจริง ๆ แบบไม่มีกั๊ก

หากถามว่าเกมนี้คุ้มมั้ยสำหรับคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อน ก็ต้องบอกว่าถอยมาได้แบบไม่ต้องคิดมากเลยครับ เพราะลำพังเนื้อหาที่มีให้เล่นก็น่าจะแตะหลัก 30 ชั่วโมงได้สบาย ๆ แล้ว แต่สำหรับคนที่เคยเล่นจบใน PS4 ไปแล้วแต่อยากจัดอีกรอบล่ะ? ก็ต้องบอกว่าถ้าคุณเป็นแฟนสไปดี้ตัวยงที่อยากสัมผัสฟีเจอร์จากจอย DualSense แบบเต็มๆ ดูงานภาพสวยเช้งที่ทำให้อยากแคปหน้าจอมันทุกเฟรม และเล่นกับเฟรมเรตลื่นปรื๊ดหัวแตกที่ช่วยทำให้การโหนใยสนุกสุดเหวี่ยงยิ่งขึ้น ก็ปล่อยให้สไปเดอร์เซนส์ของคุณทำงานแล้วกดไปเถอะครับ

*ขอขอบคุณทาง PlayStation สำหรับโค้ดเกมเพื่อการรีวิว

**ภาพประกอบของบทความนี้ Capture จากเกมเวอร์ชัน PC

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส